หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิดเกี่ยวกับความรัก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิดเกี่ยวกับความรัก แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตำนานรักและผูกพันของ ลี กวน ยู กับ อาจู

เปิดโลกวันอาทิตย์ : ตำนานรักและผูกพัน ของ ลี กวน ยู กับ อาจู : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
              แม้จะถูกสื่อตะวันตกตราหน้าว่าเป็นเผด็จการประชาธิปไตย แต่ลี กวน ยู รัฐบุรุษโลก กลับเป็นเผด็จการที่ชาวสิงคโปร์และโลกรักและเคารพยกย่อง กระทั่งสามารถอยู่ในวงการเมืองจวบจนนาทีสุดท้ายของชีวิต เทียบกับอดีตเผด็จการอย่างอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสแห่งแดนตากาล็อกฟิลิปปินส์ และอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตแห่งแดนอิเหนาอินโดนีเซีย ผู้เป็นเผด็จการร่วมรุ่นร่วมยุคสมัย แต่กลับถูกประชาชนรวมพลังอัปเปหิด้วยข้อหาเดียวกันนั่นก็คือทุจริตคอร์รัปชั่นยักยอกเงินของแผ่นดินไปเป็นสมบัติส่วนตัวและใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ กระทั่งติดอันดับ 10 ยอดผู้นำสุดโกงกินมากที่สุดในโลก

ยิ่งไปกว่านั้น หลังบ้านของมาร์กอสและซูฮาร์โตต่างก็ขึ้นชื่อลือเลื่องเช่นกันในเรื่องการรับเงินสินบน กระทั่งนางอิเมลดา มาร์กอส ได้รับฉายาว่า "มาดามผีเสื้อเหล็ก" และ"มาดาม 3 เปอร์เซ็นต์ " ส่วนนางสตี ฮาร์ตินาห์ หรือ "มาดามเทียน" คู่ชีวิตของซูฮาร์โต ก็ได้รับสมญาว่า "มาดาม 10 เปอร์เซ็นต์" จากการหัก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าวิ่งเต้นให้บริวารว่านเครือของซูฮาร์โต

แต่เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของลี กวนยูและนางกัว เก็ก จู หรือ "อาจู" ภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งไม่เคยมีข้อครหาแม้แต่น้อยว่าทุจริตคอร์รัปชั่นหรือรับสินบนใดๆ ยิ่งกว่านั้นมาดามลี ซึ่งไม่ได้เป็นโฉมสะคราญแบบนางอิเมลดา มาร์กอส ที่เคยสวมมงกุฎรองนางงามฟิลิปปินส์มาก่อน หากแต่มากปัญญาแบบนางอุยซี ภรรยาของขงเบ้ง ก็ยินดีทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวงของลี กวน ยู อย่างเงียบๆ คอยให้กำลังใจจนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง

ลีถึงกับออกปากยกย่องว่าเธอเป็นยิ่งกว่าภรรยา เพราะยังเป็นเพื่อนแท้และที่ปรึกษาผู้รู้ใจที่ตัวเองไว้วางใจมากที่สุด 

สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกันมาแต่ปางบรรพ์ ในฐานะที่ต่างเป็นรักแรกและรักเดียวในกันและกัน และเป็นเงาของกันและกันเรื่อยมา แม้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานานถึง 63 ปี เหตุนี้ จึงไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย เมื่อ "อาจู" เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อเย็นวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ลี กวน ยู จึงสารภาพว่านับตั้งแต่ไม่มีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอยู่เคียงข้าง ชีวิตของตัวเองก็เปลี่ยนไป ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว 

และนับแต่นั้น รัฐบุรุษโลกลี ก็หมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไปตามลำพัง นอนป่วยกระเสาะกระแสะอยู่แต่บนเตียงและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรม

