tag:blogger.com,1999:blog-69157816434909642982024-03-13T07:22:25.648+07:00เรื่องราว (เล่า) ดีๆ ที่อยากแบ่งปันเรื่องราว ข้อความหรือคำพูดดีๆ เพื่อแบ่งปันให้คนที่คุณรักหรือรักคุณBaannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comBlogger180125tag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-76775290854006403852021-06-06T21:45:00.001+07:002021-06-06T21:45:03.574+07:00อย่ากวน (เรื่องมาก) กับคนแก่<div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqTdVAu_BsIQSlhSP3BH96tyttEh5KOluRc68tDt03njoyEL0WFWfq-4fYa2J3CknXwj_DgCL542bjs95L9mb29YfcLhpmJiEOzhckT30eYnBqoIR5_kjyScKDx7UHdMxP9NVI21jzlnTz/s1600/1622990697744698-0.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqTdVAu_BsIQSlhSP3BH96tyttEh5KOluRc68tDt03njoyEL0WFWfq-4fYa2J3CknXwj_DgCL542bjs95L9mb29YfcLhpmJiEOzhckT30eYnBqoIR5_kjyScKDx7UHdMxP9NVI21jzlnTz/s1600/1622990697744698-0.png" width="400">
</a>
</div><br></div><div>เพิ่งอ่านเจอเมื่อเช้า คุณยายคนนี้ยื่นบัตรของเธอให้พนักงานธนาคารที่เคาท์เตอร์แล้วบอกว่า "ฉันต้องการถอนเงิน 10 ดอลลาร์” </div><div><br></div><div>พนักงานสาวบอกกับคุณยายว่า “ถอนเงินน้อยกว่า 100 ดอลลาร์ ต้องใช้ตู้เอทีเอ็มค่ะ จะเบิกตรงนี้ไม่ได้"</div><div><br></div><div>คุณยายงง ไม่เข้าใจเหตุผล เจ้าหน้าที่คืนบัตรให้แล้วบอกคุณยายอย่างไม่สบอารมณ์ว่า“ก็มันเป็นกฎ ถ้าไม่มีอะไรมาก คุณยายออกไปเถอะ เรามีลูกค้าคนอื่นรอคิวใช้บริการอยู่"</div><div><br></div><div>คุณยายเงียบไปสองสามวินาที แล้วยื่นบัตรกลับมาให้พนักงานอีกครั้ง พร้อมบอกว่า "งั้นขอความกรุณาช่วยถอนเงินทั้งหมดในบัญชีให้ฉันด้วยค่ะ"</div><div><br></div><div>พนักงานธนาคารทำหน้าประหลาดใจ เมื่อตรวจสอบยอดเงินในบัญชีคุณยายแล้วพบตัวเลขน่าทึ่ง เธอพยักหน้า เอนตัวลงและบอกคุณยายด้วยน้ำเสียงความเคารพนบนอบว่า “คุณยายมีเงินในบัญชีทั้งหมด 1,300,000 ดอลลาร์ แต่ตอนนี้ธนาคารเราไม่มีเงินสดมากขนาดนั้น คุณยายช่วยนัดเวลาและกลับมาเบิกใหม่ในวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ"</div><div><br></div><div>คุณยายจึงถามว่า ถ้าจะถอนออกมาทันทีตอนนี้ จะถอนเงินได้เท่าไร </div><div><br></div><div>พนักงานตอบว่า "ไม่เกิน 3,000 ดอลล่าร์ค่ะ"</div><div><br></div><div>คุณยายบอก "งั้นช่วยถอนเงินให้ฉันที 3,000 ดอลลาร์ตอนนี้เลย"</div><div><br></div><div>พนักงานจัดการถอนเงิน และส่งมอบเงิน 3,000 ดอลลาร์ให้คุณยายพร้อมส่งยิ้มเปี่ยมไมตรีจิต</div><div><br></div><div>คุณยายหยิบเงิน 10 ดอลลาร์ใส่กระเป๋า แล้วยื่นเงิน 2,990 ดอลลาร์คืนให้พนักงาน แล้วบอกว่า "ช่วยฝากคืนเข้าบัญชีเดิมให้ฉันด้วย" </div><div><br></div><div>คนเอาเรื่องนี้มาเล่าบอกว่า อย่ากวนตีน (เรื่องมาก) กับคนแก่ เพราะพวกแก่ๆ นั่นน่ะใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อเรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหาต่างๆ มาอย่างช่ำชองและโชกโชน พร้อมรับมือทุกรูปแบบ น้อยมากที่จะพลาดท่าเสียที</div><div><br></div><div>เอาจริง หากต้องเอาชนะคะคานในปัญหาต่างๆ คนรุ่นหลังอาจจะตามไม่ทัน สู้ความเก๋าไม่ไหว โดยเฉพาะการหาช่องว่างในกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่คนรุ่นหลังไม่สามารถอดทนทำได้</div><div><br></div><div>Cr: ปราย พันแสง</div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-23649577553616655682020-08-08T11:36:00.001+07:002020-08-08T11:36:29.795+07:00ความเมตตาของคุณ ไม่ต้องผ่านการทดสอบ<div>“ อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก “</div><div><br></div><div>"ความเมตตาของคุณ ไม่ต้องผ่านการทดสอบ"</div><div><br></div><div>ผู้กำกับชาวบราซิลชื่อดัง Walter Salles กำลังค้นหาตัวนักแสดงที่เหมาะสมสำหรับภาพนตร์เรื่องใหม่ของเขา "Central do Brasil" หรือ "Central Station" ในชื่อภาษาอังกฤษ มีผู้มาให้คัดตัวมากมาย แต่ก็ยังไม่ถูกใจ</div><div><br></div><div>วันหนึ่งระหว่างออกไปทำธุระผ่านสถานีรถไฟ มีเด็กผู้ชายวิ่งมาถามเขาว่า "ขัดรองเท้าไหมครับ ท่าน" เขามองดูรองเท้าตัวเอง ซึ่งก็เพิ่งขัดมาไม่นาน จึงตอบปฏิเสธไป แต่เด็กน้อยก็เดินตามเขาไป พร้อมพูดกับเขาด้วยแววตาวิงวอนว่า "วันนี้ทั้งวันยังไม่มีเม็ดข้าวตกถึงท้องเลย อยากขอยืมเงินไปซื้อข้าวกินหน่อย ผมสัญญาว่าจะจ่ายเงินคืนให้ภายในหนึ่งอาทิตย์ครับ" เขาเห็นว่ามันเป็นเงินเล็กน้อย และเหตุการณ์เด็กเร่ร่อนมาขอเงินก็เกิดขึ้นบ่อยๆ เขาจึงควักเงินให้เด็กน้อยไป</div><div><br></div><div>เวลาผ่านไปครึ่งเดือน เขาลืมเรื่องให้เงินเด็กน้อยไปหมดสิ้นแล้ว วันนั้นเขาก็ผ่านมาใช้สถานีรถไฟนั้นอีกครั้ง มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาหาเขาแต่ไกลพร้อมตะโกนว่า "คุณครับ รอแป๊ปนึง" เมื่อเด็กน้อยวิ่งมาใกล้แล้ว เขาจึงจำหน้าเด็กที่เคยมาขอเงินคนนั้นได้ </div><div><br></div><div>เด็กน้อยพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า "คุณครับ ผมมารอคุณตั้งหลายวันแล้ว ขอบคุณที่ให้เงินผมยืมครับ" พร้อมยื่นเงินเหรียญหลายเหรียญคืนใส่มือของเขา เขามองดูเหรียญในมือ บังเกิดความรู้สึกดีๆกับเด็กน้อยคนนี้</div><div><br></div><div>ผู้กำกับก้มมองดูหน้าเด็กน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์ เกิดความรู้สึกว่า เด็กคนนี้ ช่างหมาะกับบุคลิก "เด็กน้อย"ในภาพยนตร์ของตนที่กำลังค้นหานักแสดงอยู่ เขาพูดกับเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มว่า "พรุ่งนี้หนูลองมาทดสอบหน้ากล้องที่บริษัทหน่อย อาจทำให้หนูมีโอกาสได้ดีใจครั้งใหญ่ในชีวิต"</div><div><br></div><div>รุ่งขึ้นตอนเช้า พนักงานขึ้นมารายงานผู้กำกับว่า มีเด็กกลุ่มใหญ่มารออยู่หน้าประตูบริษัท เขาออกไปดูเหตุการณ์ ก็พบเด็กน้อยวิ่งมาหาเขาด้วยความตื่นเต้นพร้อมพูดกับเขาว่า "คุณครับ เด็กเหล่านี้ก็เป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนผมที่ไม่มีพ่อแม่ ผมอยากขอให้พวกเขามีโอกาสได้ดีใจแบบเดียวกับผมบ้าง เลยชวนมาทั้งหมด อยากขอโอกาสให้พวกเขาทุกคนด้วยครับ" ผู้กำกับรู้สึกตื้นตันในน้ำใจของเด็กคนนี้</div><div><br></div><div>เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้เจอเด็กเร่ร่อนที่มีจิตใจเมตตาปราณีได้ดีงามถึงเพียงนี้ ในเมื่อพวกเขาก็มาพร้อมกันอยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงสั่งให้ลูกน้องจัดการทดสอบหน้ากล้องพร้อมทดสอบการแสดงออกของเด็กทั้งกลุ่ม ในที่สุด เด็กหลายคนถูกคัดเลือกออกมา พวกเขาดูมีความพร้อมและเหมาะสมกว่าเด็กน้อยคนนั้นของผู้กำกับเสียอีก</div><div><br></div><div>แต่สุดท้าย ผู้กำกับก็ตัดสินใจเลือกเด็กน้อยคนเดิมไว้</div><div><br></div><div>เขาบรรจงเขียนข้อคิดเห็นบนข้อมูลเด็กน้อยคนนั้นว่า "ความเมตตา ไม่ต้องผ่านการทดสอบ"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยที่มีอายุแค่ประมาณสิบขวบ แม้ชีวิตจะอยู่ในภาวะขัดสน แต่กลับยอมนำเอาโอกาสดีๆของตนมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ นี่ช่างเป็นความเมตตาที่งดงามและยิ่งใหญ่จากมนุษย์ตัวน้อยๆคนนี้ เขาแน่ใจว่า เด็กน้อยคนนี้แค่ใช้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแสดงออกมา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับบทบาท"เด็กน้อย"ในภาพยนตร์ของเขาโดยไม่ต้องมีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น</div><div><br></div><div>แล้วเด็กน้อยก็สามารถตีบทแตกอย่างสุดยอดในบทบาทที่น่าประทับใจที่สุด</div><div><br></div><div>ภาพยนตร์ได้กวาดรางวัลจากสถาบันต่างๆทั่วโลกรวม 36 รางวัล (1998-99) มีแต่เสียงชื่นชมจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ เด็กน้อยกลายเป็นนักแสดงที่ดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน และสามารถกลายเป็นนักแสดงยอดนิยมของประเทศบราซิลอยู่ยาวนาน </div><div><br></div><div>หลายๆปีผ่านไป เด็กน้อยที่บัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่ ได้กลายเป็นนักแสดงระดับแนวหน้า และยังเป็นประธานบริษัทในวงการภาพยนตร์ เขาผู้นั้นคือ Viniclus de Oliveira </div><div><br></div><div>"ชีวิตการแสดงของข้าพเจ้า" คือหนังสือที่นักแสดงผู้นี้แต่งขึ้นมาเพื่อบันทึกชีวประวัติส่วนตัวของเขา เขาขอให้ผู้กำกับที่มีพระคุณที่สุดในชีวิตเขาเป็นคนให้เกียรติเขียนคำนำสำหรับหนังสือเล่มนี้ของเขา </div><div><br></div><div>ผู้กำกับ Walter Salles </div><div>บรรจงเขียนข้อความจากใจว่า</div><div><br></div><div>"ความเมตตาของคุณ </div><div>ไม่ต้องผ่านการทดสอบ</div><div><br></div><div>ความเมตตา ทำให้คุณพยายามยื่นโอกาสดีๆในชีวิตแบ่งปันให้กับคนอื่น</div><div><br></div><div>และก็คือความเมตตาของคุณเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คุณได้รับโอกาสดีๆมากมายไปเป็นรางวัลชีวิต"</div><div><br></div><div>เขายังคงความเมตตาสมัยเป็นเด็กน้อยไม่ขาดหาย</div><div>แต่เจริญรุ่งโรจน์ในเส้นทางชีวิตอย่างน่าชื่นใจ</div><div><br></div><div> ********</div><div><br></div><div>คนที่มีใจเมตตาปราณี</div><div>ชะตาชีวิตมักจะไม่เลวร้าย</div><div>อาจจะตกต่ำไปบ้างในบางจังหวะชีวิต</div><div>แต่สุดท้ายโอกาสดีๆก็จะเข้ามาให้ได้ประสบพบเจอในเส้นทางชีวิตแน่นอน</div><div><br></div><div>"ขจรศักดิ์"</div><div>แปลและเรียบเรียง</div><div>www.facebook.com/Flintlibrary</div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-48408999239767526782020-01-23T16:02:00.001+07:002020-01-23T16:02:14.509+07:00ไม้คานปิดทอง<div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD8WTWU5c4TiUxNDHAKm-ZMwJdY8ZpDQISVu99XH8MoE0_IdZqN5QE3ppKhWikufxYNNrUDJUIOGEQZma_fW4IFIVd2HZIE_CcUWDIPrTIxuq5To50h-YfIDpqEqZ1P9MH2fyC-sooStG_/s1600/1579770128871515-0.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD8WTWU5c4TiUxNDHAKm-ZMwJdY8ZpDQISVu99XH8MoE0_IdZqN5QE3ppKhWikufxYNNrUDJUIOGEQZma_fW4IFIVd2HZIE_CcUWDIPrTIxuq5To50h-YfIDpqEqZ1P9MH2fyC-sooStG_/s1600/1579770128871515-0.png" width="400">
</a>
</div><br></div><div>ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีหนุ่มจีน ๒ คน ชื่อเฮง กับเจ็ง เดินทางจากเมืองจีนมาเมืองไทยแบบ “เสื่อผืนหมอนใบ” สองคนมีทุนติดตัวมานิดหน่อย ไม่พอที่จะทำอื่นได้ จึงทำอาชีพรับซื้อขวดขาย อาศัยพักใต้ถุนกุฏิวัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อเจ้าอาวาส<br></div><div><br></div><div>อุปกรณ์รับซื้อขวดก็มีหลัวคู่หนึ่ง ไม้คานอันหนึ่ง </div><div>เช้าขึ้นมาก็หาบหลัวไปตามบ้านผู้คน รับซื้อขวดเปล่าเอาไปขายต่อให้โรงงาน</div><div><br></div><div>อาชีพนี้คนจีนที่อพยพมาเมืองไทยสมัยนั้นน่าจะทำกันทั่วไป เมื่อเป็นเด็กๆ ยังเคยได้ยินเสียงร้อง “มีขวดมาขาย” และคำเรียก “เจ๊กขายขวด” ติดหูมาจนทุกวันนี้</div><div><br></div><div>เจ๊กเฮงกับเจ็กเจ็งเข้าหุ้นกันรับซื้อขวดขาย ทำสัญญาใจกันว่า ถ้ามีกำไรยังไม่ถึง ๘๐ ชั่ง จะไม่กินเป็ดกินไก่อันเป็นอาหารที่มีราคาแพง ได้กำไรมาก็เอาไปฝากหลวงพ่อไว้เหมือนกับเป็นธนาคาร</div><div><br></div><div>วันหนึ่ง ระหว่างหาบหลัวซื้อขวด เจ๊กเจ็งไปแวะพักที่ข้างโรงบ่อน แล้วเลยเข้าไปเล่นโป เผอิญเล่นได้ จึงเอาเงินที่เล่นโปได้ไปซื้อเป็ดไก่กินด้วยความอยาก แล้วยังซื้อไปฝากเจ๊กเฮงด้วย </div><div><br></div><div>เจ๊กเฮงเห็นว่าเจ๊กเจ็งผิดสัญญาเพราะเงินกำไรยังมีไม่ถึง ๘๐ ชั่ง จึงขอแยกทาง แบ่งเงินที่ฝากหลวงพ่อไว้คนละครึ่งแล้วต่างคนต่างไป</div><div><br></div><div>เจ๊กเฮงยังคงหาบหลัวซื้อขวดขายต่อไปด้วยความอดทน จนมีทุนมากขึ้นก็ค่อยขยับขยายกิจการค้าขาย ได้เมียเป็นไทย มีลูกก็ช่วยกันทำมาหากิน จนในที่สุดก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐี </div><div><br></div><div>เศรษฐีเฮงมีแก่ใจช่วยอุดหนุนกิจการสาธารณกุศลของทางบ้านเมืองเสมอ จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยา</div><div><br></div><div>พระยาเฮงเป็นคนกตัญญู เมื่อร่ำรวยแล้วก็กลับไปอุปถัมภ์บำรุงวัดที่ตนเคยได้อาศัย และที่สำคัญคิดถึงคุณของไม้คานเป็นที่ยิ่ง ได้เอาไม้คานที่เคยใช้หาบหลัวมาปิดทอง ใส่ตู้ไว้เป็นอย่างดีในที่บูชา</div><div><br></div><div>นอกจากนี้ด้วยความที่เคยอดอยากยากจนมาก่อน พระยาเฮงได้ตั้งโรงทานไว้ที่หน้าบ้าน หุงข้าวเลี้ยงคนโซทุกเช้า</div><div><br></div><div>ฝ่ายเจ๊กเจ็ง แยกทางกับเพื่อนแล้ว ได้เงินส่วนแบ่งมาก้อนหนึ่ง ก็ไม่เป็นอันที่จะคิดทำอาชีพขายขวดอีก หวนกลับไปเล่นการพนัน ในที่สุดก็หมดตัว สิ้นท่าเข้าก็เลยยึดอาชีพขอทาน </div><div><br></div><div>วันหนึ่งเจ๊กเจ็งโซซัดโซเซไปถึงโรงทานของพระยาเฮง พระยาเฮงจำเพื่อนได้ ก็ให้บ่าวไปเรียกมา </div><div>เจ๊กเจ็งจำเพื่อนไม่ได้เพราะราศีพระยาจับเป็นสง่า พระยาเฮงก็ไม่แสดงตัวว่าเป็นเพื่อนเก่า สั่งให้รับเจ๊กเจ็งไว้เป็นคนทำสวน</div><div><br></div><div>ในสวนบ้านพระยาเฮงมีต้นมะขาม ๒ ต้น ต้นหนึ่งเล็ก ต้นหนึ่งใหญ่ พระยาเฮงออกกฎให้เจ๊กเจ็งกินเฉพาะข้าวกับปลาเค็มต้มใบมะขามอ่อน ให้หุงหากินเอง ข้าวกับปลาเค็มให้เบิกจากโรงครัว ส่วนใบขะขามให้รูดจากต้นเล็กก่อน ถ้าหมดให้มาบอก</div><div><br></div><div>เจ๊กเจ็งรูดใบมะขามต้นเล็กไปต้มกับปลาเค็มได้ไม่กี่วัน ใบมะขามก็หมดต้น ก็บอกพระยาเฮง </div><div>พระยาเฮงสั่งให้รูดจากต้นใหญ่ได้ แต่ให้รูดทีละซีก เมื่อซีกหนึ่งหมดจึงจะรูดอีกซีกหนึ่งได้ ใบมะขามหมดให้มาบอก</div><div><br></div><div>เจ๊กเจ็งรูดใบมะขามต้นใหญ่กว่าจะหมดซีกก็เป็นเดือน แล้วก็ไปขออนุญาตรูดจากอีกซีกหนึ่ง </div><div>พอซีกนี้หมด ซีกเก่าก็แตกใบอ่อนทันรูดกินได้อีก ก็ไปรูดจากซีกเก่า กว่าซีกเก่าจะหมด ซีกใหม่ก็แตกใบอ่อนอีก เป็นอันว่ารูดใบมะขามต้มปลาเค็มกินได้ทั้งปี</div><div>เจ๊กเจ็งไปเบิกข้าวสารและปลาเค็มจากโรงครัวเป็นระยะๆ แต่ไม่เคยไปบอกว่าใบมะขามหมด</div><div><br></div><div>วันหนึ่ง พระยาเฮงให้เรียกเจ๊กเจ็งมาถามว่า ทราบว่าเบิกข้าวสารกับปลาเค็มจากโรงครัวตามปกติ แต่ทำไมไม่เห็นมาขออนุญาตรูดใบมะขาม </div><div>เจ๊กเจ็งก็บอกว่าใบมะขามยังไม่หมดสักที</div><div><br></div><div>พระยาเฮงจึงพาเจ๊กเจ็งขึ้นไปบนเล่าเต็ง ชี้ให้ดูไม้คานที่ปิดทองอยู่ในตู้ แล้วถามว่า “ไม้คานของลื้ออยู่ไหนล่ะ” เจ๊กเจ็งจำเพื่อนได้ ก็ร้องไห้ </div><div><br></div><div>พระยาเฮงบอกว่า ที่ให้กินข้าวกับใบมะขามต้มปลาเค็มก็เพราะจะสอนให้รู้สึกตัว เมื่อเงินยังมีน้อย ถ้ากินใช้หมดก็เหมือนมะขามต้นเล็ก รูดใบกินไม่กี่วันก็หมด แต่ถ้าสะสมไว้ทำทุนให้มีกำไรมากขึ้นก็เหมือนมะขามต้นใหญ่ รูดกินได้ทั้งปีก็ไม่หมด </div><div><br></div><div>“อั๊วะจะให้ทุนลื้อไปเริ่มต้นหาบหลัวขายขวดใหม่เหมือนตอนแรกที่มาจากเมืองจีน ลื้อต้องทำตามที่อั๊วะเคยทำมาอย่างเคร่งคัด”</div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihMWpJzLV4a1VLxTNwsEvIdlnMiBHx3alxQJHIvLFtf36cZGlK79YToNYav8kcSXjkFNiuAwwvWyRRUhicJCe7JpCwUnAr6-wTf0nqM0SoSq_sS5xxuGSJc1Mc4ipxFjWh4kUIc3Ob7dJU/s1600/1579770126113661-1.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihMWpJzLV4a1VLxTNwsEvIdlnMiBHx3alxQJHIvLFtf36cZGlK79YToNYav8kcSXjkFNiuAwwvWyRRUhicJCe7JpCwUnAr6-wTf0nqM0SoSq_sS5xxuGSJc1Mc4ipxFjWh4kUIc3Ob7dJU/s1600/1579770126113661-1.png" width="400">
