หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าความรัก


เรื่องที่หลายคนเคยอ่าน แต่ยังอ่านได้ซ้ำและซึ้งเสมอ

"ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
'ผมขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ '

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ  เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'
ฉันถาม
'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ...'
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....
ฉันบอกกับน้องว่า
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
'พี่สาวของผมครับ' .....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า
'ซัมซุง'

ประธานอี บย็อง-ช็อล
เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ อี บย็อง-ช็อล เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453ในจังหวัดอึย-เรียง มนฑลคยองซังนัมอี ได้ก่อตั้งบริษัทการค้าซัมซุงขึ้นในปี พ.ศ. 2481 ในเมืองแทกู หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งบรัษัทซัมซุงโปรดักส์ บริษัทสิ่งทอ และ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์นานับประการให้กับประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงกลายเป็นต้นแบบทีมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงธุรกิจในยุคสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2504 เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักธุรกิจ นี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ของผู้เคยเป็นคนบริหาร Samsung

เมียผม เธอไม่ได้ทำงาน


สามีบ่นกับนักจิตวิทยาสำหรับความรู้สึกเหนื่อย ... เหนื่อยและเหนื่อย .... เค้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่เค้าต้องมาทำงานคนเดียวเลี้ยงครอบครัว หาเงินเลี้ยงลูกและภรรยา เค้าคิดว่าภรรยาของเขาแย่มากที่ 'ไม่ทำงาน'

ต่อไปนี้เป็นคำถามและคำตอบระหว่างสามี และนักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา: ตอนนี้คุณทำงานอาชีพอะไร?
สามี: ผมทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีในธนาคาร

นักจิตวิทยา: ภรรยาของคุณ?
สามี: เธอไม่ทำงาน เธอเป็นแค่แม่บ้าน

นักจิตวิทยา: ใครทำอาหารเช้าสำหรับครอบครัวของคุณในตอนเช้า?
สามี: ภรรยาของผมเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: เวลากี่โมงที่ภรรยาของคุณตื่นขึ้นมาสำหรับทำอาหารเช้า?
สามี: เธอตื่นประมาณ ตี5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้านก่อนที่จะทำอาหารเช้า

นักจิตวิทยา: ใครพาลูกๆของคุณไปโรงเรียน?
สามี: ภรรยาของผมเป็นคนพาลูกๆไปโรงเรียนเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: หลังจากพาเด็กๆไปโรงเรียนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วใช่มั้ย?
สามี: เธอเดินไปจ่ายตลาดแล้วก็กลับบ้านเพื่อทำอาหารและทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า คุณก็ทราบว่าเธอไม่ได้ไปทำงาน

นักจิตวิทยา: ตอนเย็นหลังจากที่คุณกลับจากออฟฟิต เมื่อมาถึงบ้านคุณทำอะไรบ้าง ?
สามี: ไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าผมเหนื่อยเนื่องจากต้องทำงานตลอดทั้งวันในที่ทำงาน

นักจิตวิทยา: แล้วภรรยาของคุณทำอะไรล่ะ?
สามี: เธอเตรียมอาหารให้ผมและลูกๆ และล้างจาน ล้างครัว ทำความสะอาดบ้าน พาเด็กๆอาบน้ำ แล้วพาลูกๆเข้านอน เธอเล่านิทานจนลูกๆหลับ เสร็จแล้วเธอก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ผมและลูกๆ มาแขวนเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

นักจิตวิทยา: เธอเข้านอนกี่โมง
สามี: ผมไม่ทราบผมหลับก่อนประมาณ 5 ทุ่ม ในขณะที่เธอยังทำงานบ้านอยู่

นักจิตวิทยา: จากเรื่องที่เราคุยกันคุณยังคิดว่าเธอไม่ได้ทำงานอีกมั๊ย?

นักจิตวิทยา: กิจวัตรประจำวันของภรรยาของคุณเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ถึงดึกดื่นในเวลากลางคืน นี่หรือที่คุณเรียกว่า 'ไม่ทำงาน'?!

นักจิตวิทยา: ใช่เป็นแม่บ้านไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองการศึกษา ไม่ต้องทำงานในตำแหน่งสูง แต่หน้าที่ ของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!

นักจิตวิทยา: คุณควรขอบคุณภรรยาของคุณ เพราะการเสียสละของเขา คุณต้องระลึกไว้เสมอว่า เราต้องเข้าใจและชื่นชมบทบาท ของกันและกัน การทำความเข้าใจและเห็นคุณค่า ซึ่งกันและกัน นั่นจะทำให้คุณอยู่ร่วมกันมีความสุข