แม้ภายนอกจะเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด กระทั่งสามารถนำเกาะสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติแม้แต่น้อยให้กลายเป็นเกาะมหัศจรรย์และเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหญ่แห่งเอเชีย แต่ในเรื่องของความรักแล้ว ลี กวน ยู กลับเป็นคนรักและสามีที่สุดแสนอ่อนโยน รักเดียวใจเดียว และให้ความสำคัญกับ "อาจู" เสมอมา ในฐานะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถเอาชนะเขาได้ในเรื่องการเรียน

ตั้งแต่เด็ก กัว เก็ก จู ได้ชื่อว่าเป็นคนเรียนเก่งมากๆ สอบได้ที่ 1 ระหว่างการสอบชั้น ม.6 เคมบริดจ์ทั่วมาลายา และขณะมีอายุ 16 ปี ก็เป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวที่เข้าไปเรียนพิเศษที่วิทยาลัยราฟเฟิลส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายชื่อดังเพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป แล้วได้พบกับลีเป็นครั้งแรก

ความรักที่แม้แต่สวรรค์ยังอิจฉาของทั้ง 2 คนปรากฏอยู่ในหนังสือบันทึกอัตชีวประวัติของลี กวน ยู ที่เผยแพร่เมื่อปี 2542 ซึ่งเล่าหมดเปลือกว่าได้พบกันครั้งแรกปี 2487 ตอนที่เธอเป็นนักเรียนหญิงเพียงคนเดียวของวิทยาลัยชื่อดังที่เป็นแหล่งรวมของสุดยอดนักเรียน 150 คน แต่ในครั้งนั้น นอกจากจะไม่ใช่รักแรกพบแล้ว

ทั้ง 2 คนยังเหมือนกับคู่กัดที่ต้องแข่งกันเพื่อชิงความเป็นที่ 1 ในการสอบวิชาต่างๆ ปรากฏว่าสาวน้อยกัว เก็ก จู ซึ่งมีอายุมากกว่าหนุ่มน้อยลี กวน ยู 2 ปีสามารถเอาชนะได้ที่ 1 ในวิชาภาษาอังกฤษและเศรษฐศาสตร์ ส่วนหนุ่มน้อยลีได้ที่ 2 หลังจากเลิกคิ้วและตีสีหน้าใส่กัน มิตรภาพกลับทวีความแนบแน่นมากขึ้น ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง สุดท้ายก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักในอีก 2 ปีให้หลัง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง พ่อของลี กวน ยูกัดฟันส่งแฮรี ลี และเดนนิส น้องชายไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลีสารภาพว่า "เรายังเด็กและกำลังมีความรัก จึงได้แต่กังวลห่วงใยและเฝ้าหวังว่ากัว เก็กจูจะสามารถสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิป ได้เพื่อจะได้มาเรียนต่อที่เคมบริดจ์ด้วยกัน....ผมถามเธอว่าจะคอยผมกลับมาในอีก 3 ปีให้หลังหรือไม่ อาจูถามผมว่ารู้หรือเปล่าว่าเธอแก่กว่าผม 2 ปีครึ่ง ผมตอบว่ารู้และได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว ผมเองก็เป็นเด็กโตเกินวัย เพื่อนๆ ล้วนแต่มีอายุมากกว่า ยิ่งกว่านั้น ผมก็ต้องการใครสักคนที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ใครที่ไม่รู้จักโตและต้องการให้คนคอยปกป้องดูแลตลอดไป ผมเองก็ไม่ต้องการมองหาหญิงอื่นที่ทัดเทียมกันและสนใจอะไรๆ เหมือนกัน เธอตอบว่าเธอจะรอผม" แม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะไม่ยินดีพิจารณาแฮรี ลีให้เป็นว่าที่ลูกเขยก็ตาม