</a>
</div><br></div><div><br></div><div>เจ๊กเจ็งก็ไปเริ่มต้นหาบหลัวซื้อขวดขายตามที่พระยาเฮงแนะนำ ต่อมาก็ได้เป็นเศรษฐีอีกคนหนึ่ง</div><div><br></div><div>ในอดีต “ไม้คานปิดทอง” คงจะมีอยู่ตามบ้านของเจ้าสัวทั่วไปในเมืองไทย รุ่นลูกก็ยังคงนับถือบูชาเพราะเคยเห็นเตี่ยใช้หาบหลัวเลี้ยงพวกตนมา ทั้งเคยมีส่วนร่วมในความทุกข์ยากมาด้วยกัน</div><div><br></div><div>แต่เมื่อนานหลายรุ่นเข้า ชั้นปลายแถวไม่เคยเห็นภาพหาบหลัว ไม่รู้ว่าความลำบากยากจนเป็นอย่างไร เกิดมาก็เป็นเศรษฐีแล้ว ไม้คานปิดทองของบรรพบุรุษอาจไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย </div><div>บางทีจะมีคนปลายแถวเห็นว่าเป็นของเกะกะรกรุงรังด้วยซ้ำไป</div><div><br></div><div>สังคมไทย มีสถาบันบางอย่างที่ถูกคนในปัจจุบันนี้มองเหมือนไม้คาน คือเห็นว่ามีไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นประโยชน์อะไร ไม่ใช่เพราะไม่รู้ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของชาติ หากแต่เพราะในหัวใจขาดความตระหนักสำนึกถึงคุณค่า ที่เรียกว่า ความกตัญญูรู้คุณ</div><div><br></div><div>แม้ทุกวันนี้จะไม่ต้องใช้ไม้คานหาบหลัวอีกแล้ว แต่ไม้คานก็ยังมีคุณค่าเสมอไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง</div><div><br></div><div>กวีวัฒน์</div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-78950875115095774702019-12-06T12:49:00.001+07:002019-12-06T12:49:42.992+07:00เด็กน้อยกับลูกแพร<div>“ฉันเชื่อในสิ่งที่เห็น </div><div>แล้วก็พลาดในสิ่งที่เชื่อ”</div><div><br></div><div>ฉันเป็นเจ้าของร้านขายหนังสือ ที่ตั้งของร้านอยู่บนซอยที่ยาวมากๆ มีผู้คนทั้งที่อาศัยและทำการค้าเป็นร้อยครัวเรือน และก็มักจะมีผู้คนนำสิ่งของสารพัดชนิดมาเดินเร่ขายในซอย</div><div><br></div><div>บ่ายวันนี้ ฝนตกหนักมาก พอฝนหยุด ฉันก็รีบออกจากร้านไปทำธุระแถวๆนั้น พอเดินมาถึงปากซอย ก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุคงราวๆสักสิบสองสิบสามขวบ เนื้อตัวเปียกปอน บนหลังเขาแบกเข่งค่อนข้างใหญ่ไว้ใบหนึ่ง</div><div><br></div><div>พอเห็นฉันมองดูเขา เขาก็พูดกับฉันแบบกล้าๆกลัวๆว่า "คุณน้าสนใจจะอุดหนุนลูกแพร์ไหมครับ เพิ่งเด็ดจากต้นมาสดๆ อร่อยนะครับ" ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบทานลูกแพร์นัก กำลังคิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นแววตาที่คาดหวังของเด็กน้อย พร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกปอน ผมเผ้าก็เปียกแฉะ เกิดใจอ่อนขึ้นมา เลยถามไปว่า "ลูกแพร์พวกนี้แบกมาขายเองเหรอ"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยรีบผงกหัวด้วยรอยยิ้ม "ใช่ครับ ผมเดินทางมาจากหมู่บ้านเชิงเขาด้านตะวันตก ระยะทางสามสิบกว่าลี้ พอดีเจอฝนตกหนักระหว่างทาง เนื้อตัวเลยเปียกหมด"</div><div><br></div><div>ฉันมองดูลูกแพร์ที่อยู่ในเข่ง กะเคร่าๆว่าคงประมาณเกินยี่สิบชั่ง มองดูเด็กน้อยที่อุตส่าห์เดินทางมาไกลพอควร พร้อมแบกเข่งใบเขื่องที่ใหญ่กว่าตัว คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เลยถามไปว่า "ขายยังไง"</div><div><br></div><div>พอเห็นฉันถามราคา เด็กน้อยยิ่งดีใจใหญ่ "คุณน้า ผมขายแค่สองหยวนต่อชั่ง เพิ่งเด็ดจากต้นในบ้านผมเอง ทั้งอร่อยทั้งถูก "</div><div><br></div><div>ฉันยิ้มก่อนพูดว่า "พูดเก่งนี่เรา ถ้าน้าจะเหมาหมด คิดเท่าไหร่"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยมีแววตาตื่นเต้น "คุณน้าคงไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมชั่งมาจากบ้านแล้ว ทั้งหมดยี่สิบสองชั่ง ถ้าคุณน้าเหมาหมด ผมคิดแค่ยี่สิบชั่งก็พอ รวมเป็นเงินสี่สิบหยวนครับ คุณน้า"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยพูดจาดี คำก็คุณน้า สองคำก็คุณน้า ฟังแล้วสบายใจจริงๆ เงินสี่สิบหยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับฐานะอย่างฉัน จึงควักเงินสี่สิบหยวนออกมาจ่ายไปทันที เด็กน้อยรีบหยิบย่ามจักสานออกมาสองใบใหญ่ เทลูกแพร์ทั้งหมดออกมาได้สองถุงใหญ่แล้วยื่นให้ฉัน</div><div><br></div><div>ฉันรับลูกแพร์ถือไว้ในมือพร้อมถามว่า "ทำไมขายแต่ลูกแพร์ แล้วไม่ขายผลไม้อย่างอื่นเหรอ"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยตอบด้วยความสบายใจ "บ้านผมมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว ปีนี้ออกลูกมาไม่มากนัก พ่อแม่ผมก็ออกไปทำงานต่างถิ่นกันหมด เหลือผมอยู่กับปู่และย่าเท่านั้นเอง ปู่บอกว่าต้นลูกแพร์นี้ให้ผมดูแล ผมก็เลยเด็ดมาขายเข่งนึง ขายได้เงินเท่าไหร่ปู่ยกให้ผม ผมเหลือลูกแพร์ไว้เบนต้นหน่อยนึงให้ปู่กับย่า" เด็กน้อยพูดด้วยหน้าตาที่สดใส แบกเข่งเปล่าขอตัวเดินจากฉันไปด้วยความปรีดาพร้อมคำขอบคุณอีกหลายๆคำ</div><div><br></div><div>ฉันมองดูลูกแพร์สองถุงใหญ่ในมือ ตัดสินใจแบกกลับไปเก็บไว้ที่บ้านก่อน ใช้เวลาสิบกว่านาทีกับการเดินไปและเดินกลับ พอกลับมาถึงปากซอยอีกครั้ง เอ้า เด็กน้อยคนเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม พร้อมผลไม้เข่งใหม่บนหลังเขา ผู้ชายวันกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับเขา ท่าทางคงกำลังตัดสินใจจะซื้อ</div><div><br></div><div>ฉันรู้ทันที่ว่าฉันถูกหลอกแล้ว เคยได้ยินเรื่องราวที่ผู้คนเขาเล่าสู่กันฟังบ่อยๆว่า มักมีพวกพ่อค้าจากถิ่นอื่นนำเอาผลไม้มาขายกันเป็นคันรถ แล้วจ้างชาวบ้านท้องถิ่นมาเดินเร่ขาย แต่โกหกว่าผลไม้มาจากสวนของตนเอง ทำให้คนซื้อตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น อาจจะเพราะอยากอุดหนุนคนกันเอง และคิดว่าคงไม่ค่อยมีสารกำจัดแมลงที่รุนแรง พอคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กน้อย แล้วถามด้วยเสียงที่เย็นชาว่า "คราวนี้ขายผลไม้อะไรอีก"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยหันมามองหน้าฉันด้วยความตกใจ หน้าซีดทันที ตอบด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า "อะ...องุ่นครับ...คุณน้า"</div><div><br></div><div>"เอ้า ก็เห็นบอกว่าทั้งบ้านมีต้นลูกแพร์อยู่แค่ต้นเดียว แล้วต้นลูกแพร์ที่บ้านยังสามารถออกลูกเป็นองุ่นอีกเหรอ"</div><div><br></div><div>เด็กน้อยก้มหน้า ตอบด้วยเสียงบางเบาว่า "องุ่นพวกนี้ ผมช่วยคนอื่นขายครับ" ผู้ชายคนที่กำลังควักเงินจะซื้อ พอได้ยินคำสนทนาของเราก็เปลี่ยนใจทันที "เอ้า เมื่อกี้เพิ่งจะบอกว่าองุ่นพวกนี้ปลูกในบ้านตัวเอง อายุแค่นี้ก็หัดโกหกหน้าตาเฉยเลยเหรอ ไม่ไหว...." แกเดินจากไปด้วยความโกรธ</div><div><br></div><div>ฉันถือโอกาสยืนสั่งสอนเด็กน้อยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินจากไปทำธุระด้วยอารมณ์ที่ไม่โสภานัก เดินไปได้ไกลพอควร ยังทำใจไม่ค่อยได้ หันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เห็นเด็กน้อยนั่งอยู่บนโขดหินข้างทาง ก้มหน้าเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ</div><div><br></div><div>ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เมื่อครู่นี้คงจะพูดรุนแรงไปหน่อย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะส่งเสริม และคนสมัยนี้ก็ย่ำแย่เต็มแก่ เพื่อเงินไม่กี่มากน้อยก็ใช้เด็กมาเดินขายแบบแหกตา ทำให้เด็กต้องมารับตราบาปไปเปล่าๆ คงต้องรณรงค์ให้คนทั้งซอยมาต่อต้านขบวนการแหกตาพวกนี้ให้ได้</div><div><br></div><div>กว่าจะเสร็จธุระก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง พอใกล้ถึงบ้านก็ยังเห็นเด็กน้อยยืนขายอยู่ แต่ห่างจากที่เดิมพอสมควร สงสัยคงขายไม่ดี มองดูรู้สึกองุ่นยังเต็มเข่งอยู่ สีหน้าเขาหดหู่มาก พอเห็นฉันเดินมา เขารีบยืนชิดกำแพง ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาฉัน</div><div><br></div><div>เห็นสีหน้าที่เศร้าโศกขนาดนี้ บอกตรงๆว่าฉันก็รู้สึกย่ำแย่เหมือนกัน ถ้าเป็นวันอื่นๆ ฉันคงควักเงินเหมาหมดเข่งไปแล้ว แต่วันนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้เสียแล้ว เพราะจะทำให้ได้ใจกันใหญ่ เกรงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้แบกเอาส้มเอย แอปเปิ้ลเอย กล้วยเอยมาขายกันไม่หยุดไม่หย่อน</div><div><br></div><div>กลับถึงบ้านตรงขึ้นชั้นบน เตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จ เดินออกมากวาดระเบียง มองไปข้างล่าง เอ้า เด็กน้อยคนเมื่อกี้อีกแล้ว กำลังแบกเข่งเดินลับๆล่อๆเลี้ยวมาทางหลังบ้านฉัน หลังบ้านฉันเป็นที่ดินที่ยังไม่พัฒนา มีแต่พงหญ้าที่รกรุงรังผืนใหญ่ แล้วนี่เขากำลังจะทำอะไร</div><div><br></div><div>ฉันเดินตามดูเด็กน้อยจากบนบ้าน พอเขาเดินมาถึงพงหญ้าก็เหลียวมองดูรอบข้างอีกครั้ง พอรู้ว่าปลอดคนก็ปลดเข่งจากข้างหลังแล้วย่อตัวลง ค่อยๆหยิบเอาพวงองุ่นออกจากเข่งทีละพวง แล้ววางลงบนพงหญ้า สุดท้ายเหลือองุ่นอยู่ประมาณครึ่งเข่งแล้วค่อยลุกขึ้นยืน เขาหยิบเอาเงินสี่สิบหยวนที่ได้จากการขายลูกแพร์ออกจากกระเป๋า มองดูเงินในกำมือ ชั่งใจอยู่พักใหญ่ แบ่งออกมายี่สิบหยวน แล้วม้วนกำไว้ในกำมือ หันกลับไปมองดูกององุ่นด้วยความเสียดาย แล้วเขาก็แบกเอาครึ่งเข่งที่เหลือเดินผ่านซอกเล็กๆข้างบ้านฉัน แล้วเดินจากไป</div><div><br></div><div>ฉันงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เด็กน้อยคนนี้กำลังทำอะไร ทำไมต้องเอาองุ่นมาซ่อนไว้ในพงหญ้า น่าสงสัยเหลือเกิน อยากรู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันก็ตัดสินใจวิ่งลงมาชั้นล่างสะกดรอยตามเขาไป</div><div><br></div><div>เด็กน้อยเดินตรงมาถึงปากซอย แล้วก็ยังเดินต่อไป ฉันเดินตามเขาอยู่ห่างๆ แล้วเขาก็เดินมาถึงสวนสาธารณะของท้องถิ่น</div><div><br></div><div>ฉันเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่บนม้าหินที่อยู่หน้าสวน อายุคงจะพอๆกัน ข้างหน้าเขามีเข่งเปล่าวางอยู่ใบหนึ่ง พอเห็นเด็กผู้ชายกลับมา เธอดีใจรีบลุกขึ้นยืน</div><div><br></div><div>พอดีข้างๆม้านั่งเป็นกำแพงกั้นอยู่ ฉันเดินเลี้ยวไปหลบตัวอยู่หลังกำแพง ได้ยินเสียงเด็กชายพูดกับเด็กหญิงว่า "ขอโทษ องุ่นขายไปได้แค่ครึ่งเดียว สองหยวนต่อชั่ง นี่คือเงินยี่สิบหยวนของเธอ"</div><div><br></div><div>น้ำเสียงเธอดีใจ "ขอบคุณพี่มากๆ ถ้าไม่ได้พี่ช่วยขาย สงสัยครึ่งเข่งก็ยังขายไม่ได้ ใครจจะคิดว่าขาฉันเกิดแพลงขึ้นมาอย่างกระทันหัน"</div><div><br></div><div>เด็กชายพูดกับเธอด้วยสีหน้าเศร้าหมอง "ความจริงพี่น่าจะขายองุ่นได้หมดเข่งตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น ก็เลยขายไม่ได้ แย่จริงๆ"</div><div><br></div><div>เด็กหญิงถาม "เข้าใจผิดเรื่องอะไรกันเหรอ"</div><div><br></div><div>เด็กชายเล่าต่ออย่างหมดเรี่ยวแรง "ก็พอดีคุณน้าใจดีท่านที่เหมาลูกแพร์ของพี่ไปจนหมดในตอนแรก กลับมาพบพี่ขายองุ่นอีก เลยคิดว่าพี่รับจ้างพวกพ่อค้าขายผลไม้มาเดินสายเร่ขายของแหกตาชาวบ้าน พอคุณน้าโวยวายขึ้นมา ก็เลยไม่มีใครซื้อองุ่นของเราอีกเลย" พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฉันรู้ทันทีว่าฉันคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอน จึงเดินออกมาจากหลังกำแพง เด็กขายเห็นฉันอีกครั้งด้วยความตกใจ พูดอะไรไม่ออก</div><div><br></div><div>ฉันแกล้งตีหน้าบึ้ง "มันเรื่องอะไรกันแน่ เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ฉันจะคืนลูกแพร์ที่ซื้อทั้งหมด"</div><div><br></div><div>เด็กชายมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที คราวนี้พูดจาลิ้นพันกันจนฟังไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กหญิงที่มีฝีปากฉะฉานตอบฉันว่า "คุณคือคุณน้าใจดีที่อุดหนุนลูกแพร์จนหมดใช่ไหมคะ เรื่องเป็นอย่างงี้ค่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนบ้านกัน บ้านของพี่เขามีต้นลูกแพร์อยู่ต้นหนึ่ง ส่วนที่บ้านหนูมีแปลงองุ่นอยู่แปลงหนึ่ง พอดีผลไม้ของเราสุกไล่ๆกัน เลยนัดกันเอามาขายพร้อมกันในเมือง ตั้งใจกันว่าพอได้เงินแล้ว พี่เขาจะเอาเงินไปซื้อ "พจนานุกรมสำนวนจีน" ส่วนของหนูจะซื้อ "พจนานุกรมภาษาจีน" พวกเราทั้งคู่ใกล้จบมัธยมต้นแล้ว คุณครูบอกว่า นี่ล้วนเป็นหนังสือคู่มือที่จำเป็นสำหรับพวกเรา.....