หน้าเว็บ

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อคิดชีวิตดี้ดี

อยากให้อ่าน ช้า ช้า สบายๆ

เมื่อตอนที่นก
ยังมีชีวิตอยู่..
มันจะกินมดเป็นอาหาร
แต่เมื่อมันตาย..
มันก็จะถูกมดกินเป็นอาหารเช่นกัน

ต้นไม้หนึ่งต้น
สามารถทำเป็นไม้ขีดไฟได้เป็นล้านๆก้าน
แต่ไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน
ก็สามารถเผาต้นไม้ได้เป็นล้านๆต้นเช่นกัน

จงอย่ามองข้ามคนที่ด้อยกว่า เพราะหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่

อย่ามองข้ามลูกค้ารายเล็ก
ไม่เห็นคุณค่าของพวกเขา
เพราะสักวันหนึ่งเขาอาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราก็เป็นได้

อย่าคิดว่าเราแข็งแรงไม่มีวันป่วยเพราะอายุยังน้อย
โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่แต่มีไว้ใส่คนตาย

อย่าคิดว่าฉันรวยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
สักวันเงินเพียง1พัน
อาจมีค่ามากมายในวันตกอับก็ได้

ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
ใหญ่ได้ก็เล็กได้
รวยได้ก็จนได้
แข็งแรงได้ก็ป่วยได้
เกิดได้ก็ต้องตายได้
ทุกคนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ท่องจำให้ขึ้นใจ
"อย่าหลงตนอย่าลืมตัว"
และที่สำคัญ
"ข้าจะไม่ประมาท"
กับชีวิตอีกต่อไป..

จะไม่ว่างแค่ไหนก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี

แม้ว่าบางครั้งติดต่อเพื่อนได้ยาก
แต่ก็ให้คิดถึงเสมอ..

กลางวันดื่มน้ำให้มาก
กลางคืนดื่มน้ำให้น้อย

วันหนึ่งดื่มกาแฟไม่ควรเกิน2แก้ว

เรื่องที่ควรลืม3เรื่อง
1.ลืมอายุ
2.ลืมเรื่องที่ผ่านมา
3.ลืมเรื่องที่จะกล่าวโทษคนอื่น

สิ่งที่ควรมีไว้4อย่าง
1.มีคนที่รักคุณด้วยความจริงใจ
2.มีเพื่อนที่รู้ใจ
3.มีงานมีการทำ
4.มีบ้าน

สิ่งที่ไม่ควรทำ6อย่าง
1.หิวแล้วไม่ยอมทาน
2.หิวน้ำไม่ยอมดื่ม
3.ง่วงแล้วไม่ยอมนอน
4.เหนื่อยแล้วไม่ยอมพัก
5.ไม่สบายไม่ยอมรักษา
6.แก่แล้วค่อยคิดเสียใจ

ความโกรธ
ทำให้หัวใจ"ทำงานหนัก"
ความรัก
ทำให้หัวใจ"ทำงานดี"
ความดี
ทำให้หัวใจนั้น"พองโต"
ความโง่
จะทำให้"เสียหาย"

สิ่งที่สูงกว่าเงิน7อย่าง
1.การได้เกิดมาเป็นคน
2.การได้ยลศาสนา
3.การมีกัลยาณมิตร
4.การมีความสุจริตเป็นนิสัย
5.การมีใจปราศจากริษยา
6.การมีเวลาให้บุคคลอันเป็นที่รัก
7.การรู้จักคำว่า"พอ"

ของมีค่า2อย่าง
1.สุขภาพกาย
2.สุขภาพจิต

ทุกข์มี4ทุกข์
1.มองไม่ทะลุ
2.สละไม่ลง
3.แพ้ไม่เป็น
4.ปล่อยวางไม่เป็น

ทรัพย์สมบัติ6สิ่ง
1.ร่างกาย
2.ความรู้
3.ความฝัน
4.ทัศนคติ
5.ความเชื่อมั่น
6.ความกล้าหาญ