หลังสงคราม อาจูได้กลับมาเรียนต่อที่ราฟเฟิลส์และสอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รวมทั้งสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปด้วย ซึ่งทุนนี้จะให้เด็กเรียนดีชาวสิงคโปร์ปีละทุนเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าเธอสอบชิงทุนนี้ไม่ได้ เธอก็ต้องเฝ้ารอคอยลีถึง 3 ปี ซึ่งต่างก็ไม่ปรารถนาเช่นนั้น สาวหัวดีและเรียนเก่งอย่างอาจูจึงฮึดสู้และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

เธอสอบชิงทุนควีนส์ สกอลาร์ชิปได้ดังหวัง แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคไม่คาดฝัน เนื่องจากทางการไม่สามารถหาที่ว่างในมหาวิทยาลัยให้ได้ จึงแจ้งให้เธอรออีกหนึ่งปี แต่หนุ่มน้อยแฮรี ลี กลับไม่สามารถทำใจรอได้ จึงได้วิ่งเต้นผ่านคณบดี กระทั่งยอมรับให้เธอมาเรียนที่เคมบริดจ์ได้ในเทอมถัดมา

                        สองหนุ่มสาวจึงได้มาพบหน้ากันใหม่ในกรุงลอนดอน หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ขอแต่งงานเงียบๆ อาจูตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าขัดต่อประเพณีก็ตาม ทั้ง 2 จึงได้แอบแต่งงานกันที่เมืองสแตรทฟอร์ด ริมแม่น้ำเอวอน อันเป็นเมืองบ้านเกิดของเชคสเปียร์เมื่อปี 2490

หนุ่มน้อยลีได้ซื้อแหวนทองคำขาวให้ ซึ่งอาจูได้ร้อยกับสายสร้อยสวมคล้องคอไว้ตลอดมา สองหนุ่มสาวได้ปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งตราบจนเสียชีวิตก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะกลัวว่าทางบ้านและเจ้าของทุนจะไม่ยอมรับและอาจยึดทุนคืน และโลกเพิ่งรู้ความลับนี้จากหนังสืออัตชีวประวัติของลี กวน ยู ซึ่งเล่าว่าเมื่อเดินทางกลับสิงคโปร์ ทั้ง 2 คนได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2493 "ผมไม่คิดว่าเป็นข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ที่ต้องแต่งงาน 2 ครั้งกับผู้หญิงคนเดียวกัน"

หลังจากแต่งงานแล้ว อาจูทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและทำงานเป็นทนายความในสำนักทนายความลี แอนด์ ลี ที่ลีและเดนนิส น้องชาย ร่วมกันตั้งขึ้นมา ก่อนที่ลีจะวางมือจากสำนักทนายความแห่งนี้เพื่อไปเล่นการเมือง ปล่อยให้อาจูและเดนนิสช่วยกันบริหาร กระทั่งกลายเป็นสำนักทนายความที่ใหญ่ที่สุด

และแม้จะมีทายาทคนแรกด้วยกันนั่นคือลี เซียน หลงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2495 เธอก็ช่วยงานของลีโดยเป็นคนตรวจร่างถ้อยแถลงต่างๆ ด้วยภาษาที่ง่าย แจ่มแจ้งและตรงประเด็น ทำให้ลี ประสบความสำเร็จในงานทนายความ อาจูยังช่วยสอนเคล็ดลับการเขียนภาษาอังกฤษให้กระชับและใช้ประโยคที่มีประธานเป็นทำกริยานั้นโดยตรง ที่สำคัญคือเป็นคนช่วยร่างธรรมนูญของพรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ที่ลี กวน ยูตั้งมากับมือ และยังเป็นคนช่วยแก้สำนวนภาษาให้ถูกต้อง

