หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตำนานรักและผูกพันของ ลี กวน ยู กับ อาจู

เปิดโลกวันอาทิตย์ : ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
              แม้จะถูกสื่อตะวันตกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการประชาธิปไตย แต่ลี กวน ยู รัฐบุรุษโลก กลับเป็นเผด็จการที่ชาวสิงคโปร์และโลกรักและเคารพยกย่อง กระทั่งสามารถอยู่ในวงการเมืองจวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต เทียบกับอดีตเผด็จการอย่างอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสแห่งแดนตากาล็อกฟิลิปปินส์ และอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตแห่งแดนอิเหนาอินโดนีเซีย ผู้เป็นเผด็จการร่วมรุ่นร่วมยุคสมัย แต่กลับถูกประชาชนรวมพลังอัปเปหิด้วยข้อหาเดียวกันนั่นก็คือทุจริตคอร์รัปชั่นยักยอกเงินของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ กระทั่งติดอันดับ 10 ยอดผู้นำสุดโกงกินมากที่สุดในโลก

ยิ่งไปกว่านั้น หลังบ้านของมาร์กอสและซูฮาร์โตต่างก็ขึ้นชื่อลือเลื่องเช่นกันในเรื่องการรับเงินสินบน กระทั่งนางอิเมลดา มาร์กอส ได้รับฉายาว่า "มาดามผีเสื้อเหล็ก" และ"มาดาม 3 เปอร์เซ็นต์ " ส่วนนางสตี ฮาร์ตินาห์ หรือ "มาดามเทียน" คู่ชีวิตของซูฮาร์โต ก็ได้รับสมญาว่า "มาดาม 10 เปอร์เซ็นต์" จากการหัก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าวิ่งเต้นให้บริวารว่านเครือของซูฮาร์โต

แต่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของลี กวนยูและนางกัว เก็ก จู หรือ "อาจู" ภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งไม่เคยมีข้อครหาแม้แต่น้อยว่าทุจริตคอร์รัปชั่นหรือรับสินบนใดๆ ยิ่งกว่านั้นมาดามลี ซึ่งไม่ได้เป็นโฉมสะคราญแบบนางอิเมลดา มาร์กอส ที่เคยสวมมงกุฎรองนางงามฟิลิปปินส์มาก่อน หากแต่มากปัญญาแบบนางอุยซี ภรรยาของขงเบ้ง ก็ยินดีทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของลี กวน ยู อย่างเงียบๆ คอยให้กำลังใจจนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง

ลีถึงกับออกปากยกย่องว่าเธอเป็นยิ่งกว่าภรรยา เพราะยังเป็นเพื่อนแท้และที่ปรึกษาผู้รู้ใจที่ตัวเองไว้วางใจมากที่สุด 

สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาแต่ปางบรรพ์ ในฐานะที่ต่างเป็นรักแรกและรักเดียวในกันและกัน และเป็นเงาของกันและกันเรื่อยมา แม้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานถึง 63 ปี เหตุนี้ จึงไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เมื่อ "อาจู" เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อเย็นวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ลี กวน ยู จึงสารภาพว่านับตั้งแต่ไม่มีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอยู่เคียงข้าง ชีวิตของตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว 

และนับแต่นั้น รัฐบุรุษโลกลี ก็หมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไปตามลำพัง นอนป่วยกระเสาะกระแสะอยู่แต่บนเตียงและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม

แม้ภายนอกจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด กระทั่งสามารถนำเกาะสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติแม้แต่น้อยให้กลายเป็นเกาะมหัศจรรย์และเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหญ่แห่งเอเชีย แต่ในเรื่องของความรักแล้ว ลี กวน ยู กลับเป็นคนรักและสามีที่สุดแสนอ่อนโยน รักเดียวใจเดียว และให้ความสำคัญกับ "อาจู" เสมอมา ในฐานะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้ในเรื่องการเรียน

ตั้งแต่เด็ก กัว เก็ก จู ได้ชื่อว่าเป็นคนเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่ 1 ระหว่างการสอบชั้น ม.6 เคมบริดจ์ทั่วมาลายา และขณะมีอายุ 16 ปี ก็เป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวที่เข้าไปเรียนพิเศษที่วิทยาลัยราฟเฟิลส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายชื่อดังเพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป แล้วได้พบกับลีเป็นครั้งแรก

ความรักที่แม้แต่สวรรค์ยังอิจฉาของทั้ง 2 คนปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกอัตชีวประวัติของลี กวน ยู ที่เผยแพร่เมื่อปี 2542 ซึ่งเล่าหมดเปลือกว่าได้พบกันครั้งแรกปี 2487 ตอนที่เธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวของวิทยาลัยชื่อดังที่เป็นแหล่งรวมของสุดยอดนักเรียน 150 คน แต่ในครั้งนั้น นอกจากจะไม่ใช่รักแรกพบแล้ว