ระหว่างทางจากบ้านมาที่นี่ พวกเราเจอฝนที่หนักมาก หนูหกล้มขาแพลงระหว่างทาง เพราะเส้นทางลื่นมาก หนูถอดใจคิดว่าจะเดินกลับบ้านทันที แต่พี่เขาไม่ยอม เลยช่วยประคองหนูจนเดินทางมาถึงที่นี่ พอมาถึงพี่เขาก็ให้หนูนั่งพักอยู่ตรงนี้ แล้วพี่เขาก็นำเอาผลไม้ทั้งหมดไปขายแต่เพียงผู้เดียว......" พอฟังมาถึงตรงนี้ ใจฉันเจ็บจี๊ดเหมือนโดนมีดกรีด เจ็บใจตัวเองเหลือเกิน อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว มองดูก็รู้ว่าเด็กผู้ชายต้องเป็นเด็กดีแน่ๆ แต่ฉันกลับเอาเขาไปเปรียบเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ</div><div><br></div><div>ฉันยิ้มให้เด็กชาย "แล้วทำไมไม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้าฟังตั้งแต่แรก ทำให้เข้าใจผิดไปหมด องุ่นที่เหลือทั้งหมด น้าเหมาหมดละกัน"</div><div><br></div><div>เด็กสองคนดีใจมาก "คุณน้า องุ่นคงเหลือสักสิบกว่าชั่ง หนูคิดเงินคุณน้ายี่สิบหยวนก็พอค่ะ"</div><div><br></div><div>ฉันหยิบเงินจากกระเป๋ามาสี่สิบหยวน ยื่นให้ทั้งคู่คนละยี่สิบหยวน เด็กผู้ชายบอกว่า "คุณน้าให้เกินมายี่สิบหยวนครับ"</div><div><br></div><div>ฉันยิ้ม "ให้เกินหรือเปล่า น้ารู้แก่ใจ แต่น้าซื้อองุ่นคราวนี้ มีข้อแม้อยู่นิดนึง ให้ทั้งคู่เดินตามน้าไปข้างหน้าก่อน"</div><div><br></div><div>เด็กหญิงถามว่า "เดินตามไปทำอะไรค่ะ"</div><div><br></div><div>ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม "มีเรื่องให้ทำอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือ น้าเป็นคนขายหนังสือ น้าจะมอบหนังสือที่พวกหนูต้องการให้คนละเล่ม ส่วนเรื่องที่สองนั้น น้าจะพาพวกหนูไปดูความสุรุ่ยสุร่ายของเด็กคนหนึ่ง...."</div><div><br></div><div>เด็กหญิงงุนงง "เด็กสุรุ่ยสุร่าย....."</div><div><br></div><div>ฉันมองหน้าเด็กชาย "ใช่ เป็นเรื่องของเด็กสุรุ่ยสุร่ายคนหนึ่ง เที่ยวนำเอาองุ่นดีๆของชาวบ้านไปเททิ้งไว้ในพงหญ้า ขอถามว่า ถ้าไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่ายแล้วจะให้เรียกว่าอะไร.......ไป......ไปช่วยกันเก็บองุ่นพวกนั้นกลับมาดีกว่า"</div><div><br></div><div>พอเด็กผู้ชายฟังฉันพูดจนจบ เข้าใจทันทีว่าฉันคงเห็นเหตุการณ์ของการกระทำของเขาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ด้วยความอายอีกครั้ง ใบหน้าที่สะท้อนแสงยามอาทิตย์อัศดงของเขา ช่างแดงน่ารักเหลือเกิน......</div><div><br></div><div> *************</div><div><br></div><div>การเจอเหตุการณ์ใดก็ตาม</div><div>อย่าเอาความรู้สึกแว่บแรกเป็นแกนในการตัดสิน</div><div>เปลือกนอกของพิษภัยมักจะถูกตกแต่งให้สวยหรูชวนหลงไหล</div><div>ในขณะที่เปลือกนอกของสิ่งดีงามอาจไม่ได้ปรุงแต่งให้น่าสนใจนัก</div><div>พึงระวัง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น</div><div>สังคมอาจจะเลวร้ายกว่าที่เราเห็น</div><div>แต่บางมุมของสังคมก็อาจจะดีงามกว่าที่เราคิดอย่างคาดไม่ถึง</div><div><br></div><div>ควรศึกษาให้ถ่องแท้แล้วค่อยตัดสิน</div><div>บางสิ่งบางอย่างที่เห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่เข้าใจก็ได้</div><div>อยู่ให้เป็นหรืออยู่ไม่เป็น</div><div>เรานั้นจะเป็นผู้ลิขิตเอง</div><div><br></div><div>ห้องสมุดฟลิ้นท์</div><div>“ขจรศักดิ์”</div><div>แปลและเรียบเรียง</div><div>Credit: Rensgeng5.com</div><div>賣水果-王兴菜作品</div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-25141632600935582532019-10-12T15:12:00.001+07:002019-12-06T12:50:30.566+07:00ความมานะมี ปาฏิหาริย์เกิด<p dir="ltr">หนูน้อยวัย 8 ขวบ ได้ยินพ่อแม่บ่นปรับทุกข์กันเรื่องสุขภาพของน้องชายตัวน้อยของเธอ เธอจับประเด็นได้ว่าน้องชายป่วยมาก และพ่อแม่ไม่มีเงินเลย และกำลังจะย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ เพราะหมดเงินไปกับค่ายาของน้องชาย และน้องชายจะหายขาดจากโรคได้จะต้องได้รับการผ่าตัดซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงมาก และพ่อกับแม่ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน เธอได้ยินพ่อกระซิบกับแม่ว่า มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตน้องชายเธอได้</p>
<p dir="ltr">สาวน้อยเข้าไปในห้องนอน หยิบกระปุกออมสินที่แอบซ่อนไว้ทุบออกแล้วแล้วนับเงินที่เธอหย่อนสะสมมานาน เธอนำเงินจำนวนนั้นไปร้านขายยา คนขายยาถามเธอว่าต้องการอะไร เธอตอบว่า "น้องชายหนูป่วยมาก ขอซื้อปาฏิหาริย์ซักนิดนะคะ"</p>
<p dir="ltr">คนขายยาถามว่า"ขอโทษ หนูจะซื้อยาอะไรนะจ๊ะ?"<br>
"น้องชายหนูชื่อแอนดรู มีเนื้องอกในสมอง คุณพ่อบอกว่า มีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยชีวิตเขาได้ หนูขอซื้อปาฏิหาริย์ค่ะ ราคาเท่าไหร่คะ?"<br>
"ที่นี่ไม่มีปาฏิหาริย์ขายจ้ะ เสียใจนะหนู" คนขายยาบอกพร้อมยิ้มอย่างเศร้าๆ<br>
"ฟังนะ หนูมีเงินจ่ายนะ และถ้าเงินนี้ไม่พอจะไปหามาเพิ่มได้อีก บอกมาเถอะราคาเท่าไหร่"</p>
<p dir="ltr">ขณะนั้นภายในร้านขายยามีลูกค้าอีกคนหนึ่ง แต่งกายดี เขาหยุดชะงัก หลังได้ยินคำพูดของเด็กน้อย เขาจึงถามว่า "น้องชายของหนูต้องการปาฏิหาริย์แบบไหนจ๊ะ?"</p>
<p dir="ltr">"หนูไม่รู้" เด็กน้อยตอบ "แต่เขาป่วยมาก คุณแม่บอกว่าเขาต้องได้รับการผ่าตัด แต่คุณพ่อไม่มีเงินจ่าย หนูจึงต้องใช้เงินที่สะสมไว้มาช่วย"<br>
"แล้วหนูมีเงินเท่าไหร่?" ชายผู้นั้นถาม<br>
"หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์ แต่หนูไปหามาได้เพิ่มอีกนะ" เธอตอบเสียงแผ่ว<br>
"โอ้...บังเอิญจริงๆ" ชายผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ "หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์ เท่ากับราคาปาฏิหาริย์พอดี"</p>
<p dir="ltr">เขารับเงินจำนวนนั้นของเธอ จูงมือเธอพร้อมกับบอกว่า"พาฉันไปบ้านของหนู ฉันอยากเจอน้องชายของหนูและพบกับพ่อแม่ของหนู ดูซิว่าปาฏิหาริย์ของฉันจะช่วยได้มั้ย"</p>
<p dir="ltr">ชายคนนั้นเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทชื่อนายแพทย์คาร์ลตัน อาร์มสตรอง...การผ่าตัดครั้งนั้นเสร็จสิ้นลงโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ไม่นานนักแอนดรูก็กลับบ้านได้ และหายเป็นปกติ</p>
<p dir="ltr">"การผ่าตัดครั้งนั้น" แม่ของเด็กน้อยพึมพำ "เป็นปาฏิหาริย์จริงๆ อยากรู้จังว่าราคาค่าผ่าตัดจริงๆ เท่าไหร่กันแน่"<br>
เด็กน้อยยิ้ม เธอรู้ดีว่า ปาฏิหาริย์ราคาเท่าไหร่<br>
...หนึ่งดอลลาร์สิบเอ็ดเซ็นต์...บวกกับชะตากรรมของเด็ก</p>
<p dir="ltr">ความมานะพยายามทำให้เกิดปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์อาจมาได้หลายรูปแบบ หมอ ทนายความ ครู ตำรวจ เพื่อน คนแปลกหน้า และอีกมากมาย</p>
<p dir="ltr">แม่น้ำตัดภูเขาได้ไม่ใช่เพราะความแรงของน้ำ แต่เพราะความสม่ำเสมอของสายน้ำ</p>
<p dir="ltr">อย่าสิ้นหวัง จงก้าวเดินไปตามความฝัน...</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-53605999832701990942019-08-14T13:37:00.001+07:002019-08-14T13:37:58.466+07:00ถูกรัก...<p dir="ltr">ศาสตราจารย์ผู้เกษียณอายุราชการคนหนึ่ง ใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายกับภรรยาเฒ่าอย่างมีความสุข<br>
ตื่นเช้ามาไปตลาด จับจ่ายซื้อของเล็กๆน้อยๆ <br>
บ่ายคล้อยออกไปดื่มชากาแฟตามร้านของเหล่าลูกศิษย์  ค่ำๆหลังทานอาหารเย็น สองสามีภรรยานั่งอ่านนิตยสาร ไม่ก็เช็คภาพถ่ายในไลน์ที่บุตรสาวเพียงคนเดียวมักส่งมาให้  ลูกอยู่อเมริกา</p>
<p dir="ltr">เช้าวันหนึ่งเมื่อเดือนก่อน  ตอนที่เขาลุกจากเตียง มือทาบกับผ้าปูที่นอนที่ชื้นด้วยน้ำ</p>
<p dir="ltr">"ยายแก่ เธอฉี่รดที่นอนเหรอ?" เขาเอ่ยหยอกภรรยาเฒ่า  แต่..ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายภรรยา!</p>
<p dir="ltr">เธอสิ้นลมไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว...!!!</p>
<p dir="ltr">"อย่าโศกเศร้าเสียใจ ภรรยาของคุณ  เธอไปในที่ๆดีที่สุดแล้ว"</p>
<p dir="ltr">"ให้ผมมานอนเป็นเพื่อนอาจารย์ไหมครับ สมชัยและวีณาก็จะมาด้วยนะครับ"</p>
<p dir="ltr">คำปลอบประโลมใจ ที่เพื่อนๆและเหล่าลูกศิษย์เข้ามาปลอบประโลมใจ  แต่เขายังคงยืนนิ่ง ปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉย เงียบขรึมเหมือนที่เขาเป็นอยู่ก่อนหน้านั้น</p>
<p dir="ltr">คืนหนึ่ง....เขาเขียนจดหมายยืดยาวถึงลูกสาวเพียงคนเดียว   ด้วยหน้าที่การงานทำให้ลูกกลับมาส่งคุณแม่ไม่ทัน</p>
<p dir="ltr">ชายชราหยิบจดหมายขึ้นมาจูบ<br>
"ลาก่อนลูกรัก"<br>
เขาวางจดหมายและหยิบขวดยานอนหลับขึ้นมา  ข้างๆ ขวดยานอนหลับ เหมือนภรรยาของเขากำลังยิ้มให้......</p>
<p dir="ltr">จู่ๆ เสียงโทรศัพท์บนหัวนอนก็ดังขึ้น<br>
"พ่อคะ ตอนนี้หนูอยู่สนามบินแล้วค่ะ เจ้านายใจดีให้หนูลาพักร้อนมาอยู่เป็นเพื่อนพ่อหนึ่งเดือนค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะคะพ่อ หนูรักพ่อมากๆค่ะ"</p>
<p dir="ltr">หลังจากศาตราจารย์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสร็จ เขาก็ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม</p>
<p dir="ltr">"คุณรู้ไหม อะไรที่ทำให้คนเลิกคิดฆ่าตัวตาย"<br>
"ไม่รู้ครับท่าน" ลูกศิษย์เก่าของชายชราตอบ</p>
<p dir="ltr">"ไม่ใช่คำสอนในศาสนา ไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่มันคือความรู้สึกง่ายๆ ที่เรียกว่า..ถูกรัก..นั่นก็คือ ยังมีคนที่รักเราอยู่"<br>
.....<br>
cr:forward line</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-28666388602217824242018-11-27T11:47:00.002+07:002018-11-27T11:47:45.261+07:00เรื่องเล่า...ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21kus9FyB4Vq-fJYzWYNQqRJlC-dcUBSirLSRxnRJXgo3N7zC3tHFJ-eCJqfefI9dP0h2bEcPjSewGjkUKmgO3ONv4tBjxUsqkAQRxzw1sb2B408ncAu_CJs92rKLz7TrQKmcdNLNfu_N/s1600/Untitled-1-30.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="480" data-original-width="840" height="182" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi21kus9FyB4Vq-fJYzWYNQqRJlC-dcUBSirLSRxnRJXgo3N7zC3tHFJ-eCJqfefI9dP0h2bEcPjSewGjkUKmgO3ONv4tBjxUsqkAQRxzw1sb2B408ncAu_CJs92rKLz7TrQKmcdNLNfu_N/s320/Untitled-1-30.png" width="320" /></a></div>
<br />
🌹ถ้าไม่อ่านข้อความนี้นับว่าพลาดอย่างแรง🌹เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าต่อ..ที่ฟังดูแล้วมีความเป็นเหตุ..เป็นผลแห่งพุทธ..อย่างแท้จริง..เรื่องมีอยู่ว่า<br />
<br />
..สมัยพุทธกาล<br />
มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร<br />
<br />
พระพุทธองค์ตอบว่า"ไม่ได้อะไรเลย"<br />
<br />
เขาจึงถามต่อไปว่า... ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร<br />
<br />
พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไป นั้นก็คือ<br />
<br />
ความโกรธได้หายไป<br />
ความหม่นหมองวิตกกังวลหายไป<br />
ความเศร้าท้อแท้หายไป<br />
ความกังวลไม่สบายใจหายไป<br />
ความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะพิษร้ายทั้งสามก็หายไป<br />
อวิชาคือความไม่รู้ที่ปิดกั้น ปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป<br />
<br />
พูดเหมือนง่าย... แต่เหตุผลนั้นมันลึกซึ้ง...<br />
คนทั้งหลายที่มาสู่โลกนี้ มีเพียงสองเรื่องคือเกิดกับตาย<br />
<br />
เรื่องแรกทำสำเร็จไปแล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้นเราจะทุกข์ร้อนไปทำไม...<br />
<br />
มีวาสนาก็มา ... ไม่มีวาสนาก็ไป... สิ่งใดที่สมควรแก่เหตุก็มาเอง... สิ่งใดที่ไม่สมควรแก่เหตุ จะแสวงหาก็ไม่พบ อ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ...<br />
มีวาสนาก็ไม่ปฏิเสธ ไร้วาสนาก็ไม่ต้องแสวงหา... สิ่งที่เข้ามาหาก็ต้อนรับ สิ่งที่จากไปก็ไม่ต้องอาลัย... ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่วาสนา ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น<br />
<br />
ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับปากและตาของผู้อื่น... ให้มองเห็นจิตและใจของตนเอง... มีสติ รู้จิต ไม่ฟุ้งซ่าน... ไม่ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่หลอกลวงทั้งหลาย... ไม่ดิ้นรนแสวงหา ใจเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง... จะร้อนจะหนาว จะลุกจะนั่ง จิตก็มีสติอยู่เสมอ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม<br />
<br />
เกิดเป็นคน อย่าเป็นคนหลอกลวงไร้สัจจะ ถ้าเป็นคนหลอกลวงจะไม่สามารถเปิดใจต่อผู้อื่นได้... ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คือใจที่ไร้ที่พึ่ง...<br />
<br />
ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม จิตที่ดีงามย่อมไม่มีเรื่องทุกข์ใจฺ...<br />
<br />
จิตที่ประเสริฐ ย่อมไม่มีผู้ที่จะต้องเคียดแค้นชิงชัง... จิตที่เรียบง่าย ย่อมไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ... เป็นคนดี กายใจซื่อตรง ย่อมหลับเป็นสุข... ผู้ประกอบกรรมดี ฟ้าดินย่อมมองเห็น ผีสางเทวดาย่อมสรรเสริญ<br />
<br />
ความสงบที่แท้จริงมิได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆหลายชั่วโมง แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจที่สงบ ได้ยินแม้แต่เสียงดอกไม้บาน... นั่งก็เป็นสมาธิ เดินก็เป็นสมาธิ<br />
<br />
เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ว่างเปล่า...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ ได้แต่เพียงเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป... พวกเราทุกคนเป็นเพียงแขกผู้ผ่านกาลเวลาเท่านั้น... วันหนึ่งเราก็ต้องบอกลาทุกสิ่งไป<br />
<br />
ทุกสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้นควรจะทนุถนอม... แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ควรต้องอาลัย... สิ่งใดที่ควรได้ก็ให้รับเขาด้วยความยินดีแต่ไม่ยึดถือ..<br />
<br />
ขออวยพรแด่ทุกคนที่มีวาสนาได้เกิดมาร่วมโลกกัน... เป็นครอบครัวเดียวกัน... เป็นญาติสนิทมิตรสหาย... รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายขอจงมีความสุข เบิกบานใจทุกวันคืน...<br />
<br />
ถ้าอ่านแล้วจะส่งต่อให้เพื่อนก็เป็นบุญ จะพิจารณาอยู่ก็เป็นคุณที่ดีเฉพาะตัว...<br />
<br />