ในหนังสืออัตชีวประวัติ ลี กวน ยู ได้ยกย่องเธอ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือการมีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองออกล่วงหน้าว่าการผนึกรวมสิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายู ท้ายที่สุดก็จะล้มเหลว เนื่องจากความแตกต่างของวิถีชีวิตและทัศนะการเมืองของผู้นำพรรคอัมโน พรรครัฐบาลมาเลเซีย ปรากฏว่าเธอทายถูกเพราะท้ายที่สุดมาเลเซียก็อัปเปหิสิงคโปร์เมื่อปี 2508 ทำให้ลี กวน ยู ฮึดสู้ ตั้งเป็นประเทศ และตัวเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกนานติดต่อกันถึง 31 ปี

ในช่วงผ่องถ่ายอำนาจนั้น "อาจู" ยังมีส่วนช่วยเหลือลีในการร่างกฎหมายแยกประเทศให้ครอบคลุมเรื่องที่มาเลเซียจะต้องรับประกันว่า จะต้องจ่ายน้ำประปาให้สิงคโปร์ตลอดไป และลีได้ใช้สัญญาข้อนี้มาอ้างทุกครั้งที่ผู้นำมาเลเซียขู่จะตัดน้ำประปา

ช่วงที่เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ อาจูคอยเป็นกำลังใจและมีส่วนช่วยสถาปนาประเทศสิงคโปร์มากับมือ "ตอนที่เกิดวิกฤติไม่ว่าจะครั้งไหนๆ เราจะไม่ยอมปล่อยให้อีกคนหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว อ้างว้างตามลำพัง ตรงกันข้าม เราจะเผชิญกับวิกฤติด้วยกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข แบ่งปันความรู้สึกกลัวและความหวังด้วยกัน ในช่วงนั้นๆ เรายิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไป ความผูกพันของเราก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นตามลำดับ"

มาดามลีก็มักจะเล่าตำนานชีวิตให้คนรุ่นหลังฟัง พร้อมกับสารภาพว่า แม้เธอจะเป็นนักบุกเบิกการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีรุ่นแรก แต่เธอก็ยินดีทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เดินทางไปกับเขาเหมือนเป็นเงาตามตัวโดยเฉพาะการเดินทางไปกระชับสัมพันธไมตรีทางการทูตและการพบปะกับรัฐมนตรีจากต่างประเทศ "ฉันจะเดินตามหลังสามี 2 ก้าวเสมอ"

แต่สิ่งที่เธออุทิศให้ตลอดก็คือการดูแลครอบครัว ทุกเที่ยงเธอจะกลับบ้านทำอาหารกลางวันให้ลูกทั้ง 3 คน ยามว่างก็คอยจัดทำประวัติและเก็บแฟ้มรูปของลูกๆ ทุกคนจนกระทั่งโต ยามว่างก็จะชอบทำสวน เลี้ยงนก พาลูกๆ และหลานๆ ไปเดินเล่น

อาจู เป็นนักกฎหมายอาชีพนานกว่า 40 ปี กระทั่งเริ่มป่วยด้วยโรคหัวใจเมื่อปี 2546 ลี กวน ยู ซึ่งแม้จะเติบโตในสังคมชายเป็นใหญ่ที่ผู้ชายไม่ต้องทำอะไรเองแม้กระทั่งตอกไข่ ก็สลัดความเป็นใหญ่ทิ้งทันที และปรับวิถีชีวิตของตัวเองใหม่เพื่อจะได้ดูแลภรรยาคู่ยากอย่างใกล้ชิด

เมื่อตาข้างซ้ายของเธอเริ่มมืดมัว ลีก็จะนั่งตรงข้างซ้ายของเธอระหว่างอาหาร คอยให้กำลังใจเธอให้ค่อยๆ กินอาหาร และเมื่อเธอทำอาหารหก เขาก็จะค่อยๆ เก็บเศษอาหารทิ้ง นอกจากนี้ก็คอยกระตุ้นให้อาจูว่ายน้ำทุกวันและจะเป็นคนวัดความดันให้วันละหลายครั้ง แม้ว่าลี เหว่ย หลิง ลูกสาวคนกลางซึ่งเป็นหมอจะขอให้แพทย์คนหนึ่งติดอุปกรณ์วัดความดันสวมที่ข้อมือเหมือนนาฬิกาก็ตาม แต่อาจูเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ฉันอยากให้สามีของฉันเป็นวัดความดันให้มากกว่า"

