หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ดูการ์ตูนสะท้อนปัญหาสังคม

อยากให้คนไทยได้ดูการ์ตูนมาริโอ้ (Mario) เรื่องนี้ เป็น Youtube ที่มีคนเอามาโพสไว้ ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่เรื่องราวตรงกับสถานการณ์เสื้อเหลือง เสื้อแดงในบ้านเราตอนนี้ ถ้าคนไทยเรารักและสามัคคีกัน รักพ่อหลวงของเราเหมือนกัน ปัญหาใดๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็ไม่อาจมาทำลายความสมานฉันท์ของเราได้ คำถามคือ คุณแน่ใจหรือ ว่าคนที่พยายามเรียกร้องหา "ความยุติธรรม" โดยทำให้คนไทยแบ่งสีแบ่งพวกกัน และสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองนั้น เขารักพ่อหลวงของเราจริงๆ หรือ?  อยากให้คนไทยรักกันค่ะ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

สัมมาวาจาที่แท้จริง

ในยุคที่การลดความอ้วนเป็นแฟชั่น หลายคนดีใจเมื่อเพื่อนทักว่า "คุณผอมลงนะ"

คนขับแท็กซี่หลายคนชอบเปิดเพลงในรถ ด้วยเจตนาดีที่หวังบริการลูกค้ามากกว่าแค่การไปถึงจุดหมาย

เพื่อนร่วมงานไม่น้อยชอบเปิดเพลงดัง ด้วยเจตนาดีหวังให้คนอื่นได้อิ่มเอิบกับดนตรีด้วย

ฝรั่งมีวลีหนึ่งว่า Take it for granted หมายถึง  การทึกทักเอาเองว่าอีกฝ่ายหนึ่งยินยอม เช่น หยิบกระดาษบนโต๊ะของเขาไปใช้โดยไม่ขออนุญาตก่อน ตักอาหารให้เขา ตบไหล่ของเขา ฯลฯ

เจตนาดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สัมมาวาจาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"คุณผอมลงนะ"  : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยากผอม ?

"เมื่อไรคุณจะมีลูก  : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ป็นหมัน หรือกำลังกลุ้มใจที่ไม่มีลูก ?

"เมื่อไรจะเลิกเช่าบ้านอยู่เสียที ?" : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีเงินเหลือ

"ชุดสีเขียวไม่เข้ากับคุณเลย" : คุณรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รักสีเขียวอย่างที่สุด ?

เจตนาดีจะสมบูรณ์เมื่อมาพร้อมสัมมาวาจา

"คุณผอมลงนะ" ในความหมายว่าเขาอ้วนเกินไป อาจพูดว่า "คุณดูดีขึ้นนะ"

"คุณผอมลงนะ" ในความหมายว่าเขาผอมเกินไป อาจพูดว่า "ดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่ามัวแต่ทำงานล่ะ"

สุนทรภู่เขียนไว้ว่า "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย" มิได้หมายความว่าเราต้องโกหกตอแหล แต่การเอาใจเขามาใส่ใจเราทำให้เราไม่ไปทำร้ายจิตใจใครโดยไม่รู้ตัว

คำ พูดง่ายๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่กลั่นกรองจากใจและปาก อาจช่วยทำให้คนฟังมีความสุขทั้งวันหรืออาจดจำได้ไปตลอดชีวิต และนั่นคือสัมมาวาจาที่แท้จริง

จากหนังสือ รอยเท้าเล็กของเราเอง เขียนโดย วินทร์ เลียววาริณ
ตอนหนึ่งในหนังสือ เรื่อง เจตนาดีกับลมปาก 

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

ศักดิ์ศรีของคุณอยู่ที่ไหน?

“ศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่ที่คุณค่า
ไม่ใช่เงินหรือความงามของรูปกายหรือยศ
ความเป็นมนุษย์อยู่ที่คุณค่า ซึ่งสูงกว่าเรื่องทางกามหรือวัตถุ  
มนุษย์ทุกคนควรสร้างจิตสำนึกของความเป็นคนโดย
เคารพความเป็นคนของตนเองและของผู้อื่น”

- ศ.นพ ประเวศ วะสี

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

79 เรื่องจริง ถึงจะขำแต่ก็เถียงไม่ออก

01. ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเสมอ

02. หน้าหม้อ ไม่ได้แปลว่า จีบหญิงเก่ง คนจีบหญิงเก่งแล้วไม่โม้ก็มีถมไป

03. คนต่างชาติมาเมืองไทยเพื่อสักการะวัดพระแก้ว คนไทยไปยุโรปเพื่อไปสักการะร้าน GUCCI