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ท่านที่ช่วยแชร์ต่อๆ ไป... ขออำนาจกรรมดีความดีจงคุ้มครองให้ทุกทุกท่านวิวัฒน์สวัสดีตลอดกาลนานBaannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-24618666399366535592018-11-04T12:34:00.001+07:002018-11-04T12:34:54.422+07:00มหัศจรรย์แห่งการอ่าน<p dir="ltr">เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นที่ร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง!<br>
. . . . . </p>
<p dir="ltr">ขณะที่ร้านหนังสืออื่นกำลังค่อย ๆ ตายลง แต่สำหรับร้านนี้ดูเหมือนจะตายยาก- - มิเพียงไม่ตาย แต่ยังต่อลมหายใจได้ด้วยพลังรักแรงศรัทธาของประชาชนในเมือง!<br>
. . . . .</p>
<p dir="ltr">October Books ร้านหนังสืออิสระเล็ก ๆ ที่เมืองเซาแธมป์ตัน เกือบจะต้องปิดตัวเองลง เพราะสู้ค่าเช่าตึกที่สูงขึ้นไม่ไหว ซึ่งอยู่มานานตั้งแต่ปี 1977 เจ้าของร้านจึงคิดโครงการระดมทุนจากประชาชนเพื่อซื้อตึกเก่า(ราคาประมาณ 400,000 เหรียญ)ที่อยู่ห่างออกไปราว 500 เมตร ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ลูกค้าประจำกว่าหลายร้อยคน ร่วมกันบริจาคและบางคนให้ยืมเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะซื้อตึกนั้น<br>
.</p>
<p dir="ltr">เมื่อซื้อตึกสำเร็จ ถึงตอนที่จะต้องย้ายหนังสือจำนวนมากไปยังร้านใหม่ก็เป็นปัญหาอีกรอบ เพราะหากต้องจ้างบริษัทขนย้าย ก็ต้องใช้เงินอีกก้อนโต เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางร้านจึงประกาศรับอาสาสมัครเป็น “สายพานลำเลียง”หนังสือ เขาคิดว่าคงมีจิตอาสามาสัก 10-20 คน แต่เมื่อถึงวันย้าย - กลับผิดคาด! พวกเขามากันกว่า 200 คน ยืนเรียงกันเป็นแถวยาวบนทางเท้า ส่งต่อหนังสือจำนวน 2,000 กว่าเล่ม จากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง จากร้านเดิมไปยังร้านใหม่!<br>
.</p>
<p dir="ltr">คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็จะกระโดดเข้าร่วมวงด้วยทันที มิเพียงเท่านั้น ร้านอาหารใกล้เคียง ยังได้เอื้อเฟื้อชากาแฟร้อน ๆ มาบริการเหล่าอาสาสมัครด้วย<br>
.</p>
<p dir="ltr">เมื่อภาพข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หลายคนชื่นชม หลายคนตั้งคำถาม- - </p>
<p dir="ltr">ทำไมร้านหนังสือเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ถึงมีคนรักมากมาย...?<br>
ทำไมชาวเมืองจึงพร้อมใจกันขนาดนี้?<br>
ใช่การอ่านหรือไม่ ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง?</p>
<p dir="ltr">ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนแน่นอน<br>
แต่เท่าที่รู้- - </p>
<p dir="ltr">สายพานลำเลียงความรักนี้ ต้องเริ่มต้นจากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง ความมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้นได้</p>
<p dir="ltr">เช่นเดียวกัน, สังคมดี ๆ ไม่ใช่ได้มา ด้วยการเนรมิตร้องขอ <br>
หากเราทุกคนต้องร่วมใจ ลงมือทำ สร้างขึ้นเอง!</p>
<p dir="ltr">ปะการัง</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYLI3AwEZ3STXlYVwQ1n-8OBKLX4VgBU1EwoXJOYgLTtlmbcfB5r2eiIpsbzFKi1m9ehQ-gJ_JNyy_qxKqm6VhV9KSpB2qBjcIXOF_JE2w8S5RzW1gfb_e_3JUNPKUn6kuXy9uG1Dzh_9t/s1600/1541309608379.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYLI3AwEZ3STXlYVwQ1n-8OBKLX4VgBU1EwoXJOYgLTtlmbcfB5r2eiIpsbzFKi1m9ehQ-gJ_JNyy_qxKqm6VhV9KSpB2qBjcIXOF_JE2w8S5RzW1gfb_e_3JUNPKUn6kuXy9uG1Dzh_9t/s640/1541309608379.jpg"> </a> </div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-69878784721034739402018-11-02T09:46:00.001+07:002018-11-02T09:46:47.655+07:00เคยสงสัยว่าตอบจบของ "ไซอิ๋ว" คืออะไร<p dir="ltr">เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังๆ สักที เคยดูทางทีวีบ้างบางตอน รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยมีเค้าโครงเรื่องจริงของ พระเสวียนจั้ง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่เสริมเรื่องอภินิหารให้อ่านสนุกขึ้น<br>
.<br>
วันนี้เลยนั่งดู google กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วจึงเป็นนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือ การกางพระไตรปิฎกออกมา แล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน <br>
.<br>
"พระถังซำจั๋ง" คือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องเริ่มจากมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย..</p>
<p dir="ltr">โทสะ - หงอคง โกรธ <br>
โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ <br>
โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้</p>
<p dir="ltr">ก็แค่นั้น จนเจอที่เขาอธิบายใน Google แต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งในความสามารถของคนแต่งเลยครับ<br>
.<br>
"หงอคง" แปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้.... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น<br>
.<br>
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะเราจะเหมือนหงอคง เวลาแผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง<br>
.<br>
แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่ไหน ? <br>
ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว <br>
.<br>
ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน "ขันธ์ 5 " ต่อให้จิตแน่แค่ไหน สุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ<br>
.<br>
นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นยังเกิดปัญหาได้ <br>
.<br>
พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังซำจั๋งคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา</p>
<p dir="ltr">ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป<br>
.<br>
ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า.. "จะไปชมพูทวีป ผมพาพระอาจารย์ตีลังกาไป 7 ทีก็ถึง มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ" พระถังบอกว่า "ไม่ได้..ต้องเดินไป"<br>
.<br>
ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญญา ฟังเขาเล่า ฟังเขาบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แป๊บเดียวก็ไปถึงนิพพานละ<br>
เช่น คนเล่าให้ฟังเรื่องอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ก็บอกฟังเข้าใจละ.. แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่เข้าใจ..<br>
.<br>
ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึงเพราะเอาเร็วเข้าว่า แต่ขาดความเข้าใจ ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป จึงจะถึง...<br>
.<br>
โป๊ยก่าย คือศีล 8 <br>
ซัวเจ๊ง คือสมาธิ</p>
<p dir="ltr">ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์<br>
.<br>
แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย<br>
เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา <br>
.<br>
.<br>
ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลส ควรใช้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงใช้เมตตา..ปล่อยวาง</p>
<p dir="ltr">ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ <br>
.<br>
ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็สุดยอดมาก เช่น เมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย<br>
.<br>
โจรทั้งหกคือ "อายตนะ 6" คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (กระบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้<br>
แล้วก็จะเจอปีศาจไปเรื่อยๆ <br>
.<br>
<b>สรุป</b> ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ.. ออกเดินทาง กำจัดกิเลส.. ไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร ?<br>
.<br>
ตอนจบพระถังซำจั๋งและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง จนเจอเรือไร้ท้องเรือ จอดอยู่ พระถังกังวลมาก เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากได้อย่างไร?<br>
.<br>
แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส เรือนั้นแทน "สุญญตา" ความไม่ยึดมั่นถือมั่น<br>
.<br>
เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป และได้คัมภีร์มา..เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม<br>
แทนธรรมมะ ซึ่งก็คือความว่างเปล่า ...หรือ "นิพพาน" นั่นเอง<br>
.<br>
แต่สุดท้าย.. เห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปเมืองจีนหน่อย เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร เป็นบันทึกการเดินทาง เรียกว่า "<b>พระไตรปิฎก</b>" ... </p>
<p dir="ltr">เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้</p>
<p dir="ltr">อ่านแล้วต้องคารวะคนแต่งเลย ....<br>
เก่งและแยบยลมากๆ</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-28703540383255579792018-10-08T17:08:00.004+07:002018-10-08T17:08:46.386+07:00สามก๊กยุคดิจิทัล<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0Yv65AUu0j-Y3D01RSfi6_-kxnqhgnJJX1pNGNwSEFJQAzu5qPeCBRbKkQ_m0Y2nQ-W71Is7ToqzdRYMyhfRGf01w2shWDmG5R3ocKnMEzkRhw8iM7x5o4UcVJE0YKEZyM7i9byARdx6y/s1600/440px-Three_Kingdoms_Game_Online.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="334" data-original-width="440" height="242" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0Yv65AUu0j-Y3D01RSfi6_-kxnqhgnJJX1pNGNwSEFJQAzu5qPeCBRbKkQ_m0Y2nQ-W71Is7ToqzdRYMyhfRGf01w2shWDmG5R3ocKnMEzkRhw8iM7x5o4UcVJE0YKEZyM7i9byARdx6y/s320/440px-Three_Kingdoms_Game_Online.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<b>#กวนอู </b><br />
...ตาย เพราะหยิ่งในความเป็นทหาร เพิกเฉยต่อการเจรจากับซุนกวนจนสุดท้ายหัวขาดในสถานะผู้แพ้สงคราม<br />
<br />
<b>#เตียวหุย</b><br />
...ตาย เพราะลุแก่โมหะ ถือตนว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ สั่งโบยตีทหารเลว จนสุดท้ายทหารเลวแอบมาปาดคอตอนแม่ทัพใหญ่กำลังเมามาย<br />
<br />
<b>#เล่าปี่</b><br />
...ตาย เพราะลุแก่โทสะ อยากแก้แค้นให้กวนอู ถือตนว่าเป็นอ๋องเป็นกษัตริย์จนลืมไตร่ตรองวิธีตั้งค่าย สุดท้ายพลาดท่าถูกลกซุนแม่ทัพหน้าใหม่ของซุนกวนพาทหารมาเผาค่ายจนวอดวาย เล่าปี่บาดเจ็บและตรอมใจตาย<br />
<br />
<b>#โจโฉ และ #ซุนกวน</b><br />
...ผู้ที่ได้ชื่อว่าจอมทัพและครองพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดินมังกร ตายด้วยอาการประสาทเสื่อม มองเห็นภาพหลอนของคนที่ตัวเองเคยเข่นฆ่า<br />
<br />
<b>#จิวยี่</b><br />
...ผู้มีปัญญาล้ำเลิศที่สุดในง่อก๊ก ต้องกระอักเลือดตายเพราะไม่สามารถระงับโทสะที่เกิดขึ้นจากการพ่ายแพ้อย่างราบคาบแก่ผู้มีปัญญาเลิศล้ำกว่าตน ที่มีนามว่า ขงเบ้ง<br />
<br />
<b>#จูกัดเหลียง หรือ #ขงเบ้ง</b><br />
...ผู้มีปัญญาเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดินมังกร ตายไปพร้อมกับอาการห่วงหน้าพะวงหลัง พะว้าพะวัง ในราชกิจที่ยังคงคั่งค้าง<br />
<br />
ที่กล่าวมาทุกคนล้วนแต่เป็น "วีรบุรุษ" ล้วนแต่เป็น "นักปราชญ์" ล้วนแต่เป็น "เจ้าเหนือหัว"<br />
<br />
แต่การมีแค่เพียงพละกำลัง ความรู้ และอำนาจ<br />
ไม่ได้ช่วยให้ใครตายสบายสักผู้สักคน<br />
ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังคงยึดถือ "#ตัวตน"<br />
หรือ "#อัตตา" ในตัวเองอยู่<br />
<br />
จะกล่าวถึง<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">#เตียวจูล่งหยุ่น</span></b><br />
...แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ผู้นี้ฆ่าคนมามาก ไต่เต้าจากตำแหน่งทหารกระจอก จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งจ๊กก๊ก<br />
...แต่ทุกภารกิจ ทุกศพที่เขาเข่นฆ่า และทุกสงคราม จูล่งไม่เคยเอาอารมณ์เข้าไปผสม<br />
...จูล่งทำ "#หน้าที่เพื่อหน้าที่" เท่านั้น<br />
...แม้ก่อนตายจูล่งจะเสียสถิติ "ขุนศึกผู้ไร้พ่าย" เพราะต้องมีอันพ่ายแพ้ในศึกเทียนสุย จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่จูล่งสามารถละอัตตา สั่งถอยทัพเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม<br />
...และยังปลงใจให้ยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้นได้<br />
...วาระสุดท้ายของจูล่ง จึงจากไปอย่างสงบ<br />
...สงบจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงกับหลั่งน้ำตาชโลมแผ่นดินมังกรให้แก่ขุนศึกผู้เปรียบเสมือนบิดาของตนเอง<br />
<br />
ความเครียดจากชีวิตยุคดิจิทัล<br />
คงไม่ได้เกิดมาจากความลำบากในการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาดหรือผิดหวังอย่างเดียว<br />
<br />
แต่เกิดจากการที่เรา เอาตัวเรา เข้าไปผสมกับงาน<br />
ผสมกับผลการสอบ กับผลการประเมิน กับเงินเดือน<br />
หรือกับสิ่งต่างๆ รอบกาย<br />
<br />
พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา<br />
<b><span style="color: #274e13; font-size: large;">#ละตัวตน + #ลดอัตตา</span></b><br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">#ทำหน้าที่ = #เพื่อหน้าที่</span></b><br />
<br />
#3ก๊กฉบับสอบราชการBaannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-14991865599544029702018-10-04T19:09:00.001+07:002018-10-04T19:09:29.311+07:00แบบไหนที่เรียกว่า คนที่มีบุญมาก<p dir="ltr">ใครคือคนที่มีบุญมาก……ท่านเองก็อาจมีบุญมากได้ด้วยการฝีกฝน</p>
<p dir="ltr">~ คนที่ทำทานมาก…อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมากเสมอไป…คนที่มีศีลมาก…ก็อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมาก…แล คนที่ทำสมาธิมาก…ก็อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมากเช่นเดียวกัน</p>