ทั้ง 2 คนยังเหมือนกับคู่กัดที่ต้องแข่งกันเพื่อชิงความเป็นที่ 1 ในการสอบวิชาต่างๆ ปรากฏว่าสาวน้อยกัว เก็ก จู ซึ่งมีอายุมากกว่าหนุ่มน้อยลี กวน ยู 2 ปีสามารถเอาชนะได้ที่ 1 ในวิชาภาษาอังกฤษและเศรษฐศาสตร์ ส่วนหนุ่มน้อยลีได้ที่ 2 หลังจากเลิกคิ้วและตีสีหน้าใส่กัน มิตรภาพกลับทวีความแนบแน่นมากขึ้น ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง สุดท้ายก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักในอีก 2 ปีให้หลัง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง พ่อของลี กวน ยูกัดฟันส่งแฮรี ลี และเดนนิส น้องชายไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลีสารภาพว่า "เรายังเด็กและกำลังมีความรัก จึงได้แต่กังวลห่วงใยและเฝ้าหวังว่ากัว เก็กจูจะสามารถสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป ได้เพื่อจะได้มาเรียนต่อที่เคมบริดจ์ด้วยกัน....ผมถามเธอว่าจะคอยผมกลับมาในอีก 3 ปีให้หลังหรือไม่ อาจูถามผมว่ารู้หรือเปล่าว่าเธอแก่กว่าผม 2 ปีครึ่ง ผมตอบว่ารู้และได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว ผมเองก็เป็นเด็กโตเกินวัย เพื่อนๆ ล้วนแต่มีอายุมากกว่า ยิ่งกว่านั้น ผมก็ต้องการใครสักคนที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ใครที่ไม่รู้จักโตและต้องการให้คนคอยปกป้องดูแลตลอดไป ผมเองก็ไม่ต้องการมองหาหญิงอื่นที่ทัดเทียมกันและสนใจอะไรๆ เหมือนกัน เธอตอบว่าเธอจะรอผม" แม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะไม่ยินดีพิจารณาแฮรี ลีให้เป็นว่าที่ลูกเขยก็ตาม

หลังสงคราม อาจูได้กลับมาเรียนต่อที่ราฟเฟิลส์และสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รวมทั้งสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปด้วย ซึ่งทุนนี้จะให้เด็กเรียนดีชาวสิงคโปร์ปีละทุนเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าเธอสอบชิงทุนนี้ไม่ได้ เธอก็ต้องเฝ้ารอคอยลีถึง 3 ปี ซึ่งต่างก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น สาวหัวดีและเรียนเก่งอย่างอาจูจึงฮึดสู้และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

เธอสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปได้ดังหวัง แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคไม่คาดฝัน เนื่องจากทางการไม่สามารถหาที่ว่างในมหาวิทยาลัยให้ได้ จึงแจ้งให้เธอรออีกหนึ่งปี แต่หนุ่มน้อยแฮรี ลี กลับไม่สามารถทำใจรอได้ จึงได้วิ่งเต้นผ่านคณบดี กระทั่งยอมรับให้เธอมาเรียนที่เคมบริดจ์ได้ในเทอมถัดมา

                        สองหนุ่มสาวจึงได้มาพบหน้ากันใหม่ในกรุงลอนดอน หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ขอแต่งงานเงียบๆ อาจูตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าขัดต่อประเพณีก็ตาม ทั้ง 2 จึงได้แอบแต่งงานกันที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน อันเป็นเมืองบ้านเกิดของเชคสเปียร์เมื่อปี 2490

หนุ่มน้อยลีได้ซื้อแหวนทองคำขาวให้ ซึ่งอาจูได้ร้อยกับสายสร้อยสวมคล้องคอไว้ตลอดมา สองหนุ่มสาวได้ปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งตราบจนเสียชีวิตก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะกลัวว่าทางบ้านและเจ้าของทุนจะไม่ยอมรับและอาจยึดทุนคืน และโลกเพิ่งรู้ความลับนี้จากหนังสืออัตชีวประวัติของลี กวน ยู ซึ่งเล่าว่าเมื่อเดินทางกลับสิงคโปร์ ทั้ง 2 คนได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2493 "ผมไม่คิดว่าเป็นข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ที่ต้องแต่งงาน 2 ครั้งกับผู้หญิงคนเดียวกัน"