04. คำว่า “จู๋” กะ “จิ๋ม” ไม่ได้เป็นคำหยาบ …สามารถพูดได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม

05. ซื้อคอมใหม่ดีกว่า upgrade คอม เพราะไม่เกินครึ่งปี คุณก็จะเบื่อคอมเครื่องนั้นอยู่ดี

06. คนเราเปิด dictionary แล้วเราก็ลืมคำคำนั้นไป

07. ช่างกลนิสัยดีก็มี …แต่น้อย

08. ความอยากได้ของถูก ทำให้เราซื้อของราคาแพง

09. เราเรียกมันว่าน้ำหอม… แต่ฉีดมากก็เหม็น

10. ยุคนี้แล้ว พกแผ่น diskette เปล่าติดตัวไว้สักแผ่นนึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย

11. วัยรุ่นบางคนไม่อายที่จะเต้นท่าแปลกๆใน RCA แต่อายที่จะต้องซื้อถุงยางในร้าน 7-11 ที่อยู่แถวๆนั้น

12. “ประเทศกำลังพัฒนา” เป็นคำปลอบใจให้ประเทศที่ยังไม่พัฒนา

13. คนไทยหลายคนรู้จักตึก WTC ก็ตั้งแต่ตอนที่มันถล่มนี่แหละ

14. ข้อดีข้อเดียวของคนที่เลวสุดขั้วคือ มันทำให้เราดูดีขึ้นเมื่อไปเทียบกะมัน

15. อย่าตั้งความหวังว่าจะไปซื้ออะไรที่จตุจักร ให้ไปเดินดูของก่อนและค่อยนึกว่าจะซื้ออะไร

16. อย่าหลงกลไอ้พวก “โป๊มั้ยพี่” ที่โซนหนังสือจตุจักรเด็ดขาด ราคาสินค้าของมันซื้อแผ่น vcd ที่พันธุ์ทิพย์ได้ครึ่งโหล

17. ทุกวันนี้ เราหาซื้อ VCD ได้ง่ายกว่า VDO แล้ว

18. บางครั้งมิตรภาพในอินเตอร์เนทมันก็ยั่งยืนมากกว่ามิตรภาพในโลกความจริง

19. อย่าคิดจะหาแฟนในเนทเพราะคิดว่าเขาจะหล่อ หรือ เธอจะสวย

20. ข้อมูลที่คุณอยากรู้ มีอยู่ในอินเตอร์เนททั้งนั้นแหละ แต่คุณจะ search หามันเจอรึเปล่าเท่านั้นเอง

21. ถ้าคุณไม่โปรจริง … คุณจะไม่เจอเว็บโป๊ที่ไม่ต้องเสียตังค์

22. เครื่องคอมมันก็ระเบิดได้…

23. ผู้หญิงบางคนพูดคำหยาบมากกว่าผู้ชายอีกนะ …

24. บางอัลบั้ม …เพลงหน้า B เพราะกว่าหน้า A

25. อาหารในโรงแรมรสชาติมักไม่เอาไหน …

26. หนังฟอร์มยักษ์จะไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่มีคนที่เรียกว่า “ตัวประกอบ”

27. และแน่นอนว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ราคา 50000 บาทจะไม่มีค่าอะไร ถ้าคุณไม่ได้ซื้อเม้าส์กะคีย์บอร์ดราคา 500 บาทมาด้วย

28. แม่ค้าดีๆเขาไม่เอากระดาษมาปิดตาชั่งด้านนึงหรอก

29. หมามันก็ละเมอเหมือนเราน่ะแหละ

30. คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นเกย์ !!!

31. คนไทย copy ทุกอย่างที่ญี่ปุ่นบอกว่า “copy ไม่ได้” …

32. อาหารไทยเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก!!!!

33. อย่ารีบซื้ออัลบั้มเพลง RS รออีก 2 เดือนมันจะออกอัลบั้มขอบคุณแฟนเพลงเปลี่ยนปก พร้อม 2 เพลงใหม่

34. พนักงานร้านเซเว่นจะไม่ถามคุณว่า “รับ hotdog ทานเพิ่มมั้ยคะ” ถ้าคุณซื้อถุงยาง…

35. นอนตื่นสายไม่ได้ทำให้เราหายง่วง

36. นักวิจารณ์หนังไม่ใช่พระเจ้า …อย่าไปเชื่อมัน

37. ฝรั่งหลายคนรู้จักเมืองไทยเพราะสถานที่ที่เรียกว่า “พัฒน์พงษ์”