<p dir="ltr">~ คนที่ทำทานมาก……อาจเป็นเพียงคนที่รู้จักเสียสละมาก…แต่ถ้า ในชีวิตประจำวัน นั้น……ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้บ่น…รู้สึกว่ามีแต่เรื่องที่ไม่น่าพอใจ…มีแต่เรื่องกวนใจมารบกวน…มีแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจมาให้ได้พบเห็น…มีแต่ความทุกข์ใจ……จะถือว่าเป็นคนมีบุญมากได้อย่างไร</p>
<p dir="ltr">~ คนที่คิดว่ามีศีลมาก……ทำสมาธิมาก……ก็ไม่แตกต่างกันมากนักดอก……เพราะ…ถ้า ในชีวิตประจำวัน นั้น……ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้บ่น…รู้สึกว่ามีแต่เรื่องที่ไม่น่าพอใจ…มีแต่เรื่องกวนใจมารบกวน…มีแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจมาให้ได้พบเห็น…มีแต่ความทุกข์ใจ……จะถือว่าเป็นคนมีบุญมากได้อย่างไร……แต่ ก็ยังดีที่ได้สะสมอริยทรัพย์ไว้ใช้ในโลกหน้า……เพียงแต่ …ในโลกปัจจุบัน…ย่อมถือว่า…ท่านยังไม่มีบุญมากจริง</p>
<p dir="ltr"><b>~ คนที่มีบุญมาก คือ…คนที่สบายใจง่าย ……อยู่ที่ไหน…ในเวลาใด……ก็สุขง่าย…ทุกข์ยาก……มีแต่ความเบาจิตเบาใจ…ปลอดโปร่งโล่งสบาย……ท่านล่ะ……เป็นเช่นว่าหรือยัง ???……</b></p>
<p dir="ltr">~ คนที่สามารถจ่ายค่าอาหารแพงๆในร้านดีร้านดัง…แต่ยังปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิด…กับบริการ …หรือ…เรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ …อาจเรียกได้ว่า…เป็นคนมีสตางค์มาก…แต่ยังไม่ใช่คนมีบุญมากจริงๆ</p>
<p dir="ltr"><b>~ คนที่มีบุญมากจริงๆนั้น… มักจะอยู่ง่ายกินง่าย… ปรับตัวได้ง่าย …ไม่ค่อยถือสาอะไรมากมายให้เป็นทุกข์ …อะไรที่เป็นทุกข์…ก็เพียงรู้ว่า…เป็นทุกข์…แต่…ไม่นำทุกข์มาแบก</b></p>
<p dir="ltr"><b>~ คนที่มีบุญมากจริงๆ …มักไม่ค่อยถือตัวถือตน …เข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ……ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร……มีเกิดแล้ว…ตั้งอยู่…ในที่สุดก็ดับไป……มีความรู้สึกปล่อยวาง…มากกว่าเอามาแบกทับถมตัวเองให้เป็นภาระหนักตลอดเวลา……</b></p>
<p dir="ltr"><b>~ คนที่มีบุญมากจริงๆ……มักไม่คิดว่าตนเองพิเศษอะไรกว่าใคร …ในทางตรงกันข้าม …เขาจะรู้สึกขอบคุณ……เวลาที่ใครทำอะไรให้ ……ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ……จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดี ……แม้ถึงคราวที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ใดๆที่ไม่ดี ……ก็ยังเห็นเป็นบทเรียน หรือ……ยังพอเห็นด้านดีได้อยู่……หรือ มักมองเห็นด้านบวกได้เสมอ</b><br>
<b>.</b><br>
<b>~ คนที่มีบุญมากจริงๆ……ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพียบพร้อม ……หรือดีพร้อม ……ถึงกระนั้น……เขาก็ไม่รู้สึกต่ำกว่า……หรือสูงกว่าใคร ……ดีกว่าใคร……หรือเลวกว่าใคร ……ฉลาดกว่าใคร……หรือโง่กว่าใคร ……เพราะเขาให้เกียรติความเป็นคนของทุกคน ……รวมทั้งตนเอง ……จึงไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร ……หรือ……นำใครมาเปรียบเทียบกับตนเอง ……ถึงกระนั้น ……เขาก็ยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น ……โดยไม่หลงเป็นเหยื่อคำสรรเสริญ ……และ…คำนินทา </b><br>
<b>.</b><br>
<b>~ คนมีบุญมากจริงๆ……มองไปที่ไหน …เมื่อใด…ได้ยินอะไร……ก็สบายอกสบายใจ ……เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง……ของทุกๆชีวิต ……เห็นคนได้ดี ก็รู้ว่า……เขาคงเคยทำสิ่งดีๆมาก่อน……เห็นคนลำบาก……ที่พอช่วยเหลือได้ ……ก็ช่วยไปตามกำลัง ……อะไรที่เกินกำลัง……ก็ไม่ปล่อยให้ตนเองว้าวุ่น กังวล ทุกข์ร้อนใจไปกับสิ่งนั้น……เข้าใจดีว่า……ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง……มีกรรมเป็นมรดก……แต่ละคน…ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำ……ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี…ละอายชั่ว…กลัวบาป……ทำสิ่งที่ดีๆ……หาเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติในการปฏิบัติธรรม……โดยทำในที่ใดๆก็ได้……ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด ……หรือ ที่สำนักปฏิบัติธรรมใดๆ……ทำที่บ้านก็ได้……ทำได้ในทุกแห่ง……ด้วยความมีสติในปัจจุบันขณะ</b></p>
<p dir="ltr">~ พวกเราทุกคน……สามารถฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนที่มีบุญมากดังกล่าวได้  ……เป็นเรื่องปัจจัตตัง……ที่รู้ได้เฉพาะตนคนที่ทำการฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีบุญมากก่อนตายได้ทุกคน<br>
~ ขออำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านและ…ผู้เรียบเรียงเป็นผู้สำเร็จในการมีบุญมากในชาติปัจจุบัน</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9nGrulHH3RXt5ksG-kHCwqSMNKsSptwoNgX8JhptgEKOsDqfdhSHa7LZbSaMe6Fogs795-ZqGFsGWjIw5_nOCFQOpQM8GKGDeRkP7OJrpzbg7QrNCELZf0JPhfccIymsBTydYdAHqWOaq/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9nGrulHH3RXt5ksG-kHCwqSMNKsSptwoNgX8JhptgEKOsDqfdhSHa7LZbSaMe6Fogs795-ZqGFsGWjIw5_nOCFQOpQM8GKGDeRkP7OJrpzbg7QrNCELZf0JPhfccIymsBTydYdAHqWOaq/s640/images.jpg"> </a> </div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-36998170963430689482018-05-05T01:28:00.001+07:002018-05-05T01:28:24.261+07:00ชัยชนะที่ยั่งยืน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5Ge4iQM2zGltqOxgWBAUVLxJ4muTN_mwPjg0GOUVkJaQcn3DcmjCL_nNYE9U80vjkfkj9BBohV7k8UsVZPtoOrJ5bEa_1u-KiQsAF3Uj9h87Z0jQ8SHL_7KKdEtK6vtymntXHY4k7ORBK/s1600/Helen-Keller-Friendship-Quotes-Images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="901" data-original-width="1200" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5Ge4iQM2zGltqOxgWBAUVLxJ4muTN_mwPjg0GOUVkJaQcn3DcmjCL_nNYE9U80vjkfkj9BBohV7k8UsVZPtoOrJ5bEa_1u-KiQsAF3Uj9h87Z0jQ8SHL_7KKdEtK6vtymntXHY4k7ORBK/s320/Helen-Keller-Friendship-Quotes-Images.jpg" width="320" /></a></div>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับและนักสร้างหนังชื่อดังแห่งฮอลลีวู้ด เล่าว่าเมื่ออายุ ๑๓ ปีชีวิตของเขาเหมือนตกอยู่ในนรก เพราะที่โรงเรียนมีอันธพาลวัย ๑๕ คนหนึ่งชอบทำร้ายเขา ทั้งทุบตีและขว้างปาระเบิดไข่เน่าใส่เขา เขาทนสภาพนี้อยู่นาน </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">แล้ววันหนึ่งเขาก็เข้าไปหาอันธพาลคนนั้นและพูดว่า</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“เธอรู้ไหม ฉันกำลังถ่ายทำหนังเรื่องสู้กับนาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม ?” </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">ทีแรกอันธพาลหัวเราะใส่เขา แต่ในที่สุดก็ตกลง สปีลเบิร์กเล่าว่า หลังจากถ่ายทำวีดีโอเสร็จ อันธพาลคนนั้นได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขา</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">การที่สปีลเบิร์กให้การยอมรับเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นพระเอก มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนเขาจาก “ศัตรู” ให้กลายเป็นมิตรได้ เพราะลึก ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้รับความยอมรับ สปีลเบิร์กชนะใจเขาด้วยการยื่นไมตรีให้แทนที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูหรือยอมจำนนต่ออำนาจบาตรใหญ่ของเขา</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">น้ำใจไมตรีไม่เพียงแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้คลี่คลายไปในทางที่ดีเท่านั้น หากยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วย</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">นักธุรกิจไทยผู้หนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือในเมืองบอสตันว่า เธอเคยถูกคนผิวดำล็อกคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัย เมื่อโจรพบว่าในกระเป๋าของเธอมีเงินแค่ ๒๐ ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจ เขาขุ่นเคืองหนักขึ้นเมื่อพบว่าเธอไม่มีนาฬิกา แหวนและกำไลเลยสักอย่าง เขาจึงถามเธอว่า </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวยไม่ใช่หรือ ?” </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">เธอตอบว่า </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา”</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน ๒๐ ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำอะไร เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ เขาถามเธอว่าเอาไข่ไปทำอะไร </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์” </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">เธอตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นการเงินฝืดเคือง</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยกหูโทรศัพท์เรียกตำรวจ เธอมองเห็นพอดีก็เลยโบกมือว่า</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“ไม่ต้อง ๆ เราเป็นเพื่อนกัน” </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">โจรได้ยินเช่นนั้นก็งง ถามว่า</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">“ก็เมื่อกี้ไง” เธอตอบ</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที หลังจากสนทนาพักใหญ่ โจรไม่เพียงแต่จะคืนเงินให้เธอ หากยังพาเธอไปซื้อไข่และซื้ออาหาร ๓ ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย แล้วยังแถมเงินอีก ๕๐ ดอลลาร์</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน ๕๐ ดอลลาร์นั้นไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทย แล้วไปเยี่ยมบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว นับแต่นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่าทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">น้ำใจไมตรีและความดีนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี และเปลี่ยนภัยคุกคามให้เป็นสะพานสานมิตรภาพได้ </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">ใช่หรือไม่ว่าการกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตรนั่นเอง นี้คือชัยชนะที่ให้ผลยั่งยืนกว่าชัยชนะด้วยกำลังที่เหนือกว่า </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">พลังของน้ำใจไมตรีและความดีนั้นอยู่ที่การดึงเอาคุณธรรมและความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งออกมาแม้จะซ่อนเร้นหรืออยู่ลึกเพียงใดก็ตาม </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">ในทางตรงกันข้ามการใช้พละกำลังและความรุนแรงมีแต่จะดึงเอาความโกรธเกลียดและคุณสมบัติทางลบของคู่กรณีออกมาปะทะกัน ผลก็คือความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นความรุนแรง หรือทำให้ความรุนแรงไต่ระดับจนยากแก่การระงับ </span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">เวรไม่อาจระงับด้วยการจองเวรก็เพราะเหตุนี้</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">พระไพศาล วิสาโล</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;"><br /></span></span>
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">Hatred does not cease by hatred, but only by love; this is the eternal rule.</span></span><br />
<span style="color: #222222; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: 13px;">Gautama Buddha, The Dhammapada: The Sayings of the Buddha</span></span>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-46070416022061233212018-03-15T13:49:00.001+07:002018-03-15T13:49:04.816+07:00ชายพเนจรกับพระโพธิสัตว์
<p dir="ltr">ชายพเนจรเร่ร่อนคนหนึ่ง เดินเข้าไปในวิหารของวัดแห่งหนึ่ง เขาเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนบัลลังก์บัว มีผู้คนกราบไหว้บูชา จึงรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกอิจฉาพระโพธิสัตว์ไม่ได้ จึงถามพระโพธิสัตว์ว่า</p>
<p dir="ltr">“ลูกช้างขอนั่งแทนท่านสักครู่ได้ไหมขอรับ?” </p>
<p dir="ltr">“ได้สิ แต่เธอต้องสัญญาว่าจะไม่เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น นั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังเท่านั้น หากทำได้ เราก็ให้เจ้านั่งแทนเราได้!” พระโพธิสัตว์กล่าวตอบ</p>
<p dir="ltr">ชายพเนจรจึงรับปากว่าจะทำตามสัญญา เมื่อเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แทนพระโพธิสัตว์แล้ว สิ่งที่เขาได้เห็นคือ มีผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างจิตต่างใจ ล้วนมาอธิษฐาน อ้อนวอนขอบางสิ่งบางอย่างทั้งสิ้น </p>
<p dir="ltr">แม้ชายพเนจรจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใดที่ต้องเป็นฝ่ายรับฟังเพียงอย่างเดียว เขาก็ต้องอดทน เพราะได้สัญญาต่อพระโพธิสัตว์ไว้แล้วว่าจะนั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังเท่านั้น</p>
<p dir="ltr">และแล้ว ก็มีเศรษฐีเฒ่าผู้หนึ่งได้เข้ามากราบพระโพธิสัตว์ กล่าวคำอธิษฐานว่า “ขอพระโพธิสัตว์ได้โปรดชี้ทางให้ลูกช้างมีโอกาสได้สร้างบารมีด้วยเถิด” เมื่อกล่าวเสร็จ เขาก็กราบ แล้วลุกขึ้น</p>
<p dir="ltr">แต่เมื่อเศรษฐีเฒ่าลุกขึ้นนั้น ถุงเงินของเขาก็หล่นลงพื้น ชายพเนจรเกือบจะเอ่ยปากเรียกชายชราไว้ แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญา ก็ได้แต่เอามือปิดปากของตนเองไว้</p>
<p dir="ltr">หลังจากเศรษฐีเฒ่าออกจากวิหารไป ก็มียาจกคนหนึ่ง เข้ามากราบไหว้พระโพธิสัตว์ อธิษฐานว่า</p>
<p dir="ltr">“ข้าแต่พระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา แม่ของข้าป่วยหนัก ไม่มีเงินรักษา ขอพระองค์โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถิด” </p>
<p dir="ltr">แล้วเขาก็ก้มลงกราบ จึงเหลือบไปเห็นถุงผ้าที่อยู่บนพื้น เมื่อเปิดออกดู ข้างในถุงนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ชายยากจนถึงกับน้ำตาไหล ก้มศีรษะลงกับพื้นติดต่อกันหลายครั้ง และพร่ำพูดว่า </p>