โรคหัวใจที่กำเริบเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี 2551 ทำให้อาจูต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียง พูดไม่ได้ แต่ยังมีความรู้สึกและรับรู้คำพูดของคนอื่นๆ ทุกวันหลังเลิกงาน ลีก็จะมานั่งข้างเตียงเล่าให้เธอฟังว่าทำอะไรบ้าง และทุกคืนก็จะอ่านบทกวีที่อาจูชื่นชอบให้ฟังนาน 2 ชั่วโมงโดยไม่มีขาดแม้แต่คืนเดียว และเนื่องจากหนังสือรวมบทกวีนั้นแสนจะหนาและหนัก ลีจึงต้องวางหนังสือบนขาตั้งดนตรี ปรากฏว่าคืนหนึ่งเขาเผลองีบหลับ กระทั่งหน้ากระแทกขาตั้งเป็นรอยช้ำ แต่ก็ไม่ทำให้ลีถอดใจแต่อย่างใด ยังคงอ่านบทกวีให้ภรรยาคู่ยากฟังทุกคืน และแม้จะประกาศว่าเลิกนับถือทุกศาสนาแล้วก็ตาม  แต่ลี กวน ยู กลับสวดมนต์ภาวนาให้อาจูมีอาการดีขึ้น ว่ากันว่าลี เครียดกับอาการป่วยของเธอยิ่งกว่าคราวที่ประสบมรสุมทางการเมืองเสียอีก

หลังจากนอนนิ่งบนเตียงนาน 2 ปี "อาจู" ก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 89 ปี ลีค่อยๆ เดินไปที่โลงศพเพื่อนำดอกกุหลาบแดงไปวางบนร่าง พลางใช้มือขวาลูบใบหน้าของเธอ ก้มลงจุมพิตที่หน้าผาก

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลูกชายกับแอปเปิล

คุณแม่วัยสาวถามลูกชายวัย 5 ขวบว่า
"หากหนูไปเที่ยวกับแม่แล้วเราก็หิวน้ำมาก แต่เราไม่ได้เอาน้ำไปด้วย แต่ว่าในกระเป๋าของลูกบังเอิญว่ามี แอ๊ปเปิ้ลอยู่ 2 ลูก ลูกจะทำยังงัยจ๊ะ?"
ลูกชายตัวน้อยนั่งคิดอยู่สักครู่ แล้วตอบคุณแม่ว่า
"ผมก็จะกัดแอ๊ปเปิ้ล ทั้งสองลูกนั้นครับ"

คำตอบของเด็กน้อยทำให้คุณแม่รู้สึกผิดหวังเป็นอันมาก แต่เธอก็ไม่ตำหนิลูกชายแต่อย่างใด กลับเอามือลูบที่ผมและใบหน้าของลูกน้อย แล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติว่า
"หนูบอกแม่ได้มั๊ยครับว่าทำไม หนูถึงทำเช่นนั้น?"
เด็กน้อยมองหน้าคุณแม่กระพริบตาปริบๆ ยิ้มและพูดออกมาด้วยความไร้เดียงสาว่า
"เพราะผมต้องการที่จะชิมแอ๊ปเปิ้ลทั้งสองลูกนี้ดูก่อน หากลูกใดมีรสชาติที่หวาน ผมจะนำลูกนั้นให้กับแม่ครับ มันน่าจะทำให้แม่หายหิวน้ำได้เร็วขึ้นครับ ส่วนผมก็จะกินอีกลูกที่เหลือเองครับ"