ขอส่งให้คนที่รักและเพื่อนที่ดีทุกคน

10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา

มีลูกแชร์ให้ลูก มีหลานแชร์ให้หลาน
อ่านเองก็ได้ประโยชน์

1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจบแล้วก็เอาใส่กรอบรูป ตั้งโชว์สวยๆ โดยหารู้ไม่ว่า "มันหมดอายุไปแล้ว !!" ...ลองสังเกตให้ดีว่า ความรู้ที่เราเรียนมามันทันสมัยไม่นาน คือ ประมาณว่าจบแล้วต้องรีบหางานทำ เพราะ ถ้าทิ้งไว้ เราตามโลกไม่ทัน ..ยิ่งปัจจุบัน Internet ทำให้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจทั่วโลก เต็มไปด้วยโอกาส (แต่โอกาสในที่นี้ คือ วิกฤตของคนส่วนใหญ่ ซึ่งนี่จะเป็นข้อต่อๆไปที่ เราต้องร้องว่า "รู้งี้") ..เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากให้ใบปริญญาหมดอายุ ต้องรู้จัก หมั่นเติมความรู้ หาหนังสือมาอ่าน หัดพัฒนาตัวเองโดยการเข้าสัมมนา ฟังคนอื่น หาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับใบปริญญาก็ได้ แค่นี้ใบปริญญาของเราก็จะไม่หมดอายุ

2.  "ใบปริญญาเป็นเพียงแค่บัตรผ่านประตูในชีวิตจริงเท่านั้น"  ...ใช่แล้ว!! ในชีวิตจริง เขาวัดคนที่ผลงาน รายได้ที่เราทำให้บริษัท รายจ่ายที่เราลดให้บริษัทด้วยความรู้หรือ Technology เช่น การเอา Internet มาช่วยลดการทำงาน ช่วยการบริการ และ ช่วยการติดต่อลูกค้า เพิ่มโอกาสการขาย อะไรก็ว่าไป ...ดังนั้น ใบปริญญามีประโยชน์แค่ตอนสมัครงาน แต่หลังจากที่เราได้งานแล้ว เขาไม่สนแล้วว่าเราจบอะไรมา นั่นแหละ "วัดฝีมือจริง" ...แล้วตำแหน่งยิ่งสูง เขายิ่งไม่ถามว่า จบอะไรมา เพราะ นั่นมันคำถามไว้รับสมัครงานชั้นล่าง (งานแรงงาน) ...งานระดับสูง เงินเดือนล้าน เขาถามว่า "คุณทำอะไรสำเร็จมาบ้าง แล้วคุณจะสร้างโอกาส สร้างเงินให้กับบริษัทเราอย่างไร" -- ถ้าตอบได้ ตำแหน่งคุณน่ะ เงินเดือนล้าน !!

3. "คนรวยทุกคนเป็นคนเก่ง แต่คนเก่งทุกคนไม่ได้รวย" ..จงเลือกว่า คุณอยากเป็น "คนเก่งที่รวย" หรือ "คนเก่งที่จน" ...ให้รู้ไว้ว่า คนเก่งที่จน มันเกิดจากคนนั้นคิดว่าตัวเองเก่ง จึงไม่เคยฟังใคร ไม่เคยเรียนรู้จากใคร ..คนเหล่านี้ทำงานกับใครไม่ได้ เพราะ ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่เคยฟังคำท้วงติงจากใคร ...เวลาคนเหล่านี้ทำงานผิดพลาด เขาจะพยายามโยนความผิดให้คนอื่น ด้วยสมองอันแกมโกงของเขา -- "คนเก่งที่รวย" คนเหล่านี้ รักการอ่าน ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ..ชอบแก้ปัญหา ชอบงานที่คนอื่นไม่กล้าทำ เพราะ ทุกครั้งที่เราทำงานที่ยากและคนอื่นไม่กล้าทำ เราจะเห็นโอกาสที่ไม่มีใครเคยเห็น ..เวลาคนเหล่านี้ทำงานพลาด เขาจะโทษตัวเอง แล้วเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อให้ตัวเขาฉลาดขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ...ยิ่งล้มเลย ยิ่งเก่ง ...คนเหล่านี้ ไม่เคยกลัวความล้มเหลว ...อะไรง่ายๆ ไปให้คนอื่นทำ แต่ถ้ายากๆ "ให้กู" เพราะ กูคือ คนเก่งที่จะรวย !!