<p dir="ltr">“พระองค์มีเมตตายิ่ง พระองค์มีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ” </p>
<p dir="ltr">จากนั้น เขาก็หยิบถุงเงินเดินออกจากวิหารไป ชายพเนจรอยากจะบอกกับคนยากจนนั้นว่า นั่นไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์ นั่นเป็นถุงเงินของเศรษฐีเฒ่าที่ทำตกหล่นต่างหากเล่า แต่ก็ต้องอดทน ไม่พูดอะไรออกไป เพื่อรักษาคำสัญญา</p>
<p dir="ltr">คล้อยหลังของคนยากจน ก็มีชาวประมงคนหนึ่งเข้ามากราบไหว้พระโพธิสัตว์ “ข้าแต่พระโพธิสัตว์ ขอให้การออกเรือครั้งนี้ของลูกช้าง ราบรื่นปลอดภัยด้วยเถิด” จากนั้นเขาก็ก้มลงกราบ ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากวิหารไป </p>
<p dir="ltr">เขาเดินยังไม่ถึงประตูวิหาร เศรษฐีเฒ่าก็กลับมาหาถุงเงินที่ทำหล่นไว้ ไม่รู้ว่า ก่อนหน้าชาวประมง ได้มีชายยาจกเข้ามาในวิหารก่อน จึงคิดเหมาเอาว่า ชายประมงเป็นคนที่เข้ามาในวิหารหลังตน เมื่อหาถุงเงินไม่พบ จึงวิ่งกรูออกมาชี้หน้าด่าชายประมงว่า </p>
<p dir="ltr">“แกใช่ไหมที่ขโมยเงินของข้า” </p>
<p dir="ltr">“เงินอะไรของท่าน ข้าไม่เห็น ไม่รู้เรื่อง อย่ามาปรักปรำข้านะ”</p>
<p dir="ltr">ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันด้วยเสียงอันดัง ชาวประมงเมื่อโดนปรักปรำก็ไม่ยอม เพราะตนไม่ได้เก็บเงินที่หล่นหายไปของเศรษฐีเฒ่า ถึงจุดนั้น ชายพเนจรผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ซึ่งรู้เห็นความจริงทั้งหมด ก็อดทนต่อไปอีกไม่ได้ </p>
<p dir="ltr">จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านทั้งสอง หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” จึงเล่าความจริงทั้งหมดให้ชายทั้งสองคนฟัง เรื่องราวจึงสงบลงได้ ในที่สุดเศรษฐีเฒ่าก็ตามไปหายาจกจนพบ และได้ถุงเงินกลับคืนมา</p>
<p dir="ltr">พระโพธิสัตว์ที่แฝงกายอยู่ในวิหารได้ปรากฏกายออกมาและถามชายพเนจรว่า “เจ้าคิดว่าทำถูกแล้วหรือ เจ้าจงกลับไปเป็นชายพเนจรตามเดิมเถิด!” </p>
<p dir="ltr">“เจ้าคิดว่า การที่เจ้าเอ่ยปากบอกความจริงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมแล้วหรือ แต่เจ้ารู้ไหม ชายยากจนต้องเสียมารดาของเขาไปเพราะไม่มีเงินรักษา เศรษฐีเฒ่าก็ไม่มีโอกาสได้สร้างบารมี ส่วนชาวประมงก็ต้องพาเรือไปอับปางกลางทะเล </p>
<p dir="ltr">หากเจ้าไม่เอ่ยปากพูด นั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังอย่างเดียวตามคำสัญญา คำอ้อนวอนของพวกเขาทั้งสามคนย่อมลุล่วงสมดังปรารถนา ชายยากจนมีเงินพามารดาไปรักษา มารดาของเขาจะไม่ต้องด่วนจากไป เศรษฐีเฒ่าแม้เงินทองจะหายไป</p>
<p dir="ltr">แต่นั่นเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ทั้งหมด เท่ากับว่า เขาได้สร้างบารมีตามที่เขาอ้อนวอนขอไว้ ส่วนชาวประมง ซึ่งถูกเศรษฐีกล่าวหา ทางการจึงนำตัวไปสอบสวน เขาจึงไม่ได้ออกทะเล จึงทำให้เขาไม่ต้องจบชีวิตกลางท้องทะเลในวันนี้ตามที่เขาขอไว้ .....”</p>
<p dir="ltr">ชายพเนจรเมื่อได้ฟังพระโพธิสัตว์อธิบายเช่นนั้นจึงรู้สึกผิดมาก เพราะเขาไม่รักษาสัญญาที่จะไม่พูด จึงทำให้คำอ้อนวอนของคนทั้งสามไม่มีผล ทำให้พวกเขาต้องประสบกับภัยต่าง ๆ ชายพเนจรจึงได้แต่ก้มหน้าเดินลงจากบัลลังก์บัวออกจากวิหารไปอย่างเศร้าสลด</p>
<p dir="ltr">นิทานเรื่องนี้ต้องการสอนว่า เรื่องราวมากมายในชีวิต ที่ควรปล่อยให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้น พึงหัดปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเถิด ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะดีกว่าที่เราคาดคิดไว้ก็ได้</p>
<p dir="ltr">เพราะหากไปพยายามฉุดรั้งดื้อดึง หรือเปลี่ยนปัจจัยแล้ว ผลลัพธ์ย่อมเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น และอาจจะให้โทษมากกว่า </p>
<p dir="ltr">การมีความอดทน นิ่ง พิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในทุกขณะเวลาโดยไม่ตื่นตระหนกหรือตื่นตูม คือความสามารถอันยิ่งยวดอย่างหนึ่ง และการคล้อยตามธรรมชาติก็เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน</p>
<p dir="ltr">***เห็นว่าดี  อ่านแล้วเลยส่งให้ช่วยกันอ่านค่ะ***</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-14963386002952520312018-03-01T18:55:00.001+07:002018-03-01T18:55:45.863+07:00ส่งต่อความดี (Pay It Forward)
<p dir="ltr">Pay it forward เป็นสำนวน หมายถึงการตอบแทนบุญคุณที่ได้รับจากใครคนหนึ่งให้คนอื่นแทน นี่มิใช่แนวคิดใหม่ เชื่อว่ามันเริ่มมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ และมีนักคิดนักเขียนไม่น้อยเขียนแนวคิดนี้ มันเป็นวิธีหนึ่งในการ "สร้างสรรค์โลกที่ดีขึ้น"</p>
<p dir="ltr"> “You don’t pay love back; you pay it forward.”</p>
<p dir="ltr"> คุณตอบแทนความรักด้วยการส่งมันต่อ</p>
<p dir="ltr">ครั้งหนึ่งนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก พอล แอร์ดิช ได้ยินว่าลูกศิษย์คนหนึ่งไม่สามารถเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดได้ เพราะขาดเงิน เขาจึงมอบเงินให้ลูกศิษย์เรียนต่อจนจบ หลายปีต่อมาลูกศิษย์คนนั้นกลับมาหาอาจารย์และคืนเงินที่อาจารย์ให้ยืม อาจารย์ตอบว่า “คุณเอาเงินนี้ไปให้นักศึกษาคนอื่นที่ต้องการใช้เงิน ให้เขาใช้เรียนต่อ”</p>
<p dir="ltr">เคยไหมที่เรายื่นหนังสือที่อ่านแล้วให้คนแปลกหน้า แล้วเขาถามว่า “แล้วผมจะคืนคุณยังไง?”<br>
"ก็ส่งต่อให้คนอื่นอ่านก็แล้วกัน”</p>
<p dir="ltr">เคยไหมที่เมื่อการจราจรติดขัด รถคันหนึ่งยอมเปิดทางรถให้เรา เรารู้สึกดีจนเมื่อมีรถคันอื่นขอทางบ้าง เราก็เปิดทางรถให้อีกคนหนึ่ง</p>
<p dir="ltr">เหล่านี้ดูเป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนหยดน้ำใสหยดเล็กที่ไม่มีพลังอำนาจใด แต่เมื่อรวมกัน ด้วยจำนวนคนที่ส่งต่อหยดน้ำใสมากพอและนานพอ หยดน้ำใสก็สามารถเปลี่ยนบ่อน้ำครำทั้งบ่อเป็นน้ำใสได้</p>
<p dir="ltr">สังคมเราโอบรับความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที มากจนสำลัก คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะทำดีเพื่อคนอื่นหากไม่ได้รับสิ่งตอบแทน และมองว่าการให้คนอื่นเป็น ‘ความโง่’</p>
<p dir="ltr">Pay it forward ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน อุดมคติโง่ๆ ไม่มีประโยชน์ แต่หากทุกคนตอบแทนความดีที่ได้รับต่อให้คนอื่น โลกจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ</p>
<p dir="ltr">เราไม่ควรปล่อยการทำดีเป็นหน้าที่ของมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคน มันเป็นงานที่ยาก แต่มันเป็นไปได้ เพราะในโลกที่คนไม่มีเมตตา ไม่แยแสสังคมส่วนรวม มีการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นครั้งใดที่ทำได้ง่ายๆ?</p>
<p dir="ltr">ความดีเป็นสิ่งแปลกอย่างหนึ่ง ยิ่งให้ยิ่งงอกเงย ยิ่งส่งต่อยิ่งสวยงาม</p>
<p dir="ltr">บุญคุณได้รับแล้วสมควรตอบแทน แต่การตอบแทนสามารถไปได้กว้างกว่าคืนเจ้าของเดิม และนี่คือ<br>
ความรักโดยไม่มีข้อแม้ที่แท้จริง</p>
<p dir="ltr">ตอบแทนความรักด้วยการส่งมันต่อ</p>
<p dir="ltr">หมายเหตุ : ปัจจุบันแนวคิดเรื่อง Pay It Forward ไปไกลกว่าบทความ นวนิยาย และภาพยนตร์ หลายองค์กรทั้งมูลนิธิและองค์กรธุรกิจเริ่มโอบรับแนวคิดนี้อย่างเป็นรูปธรรม และกระจายไปทั่วโลก</p>
<p dir="ltr">คุณเคยได้รับความปรารถนาดีจากใครบางคนไหม? คุณคิดจะตอบแทนเขาแต่คุณหาเขาไม่พบ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือส่งต่อความปรารถนาดีนี้ให้กับผู้คน เพื่อช่วยกันสร้างโลกนี้ให้งดงามและน่าอยู่ขึ้น "คุณทำได้"</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvM52RVRlPRqAFIpAL5QLTc8ey_gy7k9hAwZN2pydEVHRjTXJvVWgINXAqWFuDmLgcqEfb3gTzg3Rqr_4KSGhN4EkCtszNGWpoPOK2k-B3fPdVLyNDiODAWPate24meDRTqYrL8d2AzQC9/s1600/Olympic.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvM52RVRlPRqAFIpAL5QLTc8ey_gy7k9hAwZN2pydEVHRjTXJvVWgINXAqWFuDmLgcqEfb3gTzg3Rqr_4KSGhN4EkCtszNGWpoPOK2k-B3fPdVLyNDiODAWPate24meDRTqYrL8d2AzQC9/s640/Olympic.jpg"> </a> </div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-59655300829794911352018-01-04T22:38:00.001+07:002018-01-04T22:38:01.015+07:00เศรษฐีนีกับเสื้อผ้าที่ปะชุน<p dir="ltr">เรื่องแปล(จากบทเพลง)ของ 每回金句....</p>
<p dir="ltr"> เรื่อง...广州富婆脱下了衣服 ,女人要看,男人要懂....</p>
<p dir="ltr"> เศรษฐีนีกว่างโจวถอดเสื้อผ้าออก , ผู้หญิงต้องดู , ผู้ชายต้องเข้าใจ....</p>
<p dir="ltr"> เศรษฐีนีจาก "กว่างโจว" ชื่อ"เจี๋ยเหงียหลี"(เจียงหย่าลี่) ขับรถอยู่บนถนน เกิดอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชน , โชคดีไม่รุนแรงมาก , และเธอก็ได้รับบาดเจ็บแค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น , หลังจากเอารถเข้าอู่เพื่อซ่อมสีแล้ว , เธอพลันนึกได้ว่า , บ้านพ่อแม่อยู่ใกล้ๆแถวๆนี้เอง , และเธอก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านนานแล้ว , </p>
<p dir="ltr"> "เจียงหย่าลี่" กลับไปพักค้างคืนที่บ้านพ่อแม่ 1 คืน รุ่งเช้าขณะที่เธอจะกลับไป"กว่างโจว" , คุณแม่ไดัส่งเสื้อผ้าคืนมาให้เธอ , ปรากฎว่า รอยขาดที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อวานนี้ ได้รับการปะชุนอย่างปรานีตจากมือของคุณแม่เรียบร้อยแล้ว , เธอรู้สึกประทับใจในความรักของคุณแม่ ที่เอาใจใส่เธออย่างดี แม้เธอจะเติบโตจนเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ เป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งของเมือง"กว่างโจว"แล้วก็ตาม , แต่เธอก็มีความรู้สึกว่า , มันก็ประหยัดเกินไปหน่อยแล้ว , ตอนนี้เราก็มีเงินมากมาย , เดี๋ยวกลับไปถึงบริษัทเราคงต้องทิ้งไปดีกว่า...</p>
<p dir="ltr"> งานของ"เจียงหย่าลี่" ยุ่งมาก , พอกลับถึงบริษัทก็ลืมเรื่องนี้ไป... เธอใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนของแม่ ติดต่องานหลายแห่ง และยังเจรจางานธุรกิจชิ้นสำคัญสำเร็จด้วย , จนตกเย็นเธอกลับถึงบ้าน เธอนึกขึ้นได้ว่า วันนี้ติดต่อธุรกิจทั้งวัน และนุ่งเสื้อผ้าขาดๆที่มีรอยปะชุน , พอนึกได้ดังนี้ เธอจึงถอดออกมาแล้วทิ้งใส่ถังขยะทันที , ... วันต่อมา ธุรกิจล๊อกใหญ่ที่เธอเจรจาสำเร็จเมื่อวานนี้ กำลังจะทำการเซ็นสัญญา , คู่ค้าคู่สัญญาพลันถามขึ้นว่า " เสื้อผ้าชุดที่มีรอยขาดปะเมื่อวานนี้ ทำไมวันนี้คุณไม่ใส่มาอีก ? ... เธอรู้สึกเขินที่ถูกถามเช่นนั้น จึงตอบไปว่า " ถอดไปซักแล้วค่ะ" ....</p>
<p dir="ltr"> คู่ค้าสำคัญรายนี้บอกว่า "คุณคงไม่รู้นะครับว่า" ที่ผมเซ็นสัญญากับคุณวันนี้ได้เพราะ คุณใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะ แม้จะเป็นรอยที่ปะชุนอย่างปรานีต ผมก็ดูออกครับ , คุณคือคนที่มีความประหยัดมัธยัตไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ , การร่วมทำธุรกิจกับคนอย่างคุณ , ทำให้ผมมั่นใจที่ได้ร่วมทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกับคุณจริงๆครับ.... "เจียงหย่าลี่"กลับมาถึงบ้าน , เธอรีบไปรื้อถังขยะ หยิบเสื้อผ้าที่แม่ปะชุนอย่างดีกลับขึ้นมาซัก เธอซักแล้วซักอีก , ตากแห้งแล้วเก็บใว้ในที่ลับตา คิดว่าวันหลัง หากมีการติดต่อธุรกิจสำคัญ คงต้องพึ่งเจ้าชุดเก่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่.......</p>
<p dir="ltr"> หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป , เช้าวันหนึ่ง ก่อนที่เธอจะไปบริษัท , ที่บ้านของ"เจียงหย่าลี่" ปรากฎมีตำรวจมาหาเธอ2คน , ...... ที่แท้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนค่ำ มีเศรษฐีนีอีกคนหนึ่งถูกคนร้ายจับมัดตัวเรียกค่าไถ่ แถมฉีกเสื้อผ้าลวนลามเธออีก , ขณะเดียวกันโจรคนนั้นก็ถูกจับได้ในคืนนั้นเอง , จากการสอบสวนของตำรวจ คนร้ายได้สารภาพว่า ความจริงคนที่เขาต้องการปล้น คือ"เจียงหย่าลี่" เพราะฉะนั้น" วันนี้ตำรวจจึงมาเตือนให้เธอระวังตัว , "เจียงหย่าลี่" รู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก แต่ได้ถามตำรวจว่า , แล้วทำไมคนร้ายถึงเปลี่ยนใจไม่จับฉันเรียกค่าไถ่ ? ตำรวจตอบว่า เพราะวันนั้นเสื้อผ้าที่เธอใส่มีรอยปะชุน คนร้ายเลยไม่ลงมือ เพราะคิดว่า เธอคงไม่รวยจริงดังคำร่ำลือ , เพราะคนรวย ต้องไม่ใส่เสื้อผ้าปะชุนเด็ดขาด......</p>
<p dir="ltr"> " เจียงหย่าลี่"กลืนน้ำลายเอื๊อก , คิดไม่ถึงว่าการใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุน กลับส่งผลดีกับเธออย่างไม่คาดคิด , เท่ากับช่วยชีวิตเธอได้ครั้งหนึ่ง , หลังตำรวจกลับไปแล้ว "เจียงหย่าลี่" เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดขาดที่แม่ปะชุนออกมา , เธอบรรจงลูบรอยปะชุนที่ปรานีตบรรจงของแม่ , เธอค่อยๆลูบไปทีละฝีเข็ม , ทีละฝีเข็ม, ตอนนี้เธอ.....เศรษฐีนีผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า "ปู๊พั้ว"(เศรษฐีนี) กลับร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆแล้ว......</p>
<p dir="ltr"> ....ชีวิตหนึ่งของคนเรา ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน สถานะในสังคมสูงส่งเพียงใด , ขอให้จดจำใว้ให้ดีว่า " ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ " ต้องรู้บุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือ , อย่าได้หลงลืมจุดเริ่มต้นของชีวิต , ความรักของแม่เปรียบเช่นน้ำทิพย์ชโลมใจ , แม้จะไม่มีเสียง , แต่สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจที่แห้งผาก; แม้ฝีเข็มที่ปะชุน จะเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนธรรมดา , แต่มันได้สร้างเรื่องที่ยิ่งใหญ่ใว้ในใจเธอ ตลอดกาล....... </p>
<p dir="ltr">แปล และเรียบเรียงโดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง<br>