ยามใดก็ตาม ที่มีเรื่องใดๆมา
กระทบใจ ทำให้เรารู้สึกโกรธ หรือไม่พอใจ ขอเพียงลองหยุดเพื่อที่จะฟังเหตุผลของคนรอบข้างสักนิดว่าเพราะอะไร เขาถึงเลือกทำเช่นนั้น
ยามที่โศกเศร้าหรือเสียใจ จงหยุดฟังเสียงหัวใจของตัวเองสักนิดว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บปวด
หยุดฟังตนเอง และ คนรอบข้าง แล้วคุณจะได้คำตอบที่ถูกต้อง
อย่าคิดและสรุปทุกเรื่องเพียงคุณมองเห็นหรือได้ยินมาเท่านั้น

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องของหมีฟ้ากับลูกนก

หมีฟ้า เจอลูกนกถูกทิ้ง
หมีฟ้าจึงเอาลูกนกมาดูแล

แล้วเป็นพ่อให้ลูกนก

เมื่อถึงเวลา ลูกนกต้องฝึกบิน
ลูกนกถามหมีฟ้า พ่อจ๋าหนูจะบินได้อย่างไร

หมีฟ้าบอกไปว่า เดี๋ยวพ่อบินให้ดู

หมีฟ้ากระโดดจากยอดไม้แล้วกระพือแขนเร็วๆ เพื่อให้ลอยขึ้น
แต่ทุกครั้ง หมีฟ้าก็จะหล่นลงพื้น ด้วยความหนักของตัว

หมีฟ้าทำแบบนี้ทุกวัน ให้ลูกนกดู
แล้วบอกลูกนก ให้กระพือปีกแรงๆตาม

พ่อไม่เห็นบินได้เลย
ลูกนกถาม

เพราะพ่ออ้วนไง แต่ลูกบินได้นะ
ลองทำดูสิ หมีฟ้าบอกลูกนก

พ่อเธอไม่มีทางบินได้หรอก เพราะพ่อเธอไม่ใช่นก
ต้นไม้กระซิบบอกลูกนก

ถ้าพ่อบินไม่ได้ พ่อจะทำอย่างนั้นทุกวันทำไม
ลูกนกถามต้นไม้

"วันไหนเธอมีคนที่เธอรักสุดหัวใจ
เธอจะเข้าใจเอง" ต้นไม้ตอบ

ลูกนกมองหมีฟ้าที่ตัวเต็มไปด้วยแผล
แล้วถามว่า พ่อบินไม่ได้ พ่อจะพยายามบินทำไม

หมีฟ้ายิ้มแล้วลูบหัวลูกนกเบาๆ
พร้อมบอกว่า

" การพยายามทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก
มันไม่มีขีดจำกัดหรอก มันทำได้ทุกอย่าง
พ่ออยากให้หนูบินได้
เพื่อที่สักวันหนูโตขึ้น จะได้บินออกไปดูโลกกว้าง
บินออกไปเห็นอะไรใหม่ๆ
บินออกไปหากิน และเจอคนดีๆที่พร้อมจะเคียงข้างหนู
พ่อรักหนูนะ "

ลูกนกไม่ตอบอะไร
ปล่อยตัวลงไป กระพือปีกให้แรง
แล้วก็บินออกไปสู้ท้องฟ้ากว้างใหญ่

มีเพียงหมีฟ้าที่มองจากต้นไม้ต้นนั้น
ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและน้ำตาจากความใจหาย
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปไหน
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปหาใคร
แต่เขารู้ว่า ลูกนกบินได้แล้ว เขาก็สุขใจ

ตะวันกำลังลับลา
หมีฟ้านั่งเช็ดแผลตัวเอง
พร้อมกับมองเงาฝูงนกที่บินตรงขอบฟ้า
แล้วหวังว่าจะมีลูกที่เขารักบินอยู่ในนั้น
ก่อนหลับตาไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สุขใจ

............