หลังจากแต่งงานแล้ว อาจูทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและทำงานเป็นทนายความในสำนักทนายความลี แอนด์ ลี ที่ลีและเดนนิส น้องชาย ร่วมกันตั้งขึ้นมา ก่อนที่ลีจะวางมือจากสำนักทนายความแห่งนี้เพื่อไปเล่นการเมือง ปล่อยให้อาจูและเดนนิสช่วยกันบริหาร กระทั่งกลายเป็นสำนักทนายความที่ใหญ่ที่สุด

และแม้จะมีทายาทคนแรกด้วยกันนั่นคือลี เซียน หลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2495 เธอก็ช่วยงานของลีโดยเป็นคนตรวจร่างถ้อยแถลงต่างๆ ด้วยภาษาที่ง่าย แจ่มแจ้งและตรงประเด็น ทำให้ลี ประสบความสำเร็จในงานทนายความ อาจูยังช่วยสอนเคล็ดลับการเขียนภาษาอังกฤษให้กระชับและใช้ประโยคที่มีประธานเป็นทำกริยานั้นโดยตรง ที่สำคัญคือเป็นคนช่วยร่างธรรมนูญของพรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ที่ลี กวน ยูตั้งมากับมือ และยังเป็นคนช่วยแก้สำนวนภาษาให้ถูกต้อง

ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลี กวน ยู ได้ยกย่องเธอ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือการมีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองออกล่วงหน้าว่าการผนึกรวมสิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายู ท้ายที่สุดก็จะล้มเหลว เนื่องจากความแตกต่างของวิถีชีวิตและทัศนะการเมืองของผู้นำพรรคอัมโน พรรครัฐบาลมาเลเซีย ปรากฏว่าเธอทายถูกเพราะท้ายที่สุดมาเลเซียก็อัปเปหิสิงคโปร์เมื่อปี 2508 ทำให้ลี กวน ยู ฮึดสู้ ตั้งเป็นประเทศ และตัวเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนานติดต่อกันถึง 31 ปี

ในช่วงผ่องถ่ายอำนาจนั้น "อาจู" ยังมีส่วนช่วยเหลือลีในการร่างกฎหมายแยกประเทศให้ครอบคลุมเรื่องที่มาเลเซียจะต้องรับประกันว่า จะต้องจ่ายน้ำประปาให้สิงคโปร์ตลอดไป และลีได้ใช้สัญญาข้อนี้มาอ้างทุกครั้งที่ผู้นำมาเลเซียขู่จะตัดน้ำประปา

ช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ อาจูคอยเป็นกำลังใจและมีส่วนช่วยสถาปนาประเทศสิงคโปร์มากับมือ "ตอนที่เกิดวิกฤติไม่ว่าจะครั้งไหนๆ เราจะไม่ยอมปล่อยให้อีกคนหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว อ้างว้างตามลำพัง ตรงกันข้าม เราจะเผชิญกับวิกฤติด้วยกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข แบ่งปันความรู้สึกกลัวและความหวังด้วยกัน ในช่วงนั้นๆ เรายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป ความผูกพันของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นตามลำดับ"

มาดามลีก็มักจะเล่าตำนานชีวิตให้คนรุ่นหลังฟัง พร้อมกับสารภาพว่า แม้เธอจะเป็นนักบุกเบิกการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีรุ่นแรก แต่เธอก็ยินดีทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เดินทางไปกับเขาเหมือนเป็นเงาตามตัวโดยเฉพาะการเดินทางไปกระชับสัมพันธไมตรีทางการทูตและการพบปะกับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ "ฉันจะเดินตามหลังสามี 2 ก้าวเสมอ"

แต่สิ่งที่เธออุทิศให้ตลอดก็คือการดูแลครอบครัว ทุกเที่ยงเธอจะกลับบ้านทำอาหารกลางวันให้ลูกทั้ง 3 คน ยามว่างก็คอยจัดทำประวัติและเก็บแฟ้มรูปของลูกๆ ทุกคนจนกระทั่งโต ยามว่างก็จะชอบทำสวน เลี้ยงนก พาลูกๆ และหลานๆ ไปเดินเล่น

อาจู เป็นนักกฎหมายอาชีพนานกว่า 40 ปี กระทั่งเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 2546 ลี กวน ยู ซึ่งแม้จะเติบโตในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรเองแม้กระทั่งตอกไข่ ก็สลัดความเป็นใหญ่ทิ้งทันที และปรับวิถีชีวิตของตัวเองใหม่เพื่อจะได้ดูแลภรรยาคู่ยากอย่างใกล้ชิด