4. "จ่ายเงินให้ตัวเอง ก่อนจ่ายเงินให้คนอื่น" ...คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า ทั้งชีวิตเราจ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นค่าภาษีก่อนที่เราจะได้เงินเดือน พนักงาน office ธรรมดา ถ้าเอาภาษีทั้งชีวิตมารวม มันเกินล้าน แปลว่า คนเหล่านี้จ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นล้านบาท แต่ทั้งชีวิตไม่เคยจับเงินล้าน ..เพราะ รายได้เท่าไหร่ รายจ่ายมากกว่าเสมอ ...ทางแก้คือ "จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน" คือ ดึงออกเริ่มจาก 10% ของเงินเดือน เพื่อเก็บไว้ลงทุน ก่อนใช้จ่ายเสมอ (แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น 20% 30% 40% ตามเงินเดือนที่สูงขึ้น) ...เพราะอะไรรู้ไหม เพราะ การใช้จ่าย มันคือ การจ่ายเงินให้คนอื่น ..ลองดูสิ่งที่เราซื้อมาซิ มันดีใจตอนซื้อ สุดท้ายของเหล่านั้นก็กลายเป็นขยะ ...ของเป็นขยะ บ้านเราก็คือ "ถังขยะ" ใบใหญ่ ...ทำงานหนัก จ่ายเงินซื้อขยะ โคตรแย่ ...เริ่มจ่ายเงินให้ตัวเอง แบ่งมาเริ่มลงทุน เพราะ "การลงทุน" จะสร้างเครื่องผลิตเงินที่เลี้ยงเราจนตาย ..ไม่ใช่ขยะที่คุณซื้อมา !!

5. "จงเลือกก่อนเลยว่า จะเป็น คนเงินเดือนสูง หรือ คนเงินเดือนน้อย" ..ถ้าอยากเป็นคนเงินเดือนน้อย ก็เริ่มหางานง่ายๆ งานที่ใครๆก็ทำได้ งานสบาย แล้วจงหาหัวหน้ามาสั่งงานเรา ..แต่ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะ ต้องหางานยากๆ งานที่ไม่มีใครอยากทำ แล้วเป็นงานที่มีหัวหน้า แต่หัวหน้าต้องถามเราว่า ต้องทำอะไร ทำอย่างไร เพราะ งานนั้นอาจไม่มีมาก่อนในองค์กร เป็นสิ่งใหม่ที่เขาต้องความเห็นจากเรา หรือ เป็นสิ่งยากที่อยากได้คนรับผิดชอบ

6. "งานที่มี Career Path เป็นงานห่วย" ..วันนี้ใครๆ ก็รู้ว่า ผู้บริหารองค์กรปัจจุบัน อายุไม่ได้มาก เขายังต้องอยู่ตรงนั้นอีกนาน "รักษาเก้าอี้" ดังนั้น งานที่เปิดให้คนรุ่นใหม่คือ งานกระจอก งานแรงงาน ที่สุดท้ายใช้เครื่องจักรทำดีกว่า เขาหลอกโดยเอาคำว่า Career Path หรือ ตำแหน่งให้เราไต่ขึ้นไป แต่หารู้ไม่ว่า ข้างบนเป็นทางตัน เพราะ ผู้บริหารระดับสูง เดี๋ยวนี้ซื้อตัวคนมีประสบการณ์ง่ายกว่า ...ดังนั้น งานที่ดีในองค์กร คือ งานที่ไม่มี Career Path เพราะ แสดงว่า หน่วยงานนี้ เป็นสิ่งใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน นี่แหละ ได้ทั้งความรู้ และ โอกาสที่แท้จริง

7. "อย่าทำงานเพื่อเงินเดือน ให้ทำงานเพื่อความรู้"  ..ถ้าตั้งเป้าเป็นเงินจะได้เงินเดือนน้อย ..และไม่มีอนาคต แต่ถ้าตั้งเป้าเป็นความรู้ เราจะเห็นโอกาสใหม่ๆ เพราะ เราเปิดใจที่จะเรียนรู้ ...แล้วคุณจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว โอกาสหรือ Innovation มันล้วนเกิดในองค์กร เพียงแต่ผู้บริหารเขาไม่ใส่ใจ ...ถึงได้มี Steve Jobs ให้เราเห็น ...ต้องเข้าถ้ำเสือ ต้องเป็นลูกน้อง เพื่อเข้าไปเรียนรู้และหาโอกาสในองค์กร

