หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การมองโลกในแง่ดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การมองโลกในแง่ดี แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เหรียญสองด้าน มองต่างมุม


ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า
เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร 
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก 
ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ 
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง 

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล 
จากลำธารกลับสู่บ้าน 
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตก
เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม
ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง 
ซึ่งแน่นอนว่า ถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิ
จะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง 
ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก 
อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง 
มันรู้สึกโศกเศร้า 
กับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียว 
ของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา 

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่า 
เป็นความล้มเหลวอันขมขื่น 
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 

'ข้ารู้สึกอับอายตัวเอง 
เป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า 
ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมา 
ตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน' 

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่า 
มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า 
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง 

เพราะข้ารู้ว่า เจ้ามีรอยแตกอยู่ 
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ 
ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า 
และทุกวันที่เราเดินกลับ ... 
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น 
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้น 
กลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว 
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... 
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้' 

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่อง 
ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง 
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น 
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ 
และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้ 

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับ 
คนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น 
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุด 
ในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง 

มองโลกหลายๆ ด้าน 
เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มองโลกในแง่ดีกันเถอะ


จอร์รี่เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา เขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ และมักจะมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่ดี เวลาที่มีใครถามเขาว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขามักจะตอบว่า "ถ้าผมสามารถเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้.....ผมอยากจะมีฝาแฝด!"

พนักงานเสริ์ฟในร้านอาหารที่เขา ทำงานอยู่หลายคนออกจากงานไปพร้อมกับเจอร์รี เมื่อเขาย้ายงานเพื่อจะได้ติดตามเขาไปจากร้าน หนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง...สาเหตุทั้งหมดก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทัศนคติของเจอร์รี่ เขาเป็นผู้ผลักดัน...เป็นคนที่ให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอกับเรื่องแย่ๆ มา เจอร์รี่จะอยู่กับเขาเสมอ..พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้นให้ได้มองเห็นด้านดีๆ หรือสิ่งที่เราสามารถ เรียนรู้ ได้จากเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้น วันหนึ่งฉันถามเจอร์รี่ว่า "ฉันไม่เข้าใจ.....คนเราจะมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง คุณทำได้ยังไงนะ"

เจอร์รี่ตอบว่า "ทุกๆ เช้า...ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับบอก ตัวเองว่า..ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้ ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้...หรือจะมี อารมณ์เสียตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี บางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น เราก็สามารถเลือกได้นี่นาว่าเราจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น หรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มัน...ผมมักเลือกที่จะเรียนรู้ ทุกครั้งที่มีบางคนมาติมาบ่นอะไร มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงเหล่า นั้นหรือว่าจะมองหาด้านดีของชีวิต ผมเลือกอย่างหลัง"

"แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ" ฉันแย้ง "ใช่...ไม่ง่ายเลย" เจอร์รี่กล่าว "ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป แล้วทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน...คุณเลือกได้ว่าจะตอบสนองกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร...คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้คนรอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณได้อย่างไร... คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้ มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร"

หลายปีต่อมา...ฉันได้ข่าวมาว่าเจอร์รี่ลืมล็อคประตูด้านหลังร้านและถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ ระหว่างที่เจอร์รี่กำลังพยายามเปิดเซฟมือของเขาสั่นเนื่องจากความตื่นเต้นทำให้เกิดพลาดโจรพวกนั้นยิงเขา โชคยังดีที่มีคนพบและนำเขาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงและการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เจอร์รี่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมทั้งเศษกระสุนในร่างกาย

ฉันพบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเขายังคงตอบว่า "ถ้าผมเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมจะเป็นฝาแฝด อยากดูแผลเป็นของผมมั้ย"

ฉันตอบปฏิเสธแต่กลับถามเขาถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกเขาหลังจากที่โจรพวกนั้นออกไป "อย่างแรกที่ผมคิดคือ ผมไม่ได้ล็อคประตูหลังของร้าน และหลังจากที่โดนยิงล้มลงบนพื้น ผมก็ยังคงจำได้ว่า.....ผมมีสองทางเลือกนี่นา...มีชีวิตต่อไปหรือว่า...ตายเสียใน ตอนนั้น...ผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป"