เมื่อตาข้างซ้ายของเธอเริ่มมืดมัว ลีก็จะนั่งตรงข้างซ้ายของเธอระหว่างอาหาร คอยให้กำลังใจเธอให้ค่อยๆ กินอาหาร และเมื่อเธอทำอาหารหก เขาก็จะค่อยๆ เก็บเศษอาหารทิ้ง นอกจากนี้ก็คอยกระตุ้นให้อาจูว่ายน้ำทุกวันและจะเป็นคนวัดความดันให้วันละหลายครั้ง แม้ว่าลี เหว่ย หลิง ลูกสาวคนกลางซึ่งเป็นหมอจะขอให้แพทย์คนหนึ่งติดอุปกรณ์วัดความดันสวมที่ข้อมือเหมือนนาฬิกาก็ตาม แต่อาจูเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ฉันอยากให้สามีของฉันเป็นวัดความดันให้มากกว่า"

โรคหัวใจที่กำเริบเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2551 ทำให้อาจูต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง พูดไม่ได้ แต่ยังมีความรู้สึกและรับรู้คำพูดของคนอื่นๆ ทุกวันหลังเลิกงาน ลีก็จะมานั่งข้างเตียงเล่าให้เธอฟังว่าทำอะไรบ้าง และทุกคืนก็จะอ่านบทกวีที่อาจูชื่นชอบให้ฟังนาน 2 ชั่วโมงโดยไม่มีขาดแม้แต่คืนเดียว และเนื่องจากหนังสือรวมบทกวีนั้นแสนจะหนาและหนัก ลีจึงต้องวางหนังสือบนขาตั้งดนตรี ปรากฏว่าคืนหนึ่งเขาเผลองีบหลับ กระทั่งหน้ากระแทกขาตั้งเป็นรอยช้ำ แต่ก็ไม่ทำให้ลีถอดใจแต่อย่างใด ยังคงอ่านบทกวีให้ภรรยาคู่ยากฟังทุกคืน และแม้จะประกาศว่าเลิกนับถือทุกศาสนาแล้วก็ตาม  แต่ลี กวน ยู กลับสวดมนต์ภาวนาให้อาจูมีอาการดีขึ้น ว่ากันว่าลี เครียดกับอาการป่วยของเธอยิ่งกว่าคราวที่ประสบมรสุมทางการเมืองเสียอีก

หลังจากนอนนิ่งบนเตียงนาน 2 ปี "อาจู" ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 89 ปี ลีค่อยๆ เดินไปที่โลงศพเพื่อนำดอกกุหลาบแดงไปวางบนร่าง พลางใช้มือขวาลูบใบหน้าของเธอ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผาก

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

เชือกกับ...ปัญหา

ตอนเด็กๆ ฉันเคยหัวเสียกับเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง ยิ่งแก้ก็ยิ่งอารมณ์เสีย ฉันร้องห่มร้องไห้ โทษดินฟ้าอากาศ แล้วคิดว่าทำไมฉันต้องทนกับเจ้าเชือกไร้สาระพวกนี้ด้วย เลยใช้มีดตัดๆ ตัดจนเชือกขาดเป็นชิ้นๆ (สะใจจริง) พอหายโมโห ฉันนั่งมองกองเชือกขาดๆ ที่ไร้ประโยชน์ (โถช่างน่าสงสารจริงๆ ทั้งตัวเองและเชือก)

แต่แล้วครั้งต่อมา พอเชือกพันกันอีก ฉันก็ใช้มีดตัดมันอีกอย่างไม่คิดอะไร จนวันหนึ่ง...ฉันเห็นแม่นั่งแก้เชือก ที่พันกันกองโต  มันยุ่งชนิดที่ว่า ชาตินี้คงไม่สามารถกลับมาเป็นเส้นตรงได้เหมือนเดิม

ฉันเห็นแม่นั่งแก้ทุกวัน วันละนิดละหน่อย พอเบื่อก็ไปทำอย่างอื่น ทิ้งกองเชือกกองไว้ แล้วก็กลับมานั่งแก้อีก จนฉันรำคาญ และคิดว่าทำไมแม่ต้องทนกับกองเชือกไร้สาระพวกนี้ เลยบอกแม่ว่า...เอามีดตัดมันออกเถอะ นั่นแหละฉันถึงได้เข้าใจเมื่อแม่ตอบว่า...

