หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิทานนานาชาติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นิทานนานาชาติ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

แครอท ไข่ และกาแฟ

วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและอยากยอมแพ้เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย

ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า

"ลูกเห็นอะไรบ้าง"
"แครอท ไข่ กาแฟ" เธอตอบ

เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุกแล้ว ท้ายที่สุดเขาให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดู เธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น แล้วค่อยๆถามว่า "นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ"

พ่ออธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิมแครอทดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก ไข่ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป

แล้วลูกล่ะเป็นอะไร พ่อถามลูกสาว เมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไร ลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ

แล้วคุณล่ะ?

แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอ และสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป

หรือจะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรก จิตใจอันอ่อนไหวของคุณจะเป็นอย่างไรหลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการไล่ออกจากงาน หัวใจของคุณหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิม หากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณเล่า มันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง

หรือคุณเหมือนเมล็ดกาแฟ เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากคุณเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว คุณยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

รอยตะปู กับ คำขอโทษ


กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังแสดงสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก บิดาของเขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่ง และบอกกับเขาว่า

"ทุกครั้งที่เจ้าโมโหหรือรู้สึกโกรธใครสักคน
ก็ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้าน"

หนึ่งวันผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าที่รั้วหลังบ้านถึง 38 ตัว และก็ตอกลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง และน้อยลง ทั้งนี้เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ให้โกรธนั้น ง่ายกว่าการตอกตะปูเยอะเลย และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา 
พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายของเขาว่า

"ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อเห็น
โดยทุกๆ ครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" 

วันเวลาผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว
จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3
จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด
เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า
"ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!"

พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน
และบอกกับลูกว่า
"ทำได้ดีมากลูกพ่อ ตอนนี้เจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ
เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิมอย่างที่มันเคยเป็น ...

จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้ใช้คำพูด ว่า "ขอโทษ" สักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น

กับ "เพื่อน" .. เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ ... 
แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ " ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบหากันให้ยืนยาวนั้น เราจะต้องประคองสติไว้ให้มั่น หากทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นใหญ่แล้ว อาจเกิดผลเสียที่ไม่สามารถแก้ไขให้เหมือนเดิมได้ "มิตรภาพ" กว่าจะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องใช้เวลาและความจริงใจเป็นเครื่องพิสูจน์ มิตรภาพที่เกิดจากความจริงใจ ย่อมไม่สั่นคลอนง่ายๆ เพียงเพราะอารมณ์ แต่จะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเราจะรักษามิตรภาพที่มีต่อกันไว้ โดยไม่ให้มีอะไรมาทำให้เป็นรอยด่างพร้อย จงมีสติอยู่กับปัจจุบันเสมอ และเราจะสามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้อย่างมั่นคง 

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย (ข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เราได้คิดได้ทบทวน)

นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง  
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน
เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล

และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว
ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ
"ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ
เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิ้ลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย

ต้นไม้ดูเศร้า......
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น
ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว
ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"

"ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน"

ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น
ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

"ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ต้นไม้ตอบ

ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย

หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก

ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว"

"ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว
ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"

"ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"
"รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย....."

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน ต้นไม้ในเรื่องคือ พ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อและแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร...พ่อและแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้ หวังเพียงเรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?

........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???