"คุณไม่กลัวเหรอ" ฉันถาม  เจอร์รี่เล่าต่อ "เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก พวกเขาคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมก็ได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและ พยาบาล ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขามันเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า 'เขาตายแล้ว' ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไร ผมต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรซักอย่างให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่"

"คุณทำอย่างไร" ผมรีบถาม "อืม...มีนางพยาบาลคนนึงตะโกนถามผมว่าผมแพ้อะไรหรือเปล่า ผมตอบว่า มี นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงานรอฟังคำตอบจากผมผมหายใจลึกๆ และตอบว่า 'กระสุน!' หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ ผมบอกพวกเขาว่าผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่โปรดช่วยรักษาผมอย่างคนมีชีวิต...ไม่ใช่คนตาย"

เจอร์รี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอ แต่มันก็เป็นเพราะทัศนคติต่อชีวิตอันแสนจะน่าทึ่งของเขาด้วย ฉันได้เรียนรู้จากเขาว่า ทุกๆ วันคุณมีทางเลือกของชีวิต คุณเลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดชีวิตของคุณเองก็ได้ สิ่งเดียวที่เป็นของคุณจริงๆ และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้ก็คือ 'ความคิดและทัศนคติ' ของคุณเอง เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสามารถใส่ใจกับมันได้อย่างอื่นในชีวิตของคุณก็จะง่ายดายมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หยุดและคิด



คำพูดที่ขัดแย้งกันแต่เป็นความเป็นจริงในช่วงเวลาของเราคือ
เราสร้างตึกที่สูงขึ้น แต่วัดที่เตี้ยลง
เรามีทางด่วนที่กว้างมากขึ้น แต่มีทัศนคติที่แคบลง
เราใช้จ่ายมากขึ้น แต่เรามีน้อยลง
เราซื้อมากขึ้น แต่เรามีความสุขกับของนั้นน้อยลง

เรามีบ้านที่ใหญ่มากขึ้น แต่มีครอบครัวที่เล็กลง
เราสะดวกสะบายมากขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง
เรามีการศึกษามากขึ้น แต่มีสามัญสำนึกน้อยลง
เรามีความรู้มากขึ้น แต่มีการตัดสินน้อยลง

เรามีผู้ชำนาญการมากขึ้น แต่ก็มีปัญหามากขึ้น
เรามียามากขึ้น แต่ความ"อยู่ดี"น้อยลง
เราเพิ่มพูนสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ แต่ลดค่าของมันลงไป
เราพูดมาก แทบจะไม่ให้ความรัก และก็เกลียดกันบ่อยเกินไป

เราเรียนรู้ว่าจะหาเลี้ยงชีวิตอย่างไร
แต่เราไม่ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร
เราทำให้การมีชีวิตยาวนานขึ้น แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง
เราเดินทางไปกลับถึงพระจันทร์ แต่เรามีปัญญาแค่จะเดินข้ามถนนไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน
เราชนะปัจจัยภายนอก แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใน

เราทำให้อากาศสะอาดขึ้น แต่เราทำให้วิญญาณของเราสกปรก
เราสลายอะตอม แต่ไม่ใช่ความลำเอียง
เรามีเงินเดือนมากขึ้น แต่ศีลธรรมน้อยลง
เรามีปริมาณมากขึ้น แต่คุณภาพน้อยลง

ยังมีช่วงเวลาของชายที่สูงใหญ่ แต่ไม่มีลักษณะเฉพาะตัว
มีกำไรมากมาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้คน
ยังมีช่วงเวลาที่โลกสงบสุข แต่ยังมีสงครามภายใน
มีกิจกรรมมากขึ้น แต่สนุกน้อยลง

มีอาหารหลากชนิดมากขึ้น แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร
ยังมีช่วงเวลาที่คนแต่งงานกันมากขึ้น แต่ก็มีการหย่าร้างกันมากขึ้น
มีบ้านที่สวยงาม แต่ก็มีบ้านแตกสาแหรกขาด
มันคือช่วงเวลาที่มีอะไรมากมายโชว์อยู่ตรงหน้าต่าง 
แต่ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเก็บสต๊อกเลย
คือเวลาที่เทคโนโลยีสามารถนำจดหมายฉบับนี้มาสู่ท่านได้

"สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับผู้ที่มองโลกในแง่ดี"