“เวลาที่เชือกพันกัน เขาห้ามใช้มีดตัด ต้องแก้ออกให้ได้ เพราะเชือกเป็นเส้นเดียวต่อให้พันกันยุ่งแค่ไหนก็แก้ได้ ถ้าแค่เชือกพันกันแค่นี้ลูกแก้ไม่ได้ แล้วต่อไปจะแก้ปัญหาอะไรในชีวิตได้ ลูกก็จะแก้ปัญหาสุ่มๆ เหมือนที่ใช้มีดตัดเชือกนั่นแหละ ถ้าลูกไม่อดทนแก้เชือกด้วยมือตัวเอง ค่อยๆ แกะวันละนิดละหน่อย แค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้ ไม่มีอะไรยากไปกว่าความอดทนของคนหรอก”

หลังจากนั้นอีก 3 วัน ฉันเห็นขดเชือกเส้นสวยเป็นระเบียบแขวนอยู่ ฉันมองอย่างทึ่ง แม่ยิ้มอย่างภูมิใจ เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้ว่า ปัญหาของคนเรา จริงๆ แล้วคือบทเรียนที่มีคุณค่าเพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้างเป็นเรื่องปกติ จะได้ “ล้มเป็นลุกเป็น”

โลกสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ให้เราผ่านไปให้ได้ 
ฉันไม่เคยซ้ำเติมคนที่ฆ่าตัวตายว่าเขาโง่ เพียงแต่เขาก้าวผ่านปัญหาบนโลกไปไม่ได้ เขาเลยเลือกที่จะหนีไปจากโลกนี้แทน ด้วยความขาดสติ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

พอวันวัยผ่านมา ตอนนี้ฉันได้รู้ว่า ชีวิตคนเราผิดพลาดได้ ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย ไม่ว่าจะเหนื่อยจะท้อแค่ไหน อย่าหนีปัญหาไปเฉยๆ 

แค่บอกปัญหาว่า... “พักสักเดี๋ยว แล้วค่อยมาเจอกันใหม่”
 

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข้อความดีๆ ที่ต้องย้ำบ่อยๆ


อยากให้อ่าน ช้า ช้า สบายๆ

เมื่อตอนที่นก
ยังมีชีวิตอยู่..
มันจะกินมดเป็นอาหาร
แต่เมื่อมันตาย..
มันก็จะถูกมดกินเป็นอาหารเช่นกัน

ต้นไม้หนึ่งต้น
สามารถทำเป็นไม้ขีดไฟได้เป็นล้านๆก้าน
แต่ไม้ขีดไฟเพียงหนึ่งก้าน
ก็สามารถเผาต้นไม้ได้เป็นล้านๆต้นเช่นกัน

จงอย่ามองข้ามคนที่ด้อยกว่า เพราะหลงตัวเองว่ายิ่งใหญ่

อย่ามองข้ามลูกค้ารายเล็ก
ไม่เห็นคุณค่าของพวกเขา
เพราะสักวันหนึ่งเขาอาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราก็เป็นได้
อย่าคิดว่าเราแข็งแรงไม่มีวันป่วยเพราะอายุยังน้อย
โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่แต่มีไว้ใส่คนตาย

อย่าคิดว่าฉันรวยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
สักวันเงินเพียง1พัน
อาจมีค่ามากมายในวันตกอับก็ได้

ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
ใหญ่ได้ก็เล็กได้
รวยได้ก็จนได้
แข็งแรงได้ก็ป่วยได้
เกิดได้ก็ต้องตายได้
ทุกคนไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
ท่องจำให้ขึ้นใจ
"อย่าหลงตนอย่าลืมตัว"
และที่สำคัญ
"ข้าจะไม่ประมาท"
กับชีวิตอีกต่อไป..

จะไม่ว่างแค่ไหนก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี

แม้ว่าบางครั้งติดต่อเพื่อนได้ยาก
แต่ก็ให้คิดถึงเสมอ..

กลางวันดื่มน้ำให้มาก
กลางคืนดื่มน้ำให้น้อย

วันหนึ่งดื่มกาแฟไม่ควรเกิน2แก้ว

เรื่องที่ควรลืม3เรื่อง
1.ลืมอายุ
2.ลืมเรื่องที่ผ่านมา
3.ลืมเรื่องที่จะกล่าวโทษคนอื่น

สิ่งที่ควรมีไว้4อย่าง
1.มีคนที่รักคุณด้วยความจริงใจ
2.มีเพื่อนที่รู้ใจ
3.มีงานมีการทำ
4.มีบ้าน

สิ่งที่ไม่ควรทำ6อย่าง
1.หิวแล้วไม่ยอมทาน
2.หิวน้ำไม่ยอมดื่ม
3.ง่วงแล้วไม่ยอมนอน
4.เหนื่อยแล้วไม่ยอมพัก
5.ไม่สบายไม่ยอมรักษา
6.แก่แล้วค่อยคิดเสียใจ

ความโกรธ
ทำให้หัวใจ"ทำงานหนัก"
ความรัก
ทำให้หัวใจ"ทำงานดี"
ความดี
ทำให้หัวใจนั้น"พองโต"
ความโง่
จะทำให้"เสียหาย"

สิ่งที่สูงกว่าเงิน7อย่าง
1.การได้เกิดมาเป็นคน
2.การได้ยลศาสนา
3.การมีกัลยาณมิตร
4.การมีความสุจริตเป็นนิสัย
5.การมีใจปราศจากริษ ยา
6.การมีเวลาให้บุคคลอันเป็นที่รัก
7.การรู้จักคำว่า"พอ

