ตอนที่อายุ 18 ปี ความเกเรทำให้เขาทำร้ายคนอื่นบาดเจ็บสาหัส จึงถูกพิพากษาจำคุก 6 ปี ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้าคุก ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย แม่เป็นหม้าย เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยความทุกข์ยากลำบาก นึกไม่ถึงว่าเขากำลังจบมัธยมปลาย จะมาก่อเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ เขาทำให้แม่เสียใจ และเขาก็เข้าใจดี แม่โกรธเขาก็สมควรแล้ว
ฤดูหนาวปีแรกในคุก เขาได้รับกล่องพัสดุข้างในบรรจุเสื้อไหมพรมตัวหนึ่ง ที่ชายเสื้อนั้นปักรูปดอกเหมยสีแดงอยู่ 1 ดอก บนดอกเหมยนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ข้อความว่า “ขอให้ลูกปรับปรุงตัว ยามแม่แก่เฒ่า แม่หวังพึ่งเจ้าเลี้ยงดู” ข้อความในกระดาษแผ่นเล็กนี้ ทำให้คนก้าวร้าวนิสัยแย่อย่างเขาร้องไห้นำตานองหน้า นี่เป็นเสื้อไหมพรมที่แม่เป็นคนถักเอง เขาจำลักษณะของลายเส้นได้ แม่เคยพูดกับเขาว่า “คนเราจะต้องเอาอย่างดอกเหมย ยิ่งผจญกับความหนาวเหน็บทุกข์ยากเท่าใด ยิ่งจะทำให้ดอกเหมยผลิดอกได้งดงามมากยิ่งขึ้น”
4 ปีแล้ว แม่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเขา แต่ทว่า ทุกต้นฤดูหนาว แม่จะส่งเสื้อไหมพรมและข้อความเดิมมาให้ทุกครั้ง เขาพยายามปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้ได้รับการพิจารณาลดโทษ และเมื่อปลายปีที่ 5 เขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก
เขาสะพายเป้เดินออกจากเรือนจำ เสื้อไหมพรม 5 ตัวคือสมบัติของเขา เมื่อเขาเดินทางมาถึงบ้าน ปรากฏว่าหน้าบ้านถูกล็อคด้วยกุญแจ และกุญแจนั้นก็ถูกสนิมกินเขรอะไปหมด ต้นหญ้าภายในบ้านก็ขึ้นสูงเกือบฟุต เขารู้สึกแปลกใจ แม่ไปไหม?
เมื่อเขาเข้าไปถามเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านต่างมองเขาด้วยความประหลาดใจ ต่างก็ถามเขาว่ายังอีกปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ? เขาส่ายหน้าถามไปว่า
“แม่ผมล่ะ?”
เพื่อนบ้านก้มหน้าแล้วก็บอกกับเขาว่า
“แม่เธอตายไปแล้ว!”
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม เป็นไปได้ยังไง! แม่ของเขาอายุเพิ่งสี่สิบกว่าเอง จะตายได้ยังไง? เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาเขาเพิ่งได้รับเสื้อกันหนาวของแม่อยู่เลย
เพื่อนบ้านจึงพาเขาไปที่หลุมฝังศพ เขาคุกเข่าร้องไห้เหมือนคนเสียสติ เพื่อนบ้านเล่าว่าหลังจากที่เขาทำร้ายคนอื่นจนบาดเจ็บสาหัส แม่ของเขาต้องไปกู้เงินจากเพื่อนบ้านเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บนั้น เมื่อเขาถูกจำคุก แม่จึงย้ายไปรับจ้างในโรงงานประทัดที่ห่างจากบ้านประมาณ 100 กิโล นานๆ ถึงจะกลับมาที ส่วนเสื้อไหมพรมที่แม่ส่งไปให้เขานั้น แม่ฝากเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันเป็นผู้ส่งให้ และเมื่อตรุษจีนปีที่แล้ว โรงงานประทัดมีออเดอร์เป็นจำนวนมาก จึงให้พนักงานทำโอที แต่โชคร้ายโรงงานระเบิด คนงานต่างถิ่นที่ทำโอทีสิบกว่าคนหนึ่งในนั้นก็คือแม่ของเขารวมทั้งเจ้าของโรงงานและลูกหลานเสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์ครั้งนั้น
พูดถึงตรงนี้ เพื่อนบ้านก็ถอนหายใจ
“ยังมีเสื้อไหมพรมค้างอยู่ที่บ้านฉันอีกหนึ่งตัว เตรียมส่งให้เธอปีนี้!”