ไม่ทันได้หลับสนิท ก็มีอะไรแผ่นใหญ่ๆมาห่มไว้
หมีฟ้าลืมตา เห็นลูกนกกำลังบินคาบใบไม้มาห่มให้
พร้อมกับอาหารและหญ้าสมุนไพรไว้ให้ใส่แผล
ลูกนกบินลงบนไหล่หมีฟ้าอย่างเบาๆ
แล้วกระซิบที่หูไปว่า
" หนูก็รักพ่อนะ "

(^^)ชอบบทความนี้มากอ่านแล้วน้ำตาซืมทุปครั้ง

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมียผม เธอไม่ได้ทำงาน


สามีบ่นกับนักจิตวิทยาสำหรับความรู้สึกเหนื่อย ... เหนื่อยและเหนื่อย .... เค้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่เค้าต้องมาทำงานคนเดียวเลี้ยงครอบครัว หาเงินเลี้ยงลูกและภรรยา เค้าคิดว่าภรรยาของเขาแย่มากที่ 'ไม่ทำงาน'

ต่อไปนี้เป็นคำถามและคำตอบระหว่างสามี และนักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา: ตอนนี้คุณทำงานอาชีพอะไร?
สามี: ผมทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีในธนาคาร

นักจิตวิทยา: ภรรยาของคุณ?
สามี: เธอไม่ทำงาน เธอเป็นแค่แม่บ้าน

นักจิตวิทยา: ใครทำอาหารเช้าสำหรับครอบครัวของคุณในตอนเช้า?
สามี: ภรรยาของผมเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: เวลากี่โมงที่ภรรยาของคุณตื่นขึ้นมาสำหรับทำอาหารเช้า?
สามี: เธอตื่นประมาณ ตี5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้านก่อนที่จะทำอาหารเช้า

นักจิตวิทยา: ใครพาลูกๆของคุณไปโรงเรียน?
สามี: ภรรยาของผมเป็นคนพาลูกๆไปโรงเรียนเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: หลังจากพาเด็กๆไปโรงเรียนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วใช่มั้ย?
สามี: เธอเดินไปจ่ายตลาดแล้วก็กลับบ้านเพื่อทำอาหารและทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า คุณก็ทราบว่าเธอไม่ได้ไปทำงาน

นักจิตวิทยา: ตอนเย็นหลังจากที่คุณกลับจากออฟฟิต เมื่อมาถึงบ้านคุณทำอะไรบ้าง ?
สามี: ไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าผมเหนื่อยเนื่องจากต้องทำงานตลอดทั้งวันในที่ทำงาน

นักจิตวิทยา: แล้วภรรยาของคุณทำอะไรล่ะ?
สามี: เธอเตรียมอาหารให้ผมและลูกๆ และล้างจาน ล้างครัว ทำความสะอาดบ้าน พาเด็กๆอาบน้ำ แล้วพาลูกๆเข้านอน เธอเล่านิทานจนลูกๆหลับ เสร็จแล้วเธอก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ผมและลูกๆ มาแขวนเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

นักจิตวิทยา: เธอเข้านอนกี่โมง
สามี: ผมไม่ทราบผมหลับก่อนประมาณ 5 ทุ่ม ในขณะที่เธอยังทำงานบ้านอยู่

นักจิตวิทยา: จากเรื่องที่เราคุยกันคุณยังคิดว่าเธอไม่ได้ทำงานอีกมั๊ย?

นักจิตวิทยา: กิจวัตรประจำวันของภรรยาของคุณเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ถึงดึกดื่นในเวลากลางคืน นี่หรือที่คุณเรียกว่า 'ไม่ทำงาน'?!

นักจิตวิทยา: ใช่เป็นแม่บ้านไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองการศึกษา ไม่ต้องทำงานในตำแหน่งสูง แต่หน้าที่ ของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!

