เรื่องราว ข้อความหรือคำพูดดีๆ เพื่อแบ่งปันให้คนที่คุณรักหรือรักคุณ
หน้าเว็บ
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ธรรมะจากใบบัว
ใบบัวเป็นอาจารย์ที่ดีมากของมนุษย์ ..
ให้ลองสังเกตดู .. ใบบัวไม่เคยหันไปทางที่มืดเลย มีแต่หันไปทางที่สว่างไสว ถ้าตรงไหนมืด เขาจะไม่หันไปเลย มีแต่จะหนีห่าง ตรงกันข้าม พระอาทิตย์ขึ้นตรงไหน ใบบัวก็จะหันไปทางนั้น
ถ้าหูหรือตาของเราเหมือนกับใบบัวเราก็จะมีความสุขทีเดียว
อะไรที่ไม่ดีก็ไม่หันหูไปฟัง ไม่หันหน้าไปมอง รับฟังหรือมองแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นธรรมะ เวลามีเงาทาบทับใบบัวจะหนีเลย จะเอนไปหาแสงสว่าง ไม่ยอมให้ความมืดเข้ามาครอบ แต่จะหันไปหาแสงสว่างตลอดเวลา ...
ถ้าคนเราเรียนรู้จากใบบัว คือนอกจากเลือกมองเลือกฟังแล้ว ยังพยายามหันจิตหันใจเข้าหาสิ่งดี หลีกเว้นความชั่วหรือสิ่งที่เป็นอกุศล ก็มีโอกาสเป็นสุขไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งจะมาจากไหน ก็มาจาก การเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความสุข เหมือนกับดอกบัวนั้นเอง
ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ใต้สระนี้เป็นโคลนตมทั้งนั้น ไม่น่าลงเลย แต่โคลนตมนี้แหล่ะ ที่ทำให้เกิดดอกบัวที่สวยงาม เห็นแล้วเบิกบานใจ ........ เห็นอย่างนี้แล้วเราก็น่าจะพัฒนาตนเองเพื่อฉลาดในการเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข
โคลนตมหนาแค่ไหน ดอกบัวก็สามารถชูขึ้นมาจนพ้นน้ำได้ แล้วถ้าระดับน้ำสูงขึ้นเพราะฝนตกเยอะจะทำอย่างไร แม้น้ำจะท่วมจนมิดแต่ใบบัวและดอกบัวก็ไม่ยอมนะ เขาจะยืดตัวขึ้นมาจนพ้นน้ำให้ได้ บัวจะไม่ ยอมจมอยู่ใต้น้ำเลย
คนเราถ้าไม่ยอมจมอยู่กับความทุกข์ ไม่ยอมจมอยู่กับความโกรธ ความเศร้า ชีวิตจะผ่องใสมาก เราต้องรู้จักยกจิตออกมาจากอารมณ์ที่หม่นหมองให้ได้ พอยกออกมาได้จิตใจก็จะปลอดโปร่งผ่องใส
จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องหมั่นฝึกฝน ให้ฉลาดในการกู้จิตออกจากอารมณ์ กู้ออกมาให้ได้ อย่าไปจมอยู่กับมัน
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560
กฎ 2 นาที เดี๋ยวนี้เลยยย
คำหลังยาวกว่าคำหน้านิดเดียว
แต่อนาคตยาวไกลกว่ากันเยอะ
– ประภาส ชลศรานนท์
—–
บล็อกเกอร์ชื่อ James Clear ได้นำกฎสองนาทีนี้ไปต่อยอด ด้วยการบอกว่า ถ้าเราจะเริ่มนิสัยอะไรใหม่ๆ ก็ควรจะเป็นนิส้ยที่ทำได้โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาทีเช่นกัน
อยากจะเขียนเก่งขึ้น ลองเขียนอะไรก็ได้ซักหนึ่งประโยค
อยากจะอ่านหนังสือมากกว่านี้ ก็อ่านหนังสือซักหนึ่งหน้า
อยากจะฝึกสมาธิ ก็ลองนั่งดูลมหายใจเข้าออกซัก 10 ครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
มีเพื่อนเป็นภูเขา โดยประภาส ชลศรานนท์
Getting Things Done by David Allen
How to Stop Procrastinating by Using the “2-Minute Rule” by James Clear
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560
"ขนมคุ๊กกี้ห่อหนึ่ง..กับการตัดสินคน"
ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา
ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็.... ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"
ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง
มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"
ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560
"จูถิง" ใช้เงิน 100 ล้านหมดใน 6 เดือน ใจเธอทำด้วยอะไร