เขาตีอกชกตัวร้องไห้ไม่หยุดต่อหน้าหลุมฝังศพแม่ เขาเป็นคนทำให้แม่ตาย เขาเป็นลูกอกตัญญู เขาสมควรตกนรก วันรุ่งขึ้น เขาขายบ้านแล้วก็นำสมบัติคือเสื้อไหมพรม 6 ตัว ติดตัวแล้วจากไป
4 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง และแต่งเด็กสาวคนหนึ่งเป็นภรรยา ร้านของเขากิจการดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาหารอร่อยราคาย่อมเยา อีกทั้งความอ่อนน้อมและความกระตือรือร้นของผู้เป็นภรรยาในการต้อนรับแขก
เพราะไม่ได้จ้างคนงาน เขาจึงต้องตื่นประมาณตีสี่เพื่อไปซื้อของมาทำอาหาร สองสามีภรรยาแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุข อยู่มาวันหนึ่ง หญิงชราหลังคุ้มงอเดินขากระเพลกลากซาเล้งเข้ามาทำมือทำไม้ขอรับจ้างเป็นคนจ่ายตลาดแทนเขา หญิงชรารับประกันความสดใหม่ของผักและอื่นๆ อีกทั้งให้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด หญิงชราคนนี้เป็นใบ้ บนใบหน้ามีแผลเหมือนถูกไฟคลอกมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารและเวทนามาก
ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกสงสารคนแก่ แต่เขาไม่สนใจความเห็นของภรรยา เขาตกลงให้หญิงชราเป็นผู้จ่ายตลาดแทนเขา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขารู้สึกถูกชะตากับหญิงใบ้คนนี้เป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะลักษณะของนางเหมือนกับแม่ของเขามาก
หญิงใบ้เป็นคนมีสัจจะ ผักและอาหารอื่นๆ ที่นางจัดซื้อหามาให้ทั้งสวยและสดมาก ทุกเช้าประมาณ 6 โมง นางจะลากซาเล้งพร้อมกับผักเต็มลำมาส่งให้ชายหนุ่มที่ร้าน บ่อยครั้งที่เขาขอเลี้ยงบะหมี่หญิงชรา นางกินค่อนข้างช้า ดูเหมือนนางจะเป็นสุขอย่างมาก
เขารู้สึกสงสารนางจับใจ บอกกับหญิงชราว่า
“ยายมากินบะหมี่ได้ทุกวันนะ ผมเลี้ยงเอง”
เมื่อหญิงชรากินเสร็จก็ยิ้มแล้วเดินกระเพลกๆ ออกจากร้านไป
เขามองตามหญิงชรา ไม่รู้ทำไม เขาเห็นภาพของแม่ทาบอยู่บนร่างของนาง ทำให้เราร้องไห้ตัวโยกด้วยความสะเทือนใจ
ผ่านไป 2 ปีแล้ว จากร้านอาหารเล็กๆ ตอนนี้ร้านของเขากลายเป็นภัตตาคาร 4 ชั้น และด้วยเงินที่สะสมมาหลายปี เขาสามารถซื้อบ้านใหม่ได้อีกหลังหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ คนส่งผักยังเป็นหญิงใบ้คนเดิมอยู่
เช้าวันหนึ่ง เขายืนรอผักอยู่หน้าภัตตาคาร รอเป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นหญิงชราเอาผักมาส่ง เขาไม่เคยสอบถามเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ของนางเลย แล้วจะติดต่อได้ที่ไหน? ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงหญิงชรา
เมื่อไม่เห็นเงาของหญิงชราว่าจะมาส่งผักได้เหมือนเดิม เขาจึงสั่งลูกน้องออกไปซื้อผักที่ตลาด ผ่านไป 2 ชั่วโมง คนงานก็กลับมาจากตลาดพร้อมกับผักและอาหารอื่นๆ เมื่อเขาตรวจสอบดู คุณภาพของผักไม่ได้ครึ่งของหญิงชราที่จัดหามาให้เขาเลย ผักที่หญิงชรานำมาส่งรู้สึกได้เลยว่าถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี แต่จากวันนั้นเป็นต้นมา หญิงชราก็ไม่ได้มาส่งผักเหมือนเดิมอีกแล้ว