8. "ให้ฝึกเป็นผู้นำ อย่าฝึกเป็นผู้ตาม" ...ในโลกมีคนสองประเภทเท่านั้น คือ หนึ่ง ผู้นำ สอง ผู้ตาม ...ผู้นำ รวยกว่า ไม่ต้องฉลาดก็ได้ แต่ต้องรู้วิธีการนำ ..ผู้ตาม ส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง เพียงแต่ไม่รู้วิธีการนำ จึงฝึกแต่เป็นผู้ตาม รอแต่คำสั่ง รอแต่หัวหน้า ...การฝึกเป็นผู้นำ คือ ฝึกนำ ...อะไรที่เราคิดว่าดี เราทำ แล้วถ้ามันดี เดี๋ยวคนอื่นตามเอง จุดเล็กๆ นี้ก็คือ วิถีผู้นำ ...ต้องฝึก ต้องนำ อย่าเอาแต่ทำตาม

9. "ลงทุนให้เป็น" ..เริ่มจาก "วางเงินให้ทำงานให้เป็น" ให้ศึกษาเรื่องออมในหุ้น ออมใน Asset ...สร้างเครื่องผลิตเงิน สร้างให้มันโตเรื่อยๆ แล้ววันนึงเราจะมีอิสรภาพทางการเงินจากสิ่งนี้ ..คนที่ลงทุนเป็น เขามีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณเสมอ ...ไม่ใช่เกษียณแล้วจะสบาย มันต้องสบายก่อนเกษียณต่างหาก

10. "อย่าหยุดฝัน" เพราะ ความฝันทำให้เรามีเป้าหมาย ..คนมีเป้าหมายคือ คนที่มีอนาคต ...สังเกตง่ายๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มหยุดคุยเรื่องความฝัน แล้วนั่งคุยแต่เรื่องอดีต เราก็กำลังจะเป็นคนที่หมดอนาคต กลายเป็นคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ คุยแต่เรื่องอดีต ชอบแต่เรื่องน้ำเน่า ...ถ้าอยากมีอนาคต คุยกับคนที่ชอบคุยเรื่องอนาคต อ่านหนังสือที่กระตุ้นให้เรามองเห็นอนาคต ..ทำในสิ่งที่ท้าทาย ...เมื่อใดก็ตามที่งานเรามั่นคง เราเองนั่นแหละที่กำลังจะเป็นอดีต

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

8 ข้อคิดเปลี่ยนชีวิต

เกริ่นก่อน ผมเคยเป็นมนุษย์ว่างงาน และกลายมาเป็นมนุษย์เงินเดือน ทั้งๆที่มีครอบครัวที่อบอุ่น หน้าที่การงานแม้เงินไม่เยอะแต่ก็มั่นคง แต่ผมไม่มีความสุข รู้สึกเลยว่าตัวเองกระจอก เป็นชนชั้นสวะ ชีวิตมีค่าน้อยกว่าเห็บหมา (ขนาดนั้น) เหงาแบบไม่มีสาเหตุ บลาๆ จู่ๆก็เกิดความรู้สึกอยากตาย อยากฆ่าตัวตาย ไปยืนเหม่อมองหน้าต่างได้เป็นชั่วโมง อยากหายไปจากโลก สุดท้ายเริ่มตั้งสติ ปล่อยไว้แบบนี้มีสิทธิ์กินเป็ดขัดส้วมตายแน่ ผมเลยคิดค้นวิธีการฉุดตัวเองออกจากสภาวะอยากตาย และจะต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่จนเพื่อนตะลึง…!!! ให้ได้

ปรากฏว่าผมทำได้ นอกจากเปลี่ยนตัวเองจนเพื่อน แฟน แฟนเพื่อน พ่อแม่พี่น้อง ญาตมิตรทั้งสนิทไม่สนิทตะลึงแล้ว ผมยังมีชีวิตที่ดีจากหน้าตีนและหลังมือเป็นของแถมอีกด้วย

ใครกำลังเบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง นอนไม่หลับ ไม่อยากตื่น อยากตาย หรือต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ อยากได้เส้นทางชีวิตใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร…??? ผมขอแนะนำ 8 วิธี เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่จนเพื่อนตะลึง…!!!  ส่งตรงจากประสบการณ์จริง ได้ผลจริง ใครทำแล้วไม่ได้ผล เปลี่ยนเป็นคนใหม่ไม่ได้ ชีวิตไม่ดีขึ้น ยังรู้สึกตัวเองกระจอกเหมือนเดิม เชิญมากระทืบผมฟรีได้เลยครับ…!!! เชิญ…!!!