</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-28666162799367386582017-12-19T19:42:00.001+07:002017-12-19T19:42:03.043+07:00ธรรมะจากใบบัว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHYNlff1pA0FNgPddk1vmqh5oMN7QbeWV6xFTtCPLudd5sCeiA2gcYSO5HLY1D79v9bnBrpOkHNm8MjWwGmjy9xJoWS3ay86-spj6kYYizZvAOrn3rmqD7iINweOSKgvCTh71QIWZPZaQ/s1600/original_original_e05b720737eb037304da4c2d3b39a0ce.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="533" data-original-width="800" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHYNlff1pA0FNgPddk1vmqh5oMN7QbeWV6xFTtCPLudd5sCeiA2gcYSO5HLY1D79v9bnBrpOkHNm8MjWwGmjy9xJoWS3ay86-spj6kYYizZvAOrn3rmqD7iINweOSKgvCTh71QIWZPZaQ/s320/original_original_e05b720737eb037304da4c2d3b39a0ce.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
ใบบัวเป็นอาจารย์ที่ดีมากของมนุษย์ ..<br />
<br />
ให้ลองสังเกตดู .. ใบบัวไม่เคยหันไปทางที่มืดเลย มีแต่หันไปทางที่สว่างไสว ถ้าตรงไหนมืด เขาจะไม่หันไปเลย มีแต่จะหนีห่าง ตรงกันข้าม พระอาทิตย์ขึ้นตรงไหน ใบบัวก็จะหันไปทางนั้น<br />
<br />
ถ้าหูหรือตาของเราเหมือนกับใบบัวเราก็จะมีความสุขทีเดียว<br />
<br />
อะไรที่ไม่ดีก็ไม่หันหูไปฟัง ไม่หันหน้าไปมอง รับฟังหรือมองแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นธรรมะ เวลามีเงาทาบทับใบบัวจะหนีเลย จะเอนไปหาแสงสว่าง ไม่ยอมให้ความมืดเข้ามาครอบ แต่จะหันไปหาแสงสว่างตลอดเวลา ...<br />
<br />
ถ้าคนเราเรียนรู้จากใบบัว คือนอกจากเลือกมองเลือกฟังแล้ว ยังพยายามหันจิตหันใจเข้าหาสิ่งดี หลีกเว้นความชั่วหรือสิ่งที่เป็นอกุศล ก็มีโอกาสเป็นสุขไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งจะมาจากไหน ก็มาจาก การเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุข เหมือนกับดอกบัวนั้นเอง<br />
<br />
ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ใต้สระนี้เป็นโคลนตมทั้งนั้น ไม่น่าลงเลย แต่โคลนตมนี้แหล่ะ ที่ทำให้เกิดดอกบัวที่สวยงาม เห็นแล้วเบิกบานใจ ........ เห็นอย่างนี้แล้วเราก็น่าจะพัฒนาตนเองเพื่อฉลาดในการเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข<br />
<br />
โคลนตมหนาแค่ไหน ดอกบัวก็สามารถชูขึ้นมาจนพ้นน้ำได้ แล้วถ้าระดับน้ำสูงขึ้นเพราะฝนตกเยอะจะทำอย่างไร แม้น้ำจะท่วมจนมิดแต่ใบบัวและดอกบัวก็ไม่ยอมนะ เขาจะยืดตัวขึ้นมาจนพ้นน้ำให้ได้ บัวจะไม่ ยอมจมอยู่ใต้น้ำเลย<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">คนเราถ้าไม่ยอมจมอยู่กับความทุกข์ ไม่ยอมจมอยู่กับความโกรธ ความเศร้า ชีวิตจะผ่องใสมาก</span></b> เราต้องรู้จักยกจิตออกมาจากอารมณ์ที่หม่นหมองให้ได้ พอยกออกมาได้จิตใจก็จะปลอดโปร่งผ่องใส<br />
<br />
จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องหมั่นฝึกฝน ให้ฉลาดในการกู้จิตออกจากอารมณ์ กู้ออกมาให้ได้ อย่าไปจมอยู่กับมัน<br />
<br />
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโลBaannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-3499834783011202332017-10-14T13:47:00.002+07:002017-10-14T13:47:59.601+07:00กฎ 2 นาที เดี๋ยวนี้เลยยย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzlCRJIstrSGxFX1g-5hlzVM62AAqqbamTfvIM7tZQHsjijGIC5Oji7cbqdgmPl1KRAxaxvpID4ZREAfXKAimszb2djCEWzuiXPuD87dkIpWznfpkFv0h-6YKEfppHU6kWfLtcqYyvnJ1q/s1600/581217-6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="600" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzlCRJIstrSGxFX1g-5hlzVM62AAqqbamTfvIM7tZQHsjijGIC5Oji7cbqdgmPl1KRAxaxvpID4ZREAfXKAimszb2djCEWzuiXPuD87dkIpWznfpkFv0h-6YKEfppHU6kWfLtcqYyvnJ1q/s320/581217-6.jpg" width="320" /></a></div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
สองคำ “เดี๋ยว” กับ “เดี๋ยวนี้”<br />
คำหลังยาวกว่าคำหน้านิดเดียว<br />
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ<br />
– ประภาส ชลศรานนท์<br />
—–</div>
<div dir="ltr">
ช่วงนี้ผมพยายามเตือนตัวเองให้ใช้กฎ “สองนาที” อยู่บ่อยๆ</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
กฎข้อนี้มาจากของ David Allen ผู้เขียนหนังสือ Getting Things Done ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับ productivity ที่ดังมากๆ ในอเมริกา</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
กฎสองนาทีที่ว่าก็คือ ถ้าอะไรใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ก็ทำมันไปเลย เช่นตอนค่ำกลับมาถึงบ้าน กินน้ำผลไม้เสร็จแล้ว แทนที่จะแช่แก้วน้ำไว้ค้างคืน ก็ล้างมันซะเลย หรืออย่างเมื่อเช้านี้ผมยกตะกร้าผ้าลงมาข้างล่างเพื่อเอาเสื้อผ้าไปส่งซัก พอเดินถือตะกร้าเปล่ากลับมา ผมก็มีทางเลือกว่าจะวางตะกร้าไว้ข้างล่างก่อนเพื่อจะเดินไปกินข้าวในครัว หรือจะเอาตะกร้าผ้าขึ้นไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วค่อยลงมากินข้าว ธรรมดาผมจะเลือกอย่างแรกเพราะขี้เกียจเดินขึ้น-เดินลง แต่คราวนี้พอรู้ว่าการเอาของขึ้นไปเก็บก่อนใช้เวลาไม่เกินสองนาที ผมก็เลยเอาตะกร้าขึ้นไปเก็บเลยแล้วค่อยเดินลงมาทานข้าว อาจจะเสียแรงเพิ่มซักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
การใช้กฎสองนาทีนี้มีข้อดีอยู่สองอย่าง</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
1. ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น เพราะถ้าใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ทำไปเลย ยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรอยู่แล้ว</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
2. ป้องกันดินพอกหางหมู ลองมองดูรอบๆ ก็ได้ว่าที่ห้องเรารกหรือที่บ้านเรามีของอยู่ผิดที่ผิดทาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่เราบอกตัวเองว่า “เอาไว้ก่อน” แทบทั้งนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วถ้าเราตัดสินใจเก็บมันให้ถูกที่ซะตั้งแต่แรกก็คงไม่รกขนาดนี้</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
—–</div>
<div dir="ltr">
จะว่าไปพ่อของผมเองก็เหมือนจะใช้กฎนี้เช่นกัน (แม้อาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม) เวลาใครมาปรึกษาเรื่องอะไร ถ้าพ่อรู้สึกว่าน่าจะมีเพื่อนคนไหนช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร.หาคนคนนั้นทันที จนคนที่มาปรึกษาก็ประทับใจระคนแปลกใจว่าอะไรจะ take action กันรวดเร็วปานนั้น</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
ซึ่งจะว่าไปก็เป็นวิธีที่ถูก เพราะโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรอก่อน แต่ที่เราส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำอะไรทันที ก็เพราะว่าลึกๆ เราอาจจะกลัวอะไรบางอย่าง (ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร) ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี</div>
<div dir="ltr">
—–</div>
<div dir="ltr">
<br />
บล็อกเกอร์ชื่อ James Clear ได้นำกฎสองนาทีนี้ไปต่อยอด ด้วยการบอกว่า ถ้าเราจะเริ่มนิสัยอะไรใหม่ๆ ก็ควรจะเป็นนิส้ยที่ทำได้โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีเช่นกัน</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
ยกตัวอย่างเช่น</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
อยากสุขภาพดีขึ้น ก็กินผลไม้ซักหนึ่งลูก<br />
อยากจะเขียนเก่งขึ้น ลองเขียนอะไรก็ได้ซักหนึ่งประโยค<br />
อยากจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ ก็อ่านหนังสือซักหนึ่งหน้า<br />
อยากจะฝึกสมาธิ ก็ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกซัก 10 ครั้ง</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
ทั้งสี่อย่างนี้ล้วนแต่ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีทั้งนั้น และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสามารถเอาชนะแรงเฉื่อยที่เคยฉุดเราไว้ และทำสิ่งๆ นั้นได้นานขึ้นเรื่อยๆ</div>
<div dir="ltr">
ข้อดีที่สุดของกฎสองนาที ก็คือมันบังคับให้เราทำหลายๆ เรื่อง “เดี๋ยวนี้” โดยไม่มีข้อแม้หรือข้อแก้ตัว</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
เมื่อลองทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ทัศนคติแบบ “เดี๋ยวก่อน” เอาไว้หลายเรื่อง ทำให้เสียโอกาสไปไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้เลยต้องหัดใช้ชีวิตแบบ “เดี๋ยวนี้” ให้มากขึ้นครับ</div>
<div dir="ltr">
—–</div>
<div dir="ltr">
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก<br />
มีเพื่อนเป็นภูเขา โดยประภาส ชลศรานนท์<br />
Getting Things Done by David Allen<br />
How to Stop Procrastinating by Using the “2-Minute Rule” by James Clear</div>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-80116004374182828612017-10-10T11:25:00.001+07:002017-10-10T11:25:35.929+07:00"ขนมคุ๊กกี้ห่อหนึ่ง..กับการตัดสินคน"<p dir="ltr">ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง<br>
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ</p>
<p dir="ltr">เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง<br>
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้<br>
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม<br>
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา</p>
<p dir="ltr">สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ<br>
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง<br>
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น</p>
<p dir="ltr">เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา</p>
<p dir="ltr">ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป<br>
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็.... ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"</p>
<p dir="ltr">ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น</p>
<p dir="ltr">เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า<br>
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"<br>
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม</p>
<p dir="ltr">ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก<br>
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....<br>
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน</p>
<p dir="ltr">เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า<br>
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง</p>
<p dir="ltr">มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า<br>
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย</p>
<p dir="ltr">นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า</p>
<p dir="ltr">"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?<br>
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่" </p>
<p dir="ltr">ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ <br>
</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-16335106757302806102017-10-01T10:27:00.001+07:002017-10-01T10:29:20.988+07:00"จูถิง" ใช้เงิน 100 ล้านหมดใน 6 เดือน ใจเธอทำด้วยอะไร<p dir="ltr">"จูถิง" ละเลง"เงินร่วม 100 ล้านบาท ให้หมดไปภายในเวลาครึ่งปี นักวอลเลย์บอลหญิงมือหนึ่งของจีน</p>
<p dir="ltr">แฟนพันธุ์แท้ของวอลเลย์บอลชาวไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "จูถิง" นักวอลเลย์หญิงมือหนึ่งของจีน ผู้ซึ่งเคยทำให้ทีมวอลเลย์สาวไทยกำสรวลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันเธอมี อายุเพียง 23 ปี ด้วยส่วนสูงถึง 198 ซม. ประกอบกับความสามารถในเชิงตบที่หาตัวจับยาก เธอถูกยกย่องให้เป็น นักวอลเลย์สาวทรงคุณค่าที่สุดระดับ 1 ใน 3 ของโลก เลยทีเดียว</p>
<p dir="ltr">ความสามารถในเชิงวอลเลย์บอลย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว ลองมาดูความสามารถด้านการหาและการใช้จ่ายเงินทองของสาวน้อยผู้นี้ เชื่อหรือไม่ เธอสามารถ หาเงินได้ร่วม 20 ล้านหยวน หรือ 100 ล้านบาทไทย ภายในเวลาหนึ่งปี และก็สามารถ "ละเลง" ให้มันหายวับไปกับตาชั่วระยะเวลาเพียง 6 เดือน</p>
<p dir="ltr">เธอได้เงินรางวัลจากรัฐบาลจีนในฐานะแชมป์โอลิมปิค 2016 เป็นเงิน 1 ล้านบาท<br>
รายได้จากการออกสื่อและโฆษณาสินค้า 8 ล้านบาท<br>
รายได้จากการเป็นนักวอลเลย์อาชีพที่ตุรกี 55 ล้านบาท<br>
รายได้จากงานโฆษณาและงานออกสื่อหลังกลับสู่ประเทศจีน 40 ล้านบาท<br>
รวมรายได้ในปี 2016 อันถือว่าเป็นปีทองของเธอ <br>
ก็ 100 ล้านบาท</p>
<p dir="ltr">จูถิงเป็นเด็กบ้านนอกจากมณฑลเหอหนาน น่าจะเป็นเด็กที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่ไฉนเธอสามารถ "ละเลง" เงิน 100 ล้านให้หายเกือบหมดภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน</p>
<p dir="ltr">มาดูการใช้จ่ายเงินของจูถิง<br>
เธอเป็นเด็กกตัญญู ยากจนมาแต่กำเนิด สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ <br>
ซื้อบ้านให้พ่อแม่ ในถิ่นบ้านเกิดเป็นเงิน 3 ล้านบาท<br>
เพื่อความเจริญของหมู่บ้าน เธอบริจาคเงิน สร้างถนนนระยะทาง 20 กม. เป็นเงิน 45 ล้านบาท<br>
บริจาคเงิน สร้างบ้านพักคนชรา เป็นเงิน 6 ล้านบาท<br>
บริจาคเงิน สร้างโรงเรียนสองแห่ง<br>
แห่งแรกเป็นโรงเรียนประถมสำหรับเด็กยากจน<br>
อีกแห่งเป็นโรงเรียนการกีฬาเน้นสอนวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ เพื่อสร้างนักวอลเลย์รุ่นต่อไป<br>
เงินที่ใช้จ่ายสำหรับสองโรงเรียนนี้รวมเป็นเงินร่วม 20 ล้านบาท</p>
<p dir="ltr">เจ้าหน้าที่จะขอนำชื่อ "จูถิง" ไปใช้เป็นชื่อโรงเรียนหรือบ้านพักคนชรา เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง<br>
"ใช้ชื่อฉันทำไม ใช้ชื่อของทางการก็แล้วกัน"</p>