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ วันนั้นเป็นวันตรุษจีนพอดี ในขณะที่เขากำลังห่อเกี๊ยว เขาก็เอ่ยกับภรรยาว่าอยากจะเอาไปให้หญิงใบ้สักชามหนึ่ง และอยากจะไปดูด้วยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เห็นนางมาส่งผักตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง? ภรรยาเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมา เมื่อทำเกี๊ยวเสร็จ เขาก็ยกชามเกี๊ยวใส่ตะกร้าออกจากบ้านเพื่อไปสอบถามถึงหญิงใบ้ที่เดินขากระเพลกกับชาวบ้านในตลาด และเขาก็ทราบว่า หญิงใบ้คนนั้นอาศัยอยู่บ้านเช่าห่างจากภัตตาคารของเขาเพียง 2 ซอยเท่านั้น
เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าของนาง เขาเคาะประตูเรียกตั้งนาน ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตู เขาจึงถือวิสาสะผลักประตูเดินเข้าไปในบ้าน ในบ้านแคบๆ มืดๆ นั้น หญิงชรานอนอยู่บนเตียงสภาพหนังหุ้มกระดูก เมื่อหญิงชราเห็นเป็นเขาก็ตกใจ พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่นางก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีแรง
เขาเอาชามเกี๊ยววางไว้ที่หัวเตียงและก็ถามว่า
“ยายเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?”
หญิงชราเอาแต่ขยับปากเหมือนอยากจะบอกอะไรกับเขา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟที่หัวเตียงแล้วเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งลงข้างๆ แทน อยู่ๆ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรูปสองสามใบที่ติดอยู่ผนังห้อง เขาตกตะลึง อ้าปากค้างชาวาบไปทั้งตัว มันเป็นภาพถ่ายของเขากับแม่! ภาพถ่ายเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ 10 ขวบ และตอนอายุ 17 ปี
ที่มุมห้องมีห่อผ้าเก่าๆ ห่อหนึ่ง บนห่อผ้านั้นมีรูปดอกเหมยไหมพรมติดอยู่
เขาหันกลับมามองหญิงชราด้วยความตะลึง ถามออกไปว่ายายเป็นใครกัน?
หญิงชราก็ตกตะลึงไม่ต่างจากเขา สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมาว่า
“ลูกแม่!”
เสียงเรียกว่า “ลูกแม่” นั้น เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เขาช๊อกไปครู่หนึ่ง หญิงชราคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้ คนส่งผักให้เขาเป็นเวลา 2 ปีคนนี้ ที่แท้เป็นแม่ของเขาเองหรือ! เขารีบคุกเขากอดแม่ไว้แน่น สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้เสียงระงม ไม่รู้ว่าเสียงร้องไห้นั้นดังเป็นเวลานานเท่าไหร่ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ของแม่
“เพื่อนบ้านพาผมไปกราบหลุมศพของแม่ บอกว่าแม่ตายไปแล้ว ผมจึงขายบ้านย้ายมาอยู่ที่นี่”
แม่ของเขาปาดน้ำตา บอกกับเขาว่านางเป็นผู้สั่งให้เพื่อนบ้านบอกกับเขาอย่างนั้น ในวันที่โรงงานประทัดระเบิด นางรอดชีวิตออกมาได้ แต่ใบหน้าก็ถูกไฟครอกจนเสียโฉม เมื่อเห็นสภาพความน่าเกลียดของตัวเอง อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ยากจน หากวันหนึ่งลูกชายออกจากคุกมา กลัวว่าจะไม่มีใครยอมแต่งงานกับลูกชายของนาง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูก นางจึงบอกกับเพื่อนบ้านว่าให้บอกลูกชายของนางว่า นางได้ตายไปแล้ว เพื่อให้ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของลูกอย่างชอบธรรม จะได้นำไปตั้งตัวสร้างครอบครัวใหม่ได้