1. ตั้งเป้าหมายให้ชีวิต

การตั้งเป้าหมายเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในชีวิต ลองสังเกตุความแตกต่างระหว่างชีวิตของคนที่มีเป้าหมายกับคนที่ไม่มีเป้าหมายนะครับ ฟ้ากับเหว… ตอนที่ชีวิตของผมตกต่ำผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาด้วยการตั้งเป้าหมายให้ชีวิต เคยกระจอก เคยโง่ เคยอยากตายยังไง ผมเปลี่ยนใหม่หมด ผมบอกเลยว่าต่อไปนี้กูต้องมีรายได้เดือนละเท่าไหร่ หุ่นกูต้องเป็นอย่างไร เพื่อนฝูงจะต้องรักกูแบบไหน หน้าที่การงานกูในอีกสองปีจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ยังไง การตั้งเป้าหมายถึงแม้มันจะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่มันจะเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราให้หลุดพ้นจาก Sad Zone อย่างรวดเร็วเหมือนลูกธนูที่ตรงดิ่งไปยังเป้า

2. บอกตัวเองทุกวัน ว่ากูเป็นคนดี กูเป็นคนเก่ง

สาเหตุหนึ่งที่ผมอยากตาย เพราะผมดันโดนเพื่อนที่ทำงานล้อหนักๆอยู่ช่วงหนึ่ง ผมโครตเครียดเลย ทำไมต้องพูดกันแรงขนาดนั้นด้วย การโดนเสียงข้างนอกบอกว่ากูห่วยมันยังไม่เท่าไหร่ แต่การที่เราเชื่อว่ากูห่วยเพราะเสียงคนอื่นจริงๆ มันเลวร้ายสุดยอด หนังสือจิตวิทยาเล่มหนึ่งบอกไว้เลยว่าให้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อตัวเองด่วน หายใจเข้าให้บอกว่ากูเป็นคนดีมาก หายใจออกให้บอกว่ากูเป็นคนเก่งมาก ทำอย่างนี้ซ้ำๆๆๆ จนกลายเป็นนิสัย เมื่อไหร่มีความคิดลบ เอาเลย กูเป็นคนดีมาก กูเป็นคนเก่งมาก บอกตัวเองจนตัวเองเชื่อว่ากูเป็นคนเก่งมาก กูเป็นคนดีมากจริงๆ ทัศนคติจากภายในจะเปล่งประกายจนผิวหนังของคุณส่องสว่างเหมือนหลอดไฟ 300 วัตต์เลยทีเดียว

3. ออกกำลังกายพลิกนิสัย

ตอนผมเศร้า ผมไม่มีแรงจะทำอะไร ขังตัวเองในบ้าน ในห้องนอน มองไปไหนก็เห็นแต่ฝ้าเพดาน กำแพง เฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ผมบอกตัวเองควรได้สิ่งดีๆก่อนแล้วถึงจะมีกำลังใจทำสิ่งดีๆให้ตัวเอง จนกระทั่งแฟนผมมาเตือนสติ มึงบ้าหรือเปล่า…!!! ผมเลยตัดสินใจคิดกลับด่วน ถ้ายังไม่มีแรง ต้องทำยังไงครับแฟนๆนักอ่านที่รัก กินคาราบาวแดงไง ถุย…!!! จะเอาฝาไปแลกสิบล้านรึไง เราต้องทำสิ่งที่ชาร์จแรง ชาร์จพลังให้กับเรา ด่วน ผมคว้ารองเท้าวิ่งขาดๆ ไปวิ่งเลยครับ ตั้งเป้าวิ่งให้ได้วันละ 30 นาที เอาเข้าจริง 10 นาทีมันก็เหนื่อยแล้ว แต่ค่อยๆวิ่งไปเรื่อยๆ วันไหนได้ออกกำลังกาย วันนั้นนอนหลับ ตื่นมาตัวเบา สบาย มีความสุข ที่สำคัญผมเลือกไปวิ่งหมู่บ้านที่คนรวยๆมันซื้ออยู่กัน วิ่งไปดูบ้านคนรวยไป แล้วบอกตัวเองว่า “ซักวัน คอยดู”