นักจิตวิทยา: คุณควรขอบคุณภรรยาของคุณ เพราะการเสียสละของเขา คุณต้องระลึกไว้เสมอว่า เราต้องเข้าใจและชื่นชมบทบาท ของกันและกัน การทำความเข้าใจและเห็นคุณค่า ซึ่งกันและกัน นั่นจะทำให้คุณอยู่ร่วมกันมีความสุข


วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยามเมื่อรักจากไป


ทหารหนุ่มแอบหลงรักเจ้าหญิงเลอโฉม
เขาตระหนักถึงความสูงส่งของเธอ
เฉกเช่นเดียวกับที่ตระหนักถึงความต่ำต้อยตน
แต่เขายังรวบรวมความกล้า เดินเสี่ยงตายเข้าไปบอกเธอว่า
“รัก”
และจะอยู่บนโลกต่อไปโดยไม่มีเธอไม่ได้

เจ้าหญิงผู้เป็นดวงใจตอบเขาว่า
”ถ้าสามารถรอคอยอยู่ใต้ระเบียงห้องเธอได้ติดต่อกัน
100 วัน 100 คืน เธอจะเป็นของเขาตลอดไป”

ณ ใต้ระเบียง ทหารหนุ่มเฝ้ารอคอยอยู่ตรงนั้น
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
โดยไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน
เขารอคอยในสายลมบาดผิว
รอคอยในสายฝนกระหน่ำ
รอคอยในความหนาวเหน็บของหิมะ
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
โดยมีเจ้าหญิงของเขาเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา
เธอเห็นหยาดน้ำตาของเขาพรูพรายเป็นสาย
จนกระทั่งในคืนที่ 99
ทหารหนุ่ม หยุดร้องไห้
หยุดรอคอย
หยุดทุกอย่างไว้
แล้วหันหลังเดินจากไป

เรื่องนี้ไม่มีตอนจบ แต่มีบางคำถาม บางคำตอบในใจ
ความรักของเธอกับเขาอาจจะเหมือน “นาฬิกาทราย “
เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มหมดรักไปในใจอีกฝ่ายหนึ่งกลับรักขึ้นมาใหม่เต็มเปี่ยม
แต่บางทีทหารหนุ่มอาจตั้งใจแค่แสดงให้เห็นว่าเขารักเธอจริงแท้แค่ไหน
แค่พิสูจน์ให้เห็น แต่ไม่ต้องการ ครอบครองไว้

หรือบางทีเขาอาจเสียใจ
ต้องตัดใจจากไปเพราะรักเขาถูกทำร้ายย่ำยี
หรือบางทีเป็นเจ้าหญิงเองที่เสียใจ
เพราะไม่เคยมีใครรักเธอได้อีกถึงเพียงนี้...

ความรัก เป็นสิ่งที่ออกแบบไม่ได้
ความรัก เป็นเรื่องที่บังคับใจกันไม่ได้
ความรัก ที่บริสุทธิ์ คือ การให้...
ให้โดยที่ไม่หวังว่าจะได้อะไรตอบแทน

.........แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ผู้ที่ให้มักจะหวังอยู่ลึกๆ
ที่จะได้ความรักเป็นสิ่งตอบแทน..เสมอ

และเมื่อเค้าได้ ความรัก กลับมาแล้ว
มีเพียงน้อยคนนักที่จะสามารถให้ในลักษณะนี้ได้ตลอดไป
ความอดทนอยู่คู่กับความรักไม่ได้
แต่ความเข้าใจต่างหากที่ควรเคียงคู่กันไป

ถูกต้องที่ “เวลา” เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทุกอย่าง
โดยเฉพาะความรัก
การประคองให้รักกันได้ตลอดไป
เป็นสิ่งที่ยากกว่าการจะทำอย่างใรให้รักกัน

เจ้าหญิงไม่ผิด และ ทหารผู้นี้ก็ไม่ผิด
เพียงแต่เวลาของ ความรัก ของสองคนนี้...
ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง
เราจะรู้ค่าของสิ่งของสิ่งหนึ่ง เมื่อเราได้รู้ว่า
เรา... “ได้เสียมันไปแล้ว”