<p dir="ltr">วิธีการ "ละเลง" เงินของจูถิง สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่รับรู้ และถูกคารวะด้วยใจจริง</p>
<p dir="ltr">เงินที่จูถิงหาได้ด้วยความสามารถอันมาจากหยาดเหงื่อและแรงงานของเธอ เธอไม่ได้นำไปซื้อคฤหาสน์หรูหราเพียงเพื่อไว้เสพสุขส่วนตัว ไม่ได้ซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อเพิ่มบารมี ไม่ได้ซื้อซุปเปอร์คาร์เพื่อเพิ่มรัศมีให้ตนเอง แต่เธอเลือกที่จะมอบเงินให้ แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พ่อแม่พี่น้องร่วมธรณี เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ อยากถามว่าจะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างเธอ</p>
<p dir="ltr">ในสังคมที่บูชาเงินทองเป็นพระเจ้าอย่างทุกวันนี้ แม้จะมีมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยระดับประเทศอันมีเงินทองมากมายกว่าเธอเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าเธอคือ "ผู้ที่ร่ำรวยที่สุด"......... แน่นอน เราคงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขของเงินทอง แต่เราเทียบกันที่ "น้ำใจ"</p>
<p dir="ltr">ขอคารวะด้วยความจริงใจ........<br>
"จูถิง" สุดยอดคนรวย "น้ำใจ"</p>
<p dir="ltr">ขจรศักดิ์<br>
C:Issariya Sukkeepun</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-80208971915595281592017-09-03T13:11:00.001+07:002017-10-14T13:41:28.835+07:00ทำทันที ทำดีๆ ดีกว่าไหม<div dir="ltr">
สังคมทุกวันนี้ มีแต่คนคอยเตือน คอยตำหนิกัน แต่ขาดคนลงมือทำ </div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
บางที่การทำนอกเหนือหน้าที่ อาจเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเราทุกคน</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
อยากให้เปิดดูวีดีโอนี้!! แชร์หรือส่งต่อได้บุญ (ชมคลิป) </div>
<div dir="ltr">
<br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="270" src="https://www.youtube.com/embed/pl7sRr99nMU" width="480"></iframe></div>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-46550128613529999432016-11-25T15:57:00.001+07:002016-11-25T15:57:28.740+07:00ยิ่งพยายาม ยิ่งโชคดี<p dir="ltr">ผมไม่กล้าพัก เพราะผมไม่มีเงินฝาก<br>
ผมไม่กล้าพูดว่าเหนื่อย เพราะผมยังไม่ประสบความสำเร็จ</p>
<p dir="ltr">ผมไม่กล้าขี้เกียจ เพราะคนที่เก่งกว่าผมเขายังพยายามเลย<br>
ผมสามารถที่จะไม่เลือกได้ แต่ผมจะไม่มีทางทิ้งอย่าเด็ดขาด</p>
<p dir="ltr">ต่อให้ผมรังเกียจความไม่สุขสบายในตอนนี้อย่างไร เวลาก็ไม่ได้เดินช้าลงเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น อย่าแสดงอารมณ์ตามอำเภอใจ ไม่มีใครเป็นหนี้คุณ!</p>
<p dir="ltr">ฝึกสงบเสงี่ยมบ้าง ชีวิตคนเรามีทั้งน้ำขึ้นน้ำลง อย่าไปเปรียบเทียบ</p>
<p dir="ltr">ต้องเรียนรู้ที่จะจริงจัง ยิ่งพยายามจะยิ่งโชคดี</p>
<p dir="ltr">ในโลกใบนี้ไม่มีการทำงานประเภทใดที่ไม่ลำบาก ไม่มีที่ใดที่ปราศจากความวุ่นวายของบุคคล ดังนั้น ความเข้มแข็งคือหนทางเดียวที่ผมเลือก</p>
<p dir="ltr">ผมไม่อิจฉารายได้ของคนอื่น เพราะผมรู้ว่าเขาฝึกฝนและลำบากทุกวันทุกคืนกว่าที่จะได้มา และไม่อิจฉาคนที่บอกไปก็ไปได้ตามอำเภอใจ ผมรู้ว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อความเป็นอิสระของตัวเอง และยิ่งไม่อิจฉาคนที่ไม่ต้องทำงานแต่ก็มีคนเลี้ยงดู คุณไม่รู้หรอก ว่าเธอเหล่านั้นต้องร้องไห้และรอคอยสักเท่าไหร่!<br>
ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง กิจการงาน หรือแม้แต่ตัวเราเอง<br>
ดังนั้นอย่าไปอิจฉาใครเขาเลย การดำเนินชีวิตไม่มีอะไรมาก อยู่ที่ว่าคุณอุทิศแล้วเท่าไหร่ คุณก็จะได้กลับมาเท่านั้น!</p>
<p dir="ltr">คนที่กำลังเดินบนทางชีวิตอย่างพวกเรา อย่าเปรียบเทียบ อย่าปรักปรำ อย่าคิดเล็กคิดน้อย ต้องโอบอุ้มให้มาก ต้องเข้าใจให้มาก อุทิศให้มาก เพราะมีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “พึ่งตัวเอง”<br>
ยามที่คุณกำลังยิ้มให้โลกใบนี้ สุดท้ายคุณก็จะรู้ว่า โลกใบนี้ยังมีความรักความอาทรอยู่มากมาย</p>
<p dir="ltr">#หลิวเต๋อหัว</p>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8dh2xX1BN8Q_4kpChD-zxbT3fjizLwiml6EDuQFaUs8C5aWOiJY0imH4WzZz51T0Jhnu5VGaG45YMJrnmMrNvG0wmCGTOuWWzM0Z5AhkhLIFpNFqWzyezgcjf3Uz8qYpr7htbZBonWxkI/s1600/1480064179919.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"> <img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8dh2xX1BN8Q_4kpChD-zxbT3fjizLwiml6EDuQFaUs8C5aWOiJY0imH4WzZz51T0Jhnu5VGaG45YMJrnmMrNvG0wmCGTOuWWzM0Z5AhkhLIFpNFqWzyezgcjf3Uz8qYpr7htbZBonWxkI/s640/1480064179919.jpg"> </a> </div>Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-39692572537054002672016-08-25T13:41:00.001+07:002016-08-25T13:41:25.540+07:00ข้อคิดจากกาน้ำชา<p dir="ltr">เรื่องสั้นที่มีคติ</p>
<p dir="ltr">ที่บ้านมีกาน้ำชาสูงค่า เพราะเป็นกาที่ปั้นมาจากดินชนิดพิเศษสุดของประเทศจีน เลยวางไว้หัวเตียงอย่างทะนุถนอม</p>
<p dir="ltr">มีอยู่คืนหนึ่ง ด้วยความไม่ระวัง มือไปปัดโดนฝากาน้ำชากระเด็นตกสู่พื้น ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ เมื่อทำฝาแตกแล้ว จะเก็บกาไว้ให้ดูเจ็บใจเล่นทำไม คิดได้ดังนั้นเลยหยิบกาน้ำชาขว้างออกไปนอกหน้าต่าง</p>
<p dir="ltr">รุ่งเช้าตื่นมาลุกลงจากเตียง เห็นฝากาน้ำชาหล่นอยู่บนรองเท้านุ่นที่ข้างเตียง ไม่มีอะไรแตกเสียหาย กาน้ำชาก็ขว้างทิ้งไปแล้ว ยิ่งเจ็บใจ เลยกระทืบฝาจนแตกละเอียด พอตอนสายเดินออกไปนอกบ้าน ปรากฏว่ากาน้ำชาที่ขว้างออกไปเมื่อคืนนี้ คงคาอยู่บนต้นไม้ไม่มีอะไรบุบสลาย</p>
<p dir="ltr">บางครั้ง เรื่องบางเรื่อง<br>
รอสักนิด ดูสักหน่อย ตรองสักพัก<br>
เพราะเรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเราเข้าใจ<br>
ความวู่วามเปรียบเหมือนปีศาจร้าย ฝึกให้ใจเย็นไว้หน่อย นั่นคือวิถีของคนฉลาด</p>
<p dir="ltr">หลายอย่าง บ่อยครั้งที่ ฟังกับหู ดูกับตา ทำกับมือ. <u>ก็ยังไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ</u></p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-1758365145025835682016-07-28T12:01:00.001+07:002016-07-28T12:01:47.438+07:00มะม่วงแลกไข่<p dir="ltr">พ่อครับ ข้างบ้านเขาขโมยสอยมะม่วงเราครับ""<br>
เด็กชายตัวน้อยวิ่งตื๋อมาหาพ่อ</p>
<p dir="ltr">พ่อหัวเราะแล้วถาม<br>
""เราเหลืออีกหลายลูกไหม? ลูก""<br>
""ผมเห็นอีกหลายลูกเลยครับ"" <br>
""งั้นไปสอยมะม่วงสุกมาให้พ่อสักเจ็ดลูกสิ"" </p>
<p dir="ltr">เด็กชายเข้าใจว่าพ่อคงใช้ให้สอยมะม่วงเพราะกลัวเพื่อนบ้าน<br>
จะขโมยอีก จึงรีบสอยมะม่วงมาให้พ่อ</p>
<p dir="ltr">เมื่อได้มะม่วงก็หอบมาให้พ่อ หวังว่าจะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย<br>
แต่ปรากฎว่า ผู้เป็นพ่อนำมะม่วงทั้งหมดมาจัดใส่ตะกร้าอย่างสวยงาม<br>
แล้วจูงมือลูกชายไปกดกริ่งหน้าประตูของเพื่อนบ้านที่ลูกชายบอกว่า<br>
สอยมะม่วงไป</p>
<p dir="ltr">เด็กชายงง ไม่เข้าใจว่าพ่อจะทำอะไร เมื่อเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมา<br>
เป็นชายวัยกลางคน หน้าตามีพิรุธเหมือนทำผิดอะไรบางอย่าง <br>
ผู้เป็นพ่อจึงยื่นมะม่วงทั้งตะกร้าให้ แล้วกล่าวว่า </p>
<p dir="ltr">""ผมเอามะม่วงมาฝากครับ เป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านข้างๆนี่เอง<br>
มีอะไรก็บอกกันนะครับ จะได้ช่วยเหลือกัน"" </p>
<p dir="ltr">ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกให้พ่อรอสักครู่<br>
พร้อมทั้งกลับมาด้วยตะกร้าใบเดิม แต่คราวนี้มีไข่ไก่เต็มตะกร้า</p>
<p dir="ltr">""ผมเลี้ยงไข่ไก่ไว้หลายตัว ขอให้ไข่เป็นของตอบแทนน้ำใจนะครับ"" </p>
<p dir="ltr">พ่อกล่าวขอบคุณ แล้วจูงมือเด็กชายกลับบ้าน เด็กชายถามพ่อด้วยความสงสัย</p>
<p dir="ltr">""ทำไมพ่อถึงเอามะม่วงไปให้เขา แทนที่จะไปทวงมะม่วงของเราคืนมา"" </p>
<p dir="ltr">""ถ้าพ่อไปทวงมะม่วง เราอาจจะได้มะม่วงคืน แต่เราจะเสียเพื่อนบ้าน<br>
และอาจถึงกับโกรธกัน แต่นี่พ่อเอามะม่วงไปให้เขาเจ็ดลูก รวมที่เขาสอยไปหนึ่งลูกเป็นแปดลูก แต่เราได้ทั้งน้ำใจเขา ซึ่งก็คือไข่ตะกร้าใหญ่ แถมยังได้เพื่อนบ้านเพิ่ม ลูกว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะ""</p>
<p dir="ltr">อารมณ์คือปัญหา<br>
สติ ปัญญาคือทางออก<br>
การใช้อารมณ์มักเป็นตัวเริ่มต้นปัญหาต่างๆของมนุษย์ การใช้สติปัญญา ก่อนที่จะเกิดอารมณ์ไม่ดีต่อกันย่อมจะเป็นหนทางที่ดี ทั้งในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง</p>
<p dir="ltr">ชีวิตมีค่ากว่าอารมณ์<br>
น่าเสียดายที่หลายคนต้องสูญเสียอนาคต เพราะไม่สามารถควบคุมอารณ์ได้</p>
<p dir="ltr">ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ<br>
หากเรามองปัญหาต่างๆด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบ ถ่องแท้ ให้เข้าใจที่มาของปัญหาที่เหตุของมันแล้ว เราย่อมจะได้แนวทางแสงสว่างนำทางที่จะแก้ปัญหาได้เสมอ. </p>
<p dir="ltr">ช่วยอ่านหน่อยนะครับ เสียเวลา 2-3 นาทีแต่ได้อะไรๆมากเลยครับ</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-67825551683936180832016-05-20T13:17:00.001+07:002016-05-20T13:17:41.209+07:00พ่อแม่ไม่เคยให้อะไร
เรามาเลย จริงหรือ?<p dir="ltr">ขอส่งสาระดี ๆ มาเล่าสู่กันอ่านนะ...... อ่านเรื่องดีๆมีแง่คิดขำขำกัน.<br>
^ ^"<br>
พ่อแม่ไม่เคยให้อะไร<br>
เรามาเลย จริงหรือ?</p>
<p dir="ltr">คนจรจัด : บ่น บ่น บ่น<br>
พ่อแม่ไม่เคยให้อะไรฉันเลย<br>
ชีวิตไม่มีอะไรเลย บ้านก็ไม่มีอยู่<br>
ข้าวก็ไม่มีกิน งานก็ไม่มีทำ<br>
ทำไมช่างโชคร้ายอย่างนี้</p>
<p dir="ltr">เศรษฐี : เอาอย่างนี้ไหมอะ<br>
ขายแขนให้ฉัน ฉันให้ข้างละ 20 ล้าน</p>
<p dir="ltr">คนจรจัด : บ้าเปล่าคุณ..<br>
มีเงินแต่ไม่มีแขนจะทำอะไรได้</p>
<p dir="ltr">เศรษฐี : ขาก็ได้ ฉันให้เหมือนกัน 20 ล้าน</p>
<p dir="ltr">คนจรจัด : ยิ่งบ้าไปใหญ่ มีเงินแต่ไม่มีขา<br>
แล้วจะเดินไปไหนมาไหนอย่างไง</p>
<p dir="ltr">เศรษฐี : ดวงตาก็ได้ ฉันก็ให้คู่<br>
ละ 20 ล้านเหมือนกัน</p>
<p dir="ltr">คนจรจัด : โอ๊ย.อะไรๆ ก็ไม่ขายหรอก<br>
อวัยวะมันขาดหายไปจะอยู่กันอย่างไร</p>
<p dir="ltr">เศรษฐี : ไอ้ห่านี่ อะไรๆ ก็ไม่ขาย<br>
แล้วมึงมาบอกว่าพ่อแม่มึงไม่เคยให้<br>
อะไรเลย ถ้ามึงขายทุกอย่างในร่างกายมึง<br>
รวยเป็นร้อยล้านเลยนะ..<br>
ใครๆ เขาเกิดมาก็ได้อวัยวะมาเท่ามึง<br>
มีบ้างคนน้อยกว่ามึงอีก<br>
มึงนั้นและไม่รู้จักเอาของที่มี<br>
มาใช้ประโยชน์ มีมือไม่รู้จักทำงาน<br>
มีขาไม่รู้จักก้าวเดิน มีสมองไม่รู้จักคิด<br>
ชีวิตมึงไม่มีอะไรก็เพราะตัวมึงเอง<br>
อย่าไปโทษพ่อแม่มึงเลย<br>
โทษก็ต้องโทษตัวมึงนั่นแหล่ะ ไอ้*** "<br>
^_____^</p>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-6915781643490964298.post-91683491092745062016-05-13T19:36:00.001+07:002016-05-13T23:53:53.104+07:00นิทานสอนใจ "เรื่องคนที่ไม่ถูกนินทา"<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNo54tM1EXm8fbopOKxMEec4LszRhcMyMmV-3ri1lM3fOdV8ue4ulqVf8Ki_jRbFcjX_8eQYnYxe9k4nzizF4Pp_5a_E3GxXt50Z7sH0wx_BuJT_pcOrZYgvO-8qkntHJHHiF7HLBsAwRA/s1600/FB_IMG_1463142861094.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="308" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNo54tM1EXm8fbopOKxMEec4LszRhcMyMmV-3ri1lM3fOdV8ue4ulqVf8Ki_jRbFcjX_8eQYnYxe9k4nzizF4Pp_5a_E3GxXt50Z7sH0wx_BuJT_pcOrZYgvO-8qkntHJHHiF7HLBsAwRA/s400/FB_IMG_1463142861094.jpg" width="400" /></a></div>
<div dir="ltr">
</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
วันหนึ่ง มี ตา กับหลานชาย ต้องเดินทางไกล ไปหาญาติที่อยู่ต่างเมือง โดยมีม้าเป็นพาหนะไว้เดินทาง ทั้งหมดจะต้องผ่านเมืองต่างๆ แต่ระหว่างทาง ด้วยความกตัญญูของหลานชาย เห็นตาผู้ชรา จึงขอให้ตา นั่งบนหลังม้า เพราะความเป็นห่วงเป็นใย<br />
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
แต่เมื่อเข้ามาในเมืองหนึ่ง ชาวบ้านต่าง ซุบซิบนินทาว่า “ต๊าย ดูสิ เป็นผู้ใหญ่ซะปล่าว ทำเป็นสำออย ใช้แรงงานเด็ก ตัวเองสะบายเลยนะ” เมื่อ ตา ได้ยินเช่นนั้น จึงไม่อยากให้เป็นที่นินทาของใคร จึงบอกให้หลานชาย ขึ้นมาขี่ม้าแทน </div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
จนมาถึงอีกเมืองหนึ่ง ชาวบ้านเมืองนี้ก็ นินทา ว่าร้ายหลานชายว่า “ดู ดู๊ ดู ดู มันทำ ทำไม ถึงทำกับตาแก่ๆได้” เมื่อหลานได้ยินเช่นนั้น จึงให้ตาขึ้นมาขี่ม้าด้วยอีกคน พร้อมพูดว่า “ดูซิ ว่าจะมีใครนินทาพวกเราอะไรอีกไหม”</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
ต่อมา เมื่อมาถึงอีกเมืองหนึ่ง ก็ไม่พ้นการโดนนินทาของชาวบ้าน “โถ ๆ ๆ เจ้าม้าช่างน่าสงสาร ทำไมเจ้านายของแกถึงใจร้าย ใจดำ ใช้งานหนักเกินไปจริงๆ” ทั้งคู่ จึงตัดปัญหา ลงจากหลังม้า และย่างเท้าเดินไปแทน </div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
แต่แล้ว ก็ต้องมาผ่านเมือง อีกเมืองหนึ่ง คราวนี้ ชาวบ้านไม่ได้นินทาอย่างเดียว กลับหัวเราะเยาะใส่ด้วย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดู ตา กับ หลาน คู่นั้นสิ โง่จริงๆ มีม้าแต่กลับไม่ขี่ เดินจูงอยู่นั่นแหละ”</div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครไม่ถูกนินทา เพราะต่อให้เราทำสิ่งที่ดีแค่ไหน คนที่ไม่ชอบเรา เค้าก็จะนินทาเราอยู่ดี </div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div dir="ltr">
<b><span style="color: blue;">ดังนั้น เมื่อเราได้กระทำความดีแล้ว จงตั้งใจทำต่อไป อย่าเอาคำ "ไม่ดี" ของคน "ไม่ดี" มาใส่ใจ เพราะจะทำให้ใจเรารู้สึก " ไม่ดี "</span></b></div>
<div dir="ltr">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
Baannumjaihttp://www.blogger.com/profile/05155741095723512341noreply@blogger.com