4. ถีบตัวเองจาก Comfort Zone 

วิธีการออกจาก Comfort ที่ดีที่สุด ก็คือ การเลือกที่จะทำอะไรใหม่ๆ คุณจะมีความรู้สึกสด ซิง ใหม่ ได้อย่างไรครับถ้าชีวิตคุณมันวนเวียนเป็นหนูถีบจักร ผมตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษฟรีที่โบสถ์ ได้ภาษาอังกฤษด้วย ได้เพื่อนต่างเพศ ต่างวัย ต่างหน้าตาด้วย ในตอนนี้ภาษาของผมยังอ่อนแอเหมือนเด็กแรกเกิด แต่ไม่เกินปีผมว่าผมเก่งอย่างแน่นอน การออกไปเจออะไรใหม่ๆช่วยชีวิตผมได้มาก และมันก็จะช่วยชีวิตเพื่อนๆได้เช่นเดียวกัน

5. อ่านสุดยอดหนังสือดี

ผมชอบอ่านหนังสือ เรียกได้ว่าเป็นไส้เดือนหนังสือ ผมสะสมหนังสือไว้เรียงเป็นผนังบ้านได้ (แต่อย่าให้ถ่ายรูปมาอวด เพราะมันกองเละเทะ) หนังสือที่ผมชอบมากคือหนังสือชีวประวัติคนดัง จิตวิทยา และหนังสือประเภทให้ความรู้ เล่มโปรดของผมที่สุด อ่านซ้ำที่สุดคือประวัติ Steve Jobs ผมเอาความรู้สึกตัวเองไปผูกกับประวัติของเขา Steve Jobs ยังเคยรู้สึกพ่ายแพ้ ล้มเหลว ขี้แพ้ เป็นคนที่โลกไม่ต้องการ ณ ตอนนี้ผมเองก็มีอาการแบบนั้น นั่นแสดงว่าผมก็มีสิทธิ์ที่จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เพราะอย่างน้อยผมก็มีอาการแบบที่เขาเคยมี (คิดบวกสุดๆ 555+)

6. กำจัดต้นเหตุ

ผมมานั่ง List เลย ทำไมจากคนที่ร่าเริง เฮฮาอย่างผมถึงได้มีความรู้สึกขนาดนี้ อันดับแรก ผมไม่ชอบนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า ไม่ชอบรถติด เงินไม่พอใช้ ไม่ชอบทำงานโดยขาดแรงบันดาลใจ ไม่ชอบนั่งในที่ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน และที่สำคัญ ไม่ชอบตัวเอง พอค้นหาสาเหตุเจอแล้ว ก็เริ่มแก้ไขปัญหาทีละข้อ ที่ทำงานไกล รถติด ก็หาที่ทำงานใกล้ขึ้น ไม่ชอบทำงานแบบขาดแรงบันดาลใจ ก็ย้ายไปที่ทำงานที่มีผู้บริหารไฟแรง ไม่ชอบตัวเองก็เปลี่ยนตัวเอง และสุดท้ายก็ลาออกมาเลือกเส้นทางตัวเอง เพราะเงื่อนไขรถติด กับนั่งในออฟฟิตไม่ตอบโจทย์ผม

7. ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า

แฟน ผมเป็นคนใจดี ชอบซื้อปลาดุกจากตลาดมาปล่อย แถมยังชอบให้ข้าวหมาวัด แมววัด ด้วย ผมสังเกตุคุณภาพจิตตอนทำบุญ ปรากฏว่าสว่างไสวแม้วันที่ย่ำแย่ (บางครั้งมันกัดกันแย่งอาหาร ก็อยากถีบหมา แต่ต้องเก็บอาการเพราะกลัวแฟนถีบคืน) การได้ช่วยเหลือคนที่ย่ำแย่กว่าเราให้มีความสุข นั่นเป็นการบอกตัวเองว่าชีวิตเรามันมีความหมาย ไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่คิด แถมยังได้บุญ ไดุ้กุศล จิตใจผ่องใสเป็นของแถมอีกต่างหาก ได้หลายเด้งเลย

8. ศรัทธาตัวตนของเราที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้

ในข้อแปดนี้ถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในวันพรุ่งนี้ ไม่เชื่อว่าเราสามารถมีตัวตนที่ดีกว่าเดิม ยอดเยี่ยมกว่าเดิม สุดยอดกว่าเดิม ทั้งเจ็ดข้อที่กล่าวมาแทบจะไม่มีความหมายใดๆเลย ขอเพียงคุณเชื่อว่าคุณสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้น รวมไปถึงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมของการเปลี่ยนแปลงตัวเองจนเพื่อนตะลึงแล้วครับ…!!!

ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน ค้นพบศักยภาพที่แท้จริง ทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในทุกๆด้าน ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเอาวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าได้ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนสามารถพัฒนาดวงชะตาของตัวเองได้ด้วยการกระทำ อย่ายอมให้กรรมเก่ามาลิขิตชะตาชีวิตคุณ และที่สำคัญ ผมรับประกันโดยที่ผมไม่ได้อะไรเลยครับ ว่าถ้าใครทำตามวิธีการที่ผมแนะนำ ชีวิตโครตมีความสุขกว่าเดิม 8 เท่า ด้วย 8 ข้อนี้อย่างแน่นอน…!!!

และถ้าใครทำแล้ว ปรากฏว่าไม่เห็นจะมีความสุข ชีวิตรู้สึกเน่า แย่ และไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม เชิญมากระทืบผมที่บ้านได้เลยครับ แต่ก่อนมากรุณาโทรบอกก่อนนิดนึงนะครับ จะได้เตรียมตัวหอบข้าวหอบผ่อน ผมไม่ได้กลัว

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความหมายของอาหารไหว้ ซาแซ-โหงวแซ

ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ขุนนาง ยศ และ ความขยันขันแข็ง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

เป็ด หมายถึง สิ่งที่บริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

หมู หมายถึง ความอุดมสมบรูณ์ มีกินมีใช้

ปลาหมึก หมายถึง เหลือกินเหลือใช้(เหมือนปลา)

ตับ เพื่อให้ก้าวหน้าในงานเพราะคนจีนแต้จิ๋วเรียกตับว่า “กัว”

ปลาหมึกแห้ง เพื่อให้มีหมึก หรือความรู้ เป็นการอวยพรให้เป็นบัณฑิต หรือผู้มีความรู้

ซาลาเปา เพื่อ “เปาไช้” แปลว่า “ห่อโชค”

ความหมายของ ผลไม้ไหว้
-----------------------
กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

แอปเปิ้ล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง ( ควรระวัง ไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ )

ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

ความหมายของขนมไหว้
----------------
ขนมเข่ง หมายถึง ความหวานชื่น ชีวิตมีความราบรื่น รูปลักษณ์มีความหมายของชะลอมที่เก็บของ เมื่อรวมกันกับความหวานชื่น จึงหมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

ขนมถ้วยฟู หมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู

สาลี่(ขนม) หมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู (เหมือนขนมถ้วยฟู)

ขนมไข่ หมายถึง เพื่อให้เจริญเติบโต

ขนมเทียน หมายถึง เพื่อให้สว่างรุ่งเรือง ขนมเทียน ปกติ ขนมเทียนไม่ใช่ขนมของชาวจีนดั้งเดิม แต่เป็นขนมที่ถูกปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดิน
โดยดัดแปลงจากขนมท้องถิ่น(ของไทย) จากขนมใส่ไส้ เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน
ความหมายของขนมเทียนจึงใช้ความหมายเดียวกับขนมเข่ง คือความหวานชื่น ราบรื่น ส่วนรูปลักษณ์ที่เป็นสามเหลี่ยมกรวยแหลม มีลักษณะมงคลในทางศาสนา คือ เจดีย์

จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง “ ปิ่นโต” ( “จั๊ง” หมายถึงชั้น, “อั๊บ” หมายถึงกล่อง) ความหมายรวมของ “จั๋งอั๊บ” คือ จึงหมายถึง ความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป

ความหมายของมงคลอื่นๆ
-------------------
เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย

เกาลัด -มีความหมายถึง เงิน

ถั่วตัด -หมายถึง แท่งเงิน

สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย

เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข

หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข

เต้าหู้ - ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่ง เป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์