เมื่อลูกชายของนางขายบ้านจากไปแล้ว นางจึงได้กลับไปสอบถามเพื่อนบ้านจึงรู้ว่าลูกชายมาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมือง นางจึงเข้ามาเป็นคนเก็บขยะขายประทังชีวิต ใช้เวลาตามหาลูกชายถึง 4 ปี จึงได้เจอกับร้านอาหารของลูกชาย นางดีใจจบแทบจะเป็นบ้า แต่เมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้ทำงานด้วยความลำบาก จึงขันอาสารับเป็นผู้จ่ายตลาดให้ เพื่อแบ่งเบาภาระของลูก ทำมาก็ 2 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ขาของนางไม่มีแรง ไม่สามารถลุกเดินเหินได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงไม่สามารถช่วยลูกชายได้อีกแล้ว
เขาฟังไปร้องไห้ไป ไม่รอให้แม่พูดจบ เขาลุกขึ้นไปหยิบห่อผ้าและอุ้มแม่เดินกลับไปที่บ้าน
เขาอุ้มแม่เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงบ้านของตัวเอง แม่พูดกับเขามากมาย แม่บอกว่า วันที่เขาเข้าคุกแม่เกือบจะตาย แต่ก็แข็งใจรอให้ลูกออกจากคุกก่อน แม่ยังตายตอนนี้ไม่ได้จึงกัดฟันอยู่ต่อ เมื่อลูกออกจากคุกมา เห็นลูกยังไม่มีครอบครัว แม่ก็คิดว่าแม่ยังตายไม่ได้ เมื่อเห็นลูกมีครอบครัว มีกิจการงานที่ดี แต่ยังไม่มีหลาน ยังไงแม่ก็ตายไม่ได้ ถึงตรงนี้ นางพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
เขาก็ได้พูดกับแม่ถึงเรื่องราวของเขามากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกความจริงกับแม่ก็คือ คนที่เขาชกต่อยด้วยจนบาดเจ็บสาหัสนั้น เป็นเพราะชายคนนั้นใช้วาจาอันแสนหยาบคายพูดดูถูกแม่ของเขา เขาไม่กลัวหากใครจะมาชกต่อยหรือทำร้ายเขา เขาทนได้ แต่เขาทนไม่ได้ที่ชายคนนั้นดูถูกแม่ของเขาด้วยวาจาที่แสนต่ำช้าอย่างนั้น
แม่อยู่กับเขาได้ 3 วันก็สิ้นใจ คุณหมอบอกกับเขาว่า “โรคมะเร็งกระดูกที่แม่คุณเป็น น่าจะเสียชีวิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ที่ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อจนถึงตอนนี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ดังนั้น คุณไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก ท่านได้อยู่กับคุณนานแล้ว”
“แม่ของผมเป็นโรคมะเร็งกระดูก!” เขาอุทานออกไปด้วยความตกใจ
เมื่อเขาแกะห่อผ้าของแม่ ข้างในมีเสื้อไหมพรมถูกพับไว้อย่างดีอยู่หลายผืน มีเสื้อตัวเล็กที่เขียนกำกับว่า “หลาน” อีกผืนหนึ่งเขียนว่า “ลูกสะใภ้” และอีกผืนหนึ่งที่เขียนว่า “ลูกแม่”
ที่ชายเสื้อของทุกตัว จะมีรูปดอกเหมยที่ปักด้วยด้ายไหมพรมสีแดงอยู่
ใต้ห่อผ้านั้น มีใบรับรองแพทย์ของแม่ที่เขียนว่า “มะเร็งกระดูก” วันเวลา เป็นช่วงปีที่ 2 ที่เขาติดคุก
เขายืนตัวสั่น เหมือนมีมีดปลายแหลมหลายเล่มเสียบแทงไปที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
...................
ร้อยพันความดีงาม ความกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่ง
ความรักของพ่อแม่คือสัจธรรมอันแท้จริง ความกตัญญูของบุตรธิดาก็ควรเป็นสัจธรรมอันแท้จริงเช่นกัน