เงินพันบาทเลี้ยงใจแม่

กระทู้สนทนา เงิน 1000 บาท เลี้ยงหัวใจแม่

อาจารย์ของผมท่านได้ให้ เงินเดือนพ่อและแม่ เดือนละ1000บาท เป็นประจำทุกเดือน
ผมสงสัยทำไมต้องให้เงิน
พ่อแม่เดือนละ 1000. บาท? ในเมื่อแม่ก็อยู่บ้าน
หลังเดียวกับอาจารย์อยู่แล้ว
ค่าใช้จ่ายสำหรับท่าน อาจารย์ก็จัดการทั้งหมดอยู่แล้ว วันหนึ่งสบโอกาศผมจึงตัดสินใจ ถามอาจารย์ๅ ว่า
"อาจารย์กำลังทำอะไรครับ?"

อาจารย์ตอบว่า
"ผมกำลังตัดรายจ่ายอยู่...ผมต้องจ่ายค่าแม่ครัว คนขับรถ คนสวน ค่าใช้จ่ายในบ้าน และให้แม่อีกเดือนละ 1000 บาท... ตอนนี้รายได้กับรายจ่ายมัน
ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ต้องตัดรายจ่ายลงบ้าง"

ผมเลยบอกว่า "เงินเดือนที่ให้แม่ 1000 ตัดได้นี่ครับ...
อาหาร 3 มื้อ อาจารย์ก็จัดให้ท่านเรียบร้อ
เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ปีละ 3 ชุด ไม่สบาย อาจารย์ก็พาหมอมาฉีดยาให้ คุณแม่ตาบอดไม่ได้ไปไหน ฉะนั้นเงินเดือน 1000 นี่ ตัดได้ครับ"

อาจารย์บอกว่า
"ตัดไม่ได้เด็ดขาด...1000 บาทนี่สำคัญที่สุด
เพราะ...เป็นเงินสำหรับเลี้ยง
หัวใจแม่!"

ผมฟังแล้วสะอึก!
"เงินเลี้ยงหัวใจแม่"...พวกเราเคยได้ยินไหมครับ?

อาจารย์บอกต่อ
“หัวใจต้องการอาหารที่มา
หล่อเลี้ยงให้เอิบอิ่ม เบิกบาน เป็นสุข...
คุณลองนึกดู...คนที่ไม่มีเงินอยู่ในตัวเลยนี่
เป็นยังไง? หัวใจมันแฟบ หัวใจมันเหี่ยวเฉา-เหมือนดอกไม้ยามเย็น ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนจะรู้ พอเลยวันที่ 25 ไปแล้วนี่ มันเหี่ยวๆ ยังไงชอบกล ไม่มีเงินค่ารถ..ค่าอาหาร..ซื้อข้าวสาร..มันเหี่ยวไปจนถึงสิ้นเดือน

แม่อยู่กับเราก็จริง แต่ถ้าแม่ไม่มีเงินอยู่ในมือนี่ หัวใจท่านเหี่ยว พอถึงวันเงินเดือนออก ทุกคนหน้าบานเหมือนดอก
ไม้ยามเช้า จิตใจสดชื่นเบิกบาน มีความสุข รับเงินเดือนมาใหม่ๆ หน้าสดใส สั่งกาแฟยังเสียงดัง ฟังชัดทุกสิ้นเดือนพอเงินเดือน
ออก ผมเข้าไปสวัสดีแม่ บอกแม่ว่า
วันนี้เงินเดือนออกครับ ผมเอาเงินใส่มือแม่ 1000 บาท แม่ก็ให้พร เเล้วเก็บเงินไว้ใต้หมอนไว้อย่างมีความสุข"

1000.-บาท เลี้ยงหัวใจแม่อย่างไร?
วันหนึ่งน้องของอาจารย์พา
ภรรยาไปคลอดลูก คุณแม่ก็ซื้อทองให้หลาน
ด้วยเงิน 1000 บาท ที่เก็บสะสมไว้ ท่านกอดหลานสาว...สวมสร้อยให้พร้อมให้พร

พอเด็กคนนี้โตพอพูดได้ มีคนถามว่าสายสร้อยนี้ใคร
ซื้อให้ เด็กก็จะตอบว่า “คุณย่าซื้อให้” ชี้มือไปที่คนตาบอด คนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านคือคุณย่า ไม่ใช่พ่อแม่ เพราะเงิน
1000 บาท นี่ทำให้คนตาบอดดูน่าเกรง
ขราม ถ้าคุณแม่ไม่มีเงิน จะรับขวัญหลานได้อย่างไร ? เห็นไหมครับ ?

ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้น มีคนถามว่าคนนี้เป็นใคร เด็กบอกว่ายายแก่ตาบอดที่..มาอาศัยพ่อแม่ฉันอยู่ เห็นหรือยังคุณว่าเงินเดือน 1000 บาทนี่ทำให้คนแก่ตา
บอดมีคุณค่าขึ้นมาได้

วันดีคืนดี แม่ครัวล้างชามเสร็จ คุณแม่ก็บอกให้มานวดขาให้แม่ครัวหน้ามุ่ยทำงาน
เหนื่อยยังต้องมานวดให้อีก นั่งขยำๆ คว่ำหน้า พอนวดเสร็จคุณย่าหยิบ
เงินให้ 100 บาท แม่ครัวยิ้มหน้าบาน ยกมือไหว้ ขอบคุณค่ะ วันรุ่งขึ้นพอล้างจานเสร็จ
รีบวิ่งมานั่งใกล้ๆ... วันนี้นวดอีกไหมคะคุณย่า?

เห็นไหมเงินเดือน 1000 บาท ที่เราให้แม่ของเรามี
ฤทธิ์ขึ้นมาได้มีคนมายกมือ
ไหว้ มีคนมาปรนนิบัติ มีคนมานวดให้ ถ้าไม่มีเงินเดือน 1000 บาท นี้แม่เราจะมีฤทธิ์
ได้อย่างไร?

บันไดไปสวรรค์ด้วยเงิน
1000 บาท

วันหนึ่ง กำนันมาที่บ้านอาจารย์ หารือจะปรับปรุงห้องน้ำ
วัดที่ชำรุดทรุดโทรม แม่อาจารย์ได้ยินกวักมือ
เรียกอาจารย์
แล้วคุณแม่ยกหมอนขึ้น นับเงินมา 5000 บาท บอกเอาไปให้
กำนันปรับปรุงห้องน้ำ

เห็นมั๊ยว่าเงินเดือน 1000 ที่เราให้เป็นบันไดพาแม่
ไปสวรรค์...นี่ถ้าแม่ไม่มีเงินในมือแม่จะได้ทำบุญไหม?

พอกำนันรับเงินเสร็จ ก็เดินผ่านไปบ้านถัดไป ลุงแก่ๆบ้านโน้นกำลังเก็บผ้าอยู่ในบ้าน กำนันตะโกนข้ามรั้ว ทำบุญสร้างส้วมไหมลุง?

ลุงข้างบ้านตอบ “ลุงไม่มีเงินหรอก ลุงอาศัยลูกสาวเขาอยู่ เดี๋ยวเผื่อลูกสาวเขากลับมาทันจะขอเงินเขาทำบุญ” เพราะลูกเค้าไม่ได้ให้เงิน
เดือนลุง ลุงคนนี้เป็นเพียงแค่คน
เก็บผ้าของ ลูกๆ ลุงคนนี้ไม่มีเงิน เพราะลูกเอามาเลี้ยง เอาไว้คอยเก็บผ้า!

เป็นยังไงบ้างครับ....เห็นอิทธิฤทธิ์ของเงิน 1000 บาท ..."เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยังครับ

วันนี้เราให้ "เงินเลี้ยงหัวใจแม่" แล้วหรือยัง ?

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

คิดจะนำ แต่ทำแบบผู้ตาม 10ปีก็ไร้ผล

" อ่านให้จบ. . . อึ้งเลยโดนใจมาก "

ทำงานที่บริษัทฯ ใกล้จะครบสามปีแล้ว เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทีหลังผมต่างทยอยได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมกลับจมอยู่ที่เดิม

ความรู้สึกภายในจิตใจยากที่จะรับได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยงกับการถูกเลิกจ้าง ผมขอพบเจ้านายเพื่อคุยถึงสาเหตุ

"เจ้านาย ผมเคยมาสาย กลับก่อนเวลา หรือ ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่"

เจ้านายตอบทันทีว่า "ไม่เคยและไม่มี"

"ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะบริษัทฯมีความลำเอียง อยุติธรรมกับผมหรือ"

เจ้านายอึ้งก่อน แล้วพูดว่า "ไม่มี ไม่ใช่แน่นอน"

"แล้วทำไม ผู้ที่อายุงานน้อยกว่าผม กลับได้รับความสำคัญ ความไว้วางใจในหน้าที่ปฎิบัติงาน แต่ผมกลับอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่สำคัญมาตลอด"

เจ้านายนิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำพูดมาตอบผมทันที จากนั้นยิ้มๆ แล้วพูดว่า

"ปัญหาของเธอเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่
เวลานี้ ผมมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง ช่วยผมจัดการไปก่อน มีลูกค้าเจ้าหนึ่ง เตรียมตัวมาที่บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบสินค้า"

เจ้านายให้ผมติดต่อพวกเขา สอบถามว่า จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมคิดในใจว่า
"นี่หรือ งานเร่งด่วนเร่งรีบที่สำคัญ"

ก่อนก้าวออกจากประตู ผมอดไม่ได้จะคิดเยาะเย้ย สิบห้านาทีไม่ถึง ผมกลับเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย

"ติดต่อได้หรือยัง" เจ้านายถาม

"ติดต่อได้แล้ว พวกเขาบอกว่า อาจจะมาสัปดาห์หน้า"

"สัปดาห์หน้า วันเฉพาะเจาะจงคือวันไหน"

"ผมไม่ได้ถามรายละเอียด"

"พวกเขาจะมากันกี่คน"

"โอ้...ท่านไม่ได้ให้ผมถามเรื่องนี้น่ะ"

"งั้นพวกเขาจะมาทางรถไฟหรือเครื่องบิน"

"นี่ท่านก็ไม่ได้บอกให้ผมถามสักหน่อย"

เจ้านายไม่พูดอะไรอีก ท่านโทรศัพท์เรียกจูเจิ้นเข้ามา

จูเจิ้นเข้ามาบริษัทฯหลังผมหนึ่งปี ตอนนี้เป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบแผนกหนึ่งไปแล้ว เขาได้รับหน้าที่เหมือนกันกับผมที่ได้รับเมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปครู่เดียว จูเจิ้นก็เดินกลับมา

"อ้อ...เป็นอย่างนี้" จูเจิ้นเริ่มรายงาน
"พวกเขาจะมาโดยเครื่องบิน เที่ยวบ่ายสามโมง วันศุกร์ จะมาถึงประมาณหกโมงเย็น เดินทางมาทั้งหมดห้าคน นำคณะโดยฝ่ายจัดซื้อผู้จัดการหวัง"

"ผมบอกพวกเขาแล้วว่า ทางบริษัทฯเรา จะส่งคนไปรับ นอกเหนือจากนี้ พวกเขาวางแผนตรวจสอบสองวัน รายละเอียดเจาะจงเมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ค่อยปรึกษาหารือร่วมกันทั้งสองฝ่าย"

"เพื่อความสะดวกในการปฎิบัติงาน ผมขอเสนอจัดหาที่พักระดับอินเตอร์ที่อยู่ใกล้กับบริษัทฯให้แก่พวกเขา หากท่านเห็นด้วย พรุ่งนี้ผมก็จะจองห้องพักไว้ล่วงหน้า"

"นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง กรมอุตุฯ รายงานว่า สัปดาห์หน้าฝนจะตก ผมจะคอยติดต่อสื่อสารพวกเขาตลอด หากมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ผมจะรายงานท่านทันที"

หลังจากจูเจิ้นออกไปจากห้องแล้ว เจ้านายแตะไหล่ผม แล้วพูดว่า
"ตอนนี้ เรามาคุยถึงปัญหาของของเธอต่อ"

"ไม่ต้องแล้ว ผมรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใด รบกวนท่านมากแล้ว"

ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไม่มีใครเกิดมาก็สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเริ่มจากความเรียบง่าย เริ่มทำจากเรื่องเล็กๆที่เรียบง่าย วันนี้ เธอติดแผ่นฉลากให้เธอเองเช่นไร อาจกำหนดตัดสินว่า พรุ่งนี้เธอจะเป็นผู้ที่สมควรได้รับมอบหมาย ภารกิจที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่

ระยะห่างของความสามารถ มีผลกระทบโดยตรงกับผลของชิ้นงาน ไม่ว่าองค์กรใดบริษัทฯใด ก็ต้องการบุคคลที่ทำงาน ที่มีความสามารถ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่ในตัวตัวเอง

พนักงานที่มีความโดดเด่น ยอดเยี่ยม ล้วนไม่ต้องให้ผู้อื่นมาบอกมากล่าวว่า
จะต้องทำอะไรถึงจะขยับตัวทำ แต่จะทำความเข้าใจด้วยตนเองว่า สมควรทำอะไร หลังจากนั้นทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กระทำจนสำเร็จ

ท่องไว้ในใจนะ......นายสั่งให้ทำหนึ่ง...สอง...สาม....

สิ่งที่เราทำคือ..หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...เจ็ดแปดเก้า เก็บไว้ในกระเป๋า....สิบสิบเอ็ดสิบสอง อยู่ในสมอง....ทันที พร้อมเอาออกมาใช้ในทุกสถานการณ์ 

ต้องขอขอบคุณมุมมองความคิดดีดี "  Pink Planet TH "