"จูถิง" ละเลง"เงินร่วม 100 ล้านบาท ให้หมดไปภายในเวลาครึ่งปี นักวอลเลย์บอลหญิงมือหนึ่งของจีน
แฟนพันธุ์แท้ของวอลเลย์บอลชาวไทยคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "จูถิง" นักวอลเลย์หญิงมือหนึ่งของจีน ผู้ซึ่งเคยทำให้ทีมวอลเลย์สาวไทยกำสรวลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ปัจจุบันเธอมี อายุเพียง 23 ปี ด้วยส่วนสูงถึง 198 ซม. ประกอบกับความสามารถในเชิงตบที่หาตัวจับยาก เธอถูกยกย่องให้เป็น นักวอลเลย์สาวทรงคุณค่าที่สุดระดับ 1 ใน 3 ของโลก เลยทีเดียว
ความสามารถในเชิงวอลเลย์บอลย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว ลองมาดูความสามารถด้านการหาและการใช้จ่ายเงินทองของสาวน้อยผู้นี้ เชื่อหรือไม่ เธอสามารถ หาเงินได้ร่วม 20 ล้านหยวน หรือ 100 ล้านบาทไทย ภายในเวลาหนึ่งปี และก็สามารถ "ละเลง" ให้มันหายวับไปกับตาชั่วระยะเวลาเพียง 6 เดือน
เธอได้เงินรางวัลจากรัฐบาลจีนในฐานะแชมป์โอลิมปิค 2016 เป็นเงิน 1 ล้านบาท
รายได้จากการออกสื่อและโฆษณาสินค้า 8 ล้านบาท
รายได้จากการเป็นนักวอลเลย์อาชีพที่ตุรกี 55 ล้านบาท
รายได้จากงานโฆษณาและงานออกสื่อหลังกลับสู่ประเทศจีน 40 ล้านบาท
รวมรายได้ในปี 2016 อันถือว่าเป็นปีทองของเธอ
ก็ 100 ล้านบาท
จูถิงเป็นเด็กบ้านนอกจากมณฑลเหอหนาน น่าจะเป็นเด็กที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่ไฉนเธอสามารถ "ละเลง" เงิน 100 ล้านให้หายเกือบหมดภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน
มาดูการใช้จ่ายเงินของจูถิง
เธอเป็นเด็กกตัญญู ยากจนมาแต่กำเนิด สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ
ซื้อบ้านให้พ่อแม่ ในถิ่นบ้านเกิดเป็นเงิน 3 ล้านบาท
เพื่อความเจริญของหมู่บ้าน เธอบริจาคเงิน สร้างถนนนระยะทาง 20 กม. เป็นเงิน 45 ล้านบาท
บริจาคเงิน สร้างบ้านพักคนชรา เป็นเงิน 6 ล้านบาท
บริจาคเงิน สร้างโรงเรียนสองแห่ง
แห่งแรกเป็นโรงเรียนประถมสำหรับเด็กยากจน
อีกแห่งเป็นโรงเรียนการกีฬาเน้นสอนวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ เพื่อสร้างนักวอลเลย์รุ่นต่อไป
เงินที่ใช้จ่ายสำหรับสองโรงเรียนนี้รวมเป็นเงินร่วม 20 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่จะขอนำชื่อ "จูถิง" ไปใช้เป็นชื่อโรงเรียนหรือบ้านพักคนชรา เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง
"ใช้ชื่อฉันทำไม ใช้ชื่อของทางการก็แล้วกัน"
วิธีการ "ละเลง" เงินของจูถิง สร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่รับรู้ และถูกคารวะด้วยใจจริง
เงินที่จูถิงหาได้ด้วยความสามารถอันมาจากหยาดเหงื่อและแรงงานของเธอ เธอไม่ได้นำไปซื้อคฤหาสน์หรูหราเพียงเพื่อไว้เสพสุขส่วนตัว ไม่ได้ซื้อเครื่องบินส่วนตัวเพื่อเพิ่มบารมี ไม่ได้ซื้อซุปเปอร์คาร์เพื่อเพิ่มรัศมีให้ตนเอง แต่เธอเลือกที่จะมอบเงินให้ แผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พ่อแม่พี่น้องร่วมธรณี เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ อยากถามว่าจะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างเธอ
ในสังคมที่บูชาเงินทองเป็นพระเจ้าอย่างทุกวันนี้ แม้จะมีมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยระดับประเทศอันมีเงินทองมากมายกว่าเธอเยอะ แต่ต้องยอมรับว่าเธอคือ "ผู้ที่ร่ำรวยที่สุด"......... แน่นอน เราคงไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขของเงินทอง แต่เราเทียบกันที่ "น้ำใจ"
ขอคารวะด้วยความจริงใจ........
"จูถิง" สุดยอดคนรวย "น้ำใจ"
ขจรศักดิ์
C:Issariya Sukkeepun