38. ดาราบางคนดังได้เพราะเธอกลัวส้มตำ

39. คนบางคนเต็มใจซื้อดอกไม้วันวาเลนไทน์ให้แฟนราคา 2500 บาท แต่อิดออดใจที่จะซื้อดอกมะลิแค่ 10 บาทให้แม่ตอนวันแม่

40. หัดใช้ hot key เวลาเล่นคอมบ้าง อย่าใช้เม้าส์อย่างเดียว

41. เราน่าจะเพิ่มความเร็วให้บันไดเลื่อน เพราะทุกวันนี้มีคนเดินบนบันไดเลื่อนเต็มไปหมด

42. อย่าเอาอะไรกับการ์ตูนมากเลย เขาสร้างขึ้นมาเพื่อ entertain” เรานะ

43. หน้าปกหนังสือวรรณกรรมต่างประเทศมักมีเพียงชื่อเรื่องและชื่อคนแต่ง แต่ถ้ามันถูกแปลเป็นภาษาไทย มันจะมีทั้งคำนิยมของบุคคลผู้มีชื่อเสียง ราคาและคำชวนเชื่อทั้งหลาย (harry potter เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน)

44. สารภาพมาซะ … คุณเคยฉี่ในสระว่ายน้ำ

45. เราไม่จำเป็นต้องขำตามเสียงหัวเราะ เวลาเราดู sitcom ใน UBC Series

46. คนผิวดำก็สวยและ sexy ได้

47. ถึงไอ้ร้าน MK มันจะแพงแค่ไหน …เราก็เห็นคนนับร้อยต่อแถวรอกิน

48. สินค้า “MADE IN THAILAND” หลายอย่าง หาซื้อในประเทศไทยไม่ได้

49. ตั้งแต่เกิดมา ปากกาผ่านมือมานับร้อยด้าม แต่ใช้จนหมึกหมดด้ามไม่เกิน 20 ด้าม

50. รถเมล์ที่เราจะขึ้นมันจะไม่โผล่มาตอนที่เราต้องการหรอก แต่ถ้าวันไหนไม่อยากขึ้นนะ …วิ่งกันเต็มถนนเลย

51. จะมีสักกี่คนเชียวที่ใช้ function มือถือของตัวเองครบ”ทั้งหมด”

52. เศรษฐีบางคนใช้ PCT…แต่ salary man บางคนใช้ nokia 8850 (ที่ผ่อน 24 เดือน)

53. ก่อนสั่งอาหารไทยชื่อแปลกๆ ลองถามบ๋อยก่อนว่าหน้าตามันเป็นยังไง

54. บางครั้งคำปลอบใจก็ยิ่งทำให้เจ็บปวด

55. ความสุขกับความทุกข์มักมาด้วยกัน เพียงแต่อันไหนจะมาถึงก่อนแค่นั้นเอง

56. อเมริกาไม่ใช่ประเทศที่ประเสริฐเหมือนพระเจ้า จะไปศรัทธาเขาทำไม

57. หนังสือคอมส่วนใหญ่มักจะแพงเกินเหตุ

58. …แถมอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีกต่างหาก

59. ไม่ว่าคอมคุณจะเร็วสักเท่าไร ไม่เกินปีมันก็จะต้องเป็นคอมตกรุ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

60. ผู้หญิงที่หน้าเหมือน “นังชะนีทะเล” ในสายตาเรา อาจจะเป็น “นางฟ้า” ในสายตาเพื่อนเราบางคน…

61. การเล่นพนันจะทำให้เราได้เพื่อนและศัตรูเพิ่มขึ้นพร้อมๆกัน

62. บางครั้งเทคโนโลยีมักจะทำให้เราลำบากขึ้นกว่าเดิม

63. นักบุญของนักเล่นเนทคือคนทำเว็บแจกภาพโป๊ฟรี!!!

64. ไอติมโบราณ กาแฟโบราณ ก๋วยเตี๋ยวโบราณ ฯลฯ … มันก็คือของกินธรรมดานั่นแหละ

65. สักวันนึง…กระแสการกินเจคงจะบูมจนแมคโดนัลด์หันมาทำ happy meal เจ หลังจากมี แมคส้มตำแล้ว

66. ขณะที่เรากำลังละเลียดจิบเบียร์ที่ลานหน้า WTC …มีขอทานบางคนแถวนั้นกำลังจะหนาวตาย…

67. ขอสาบาน …ไอติมกะทิไผ่ทองถ้วยละ 10 บาทอร่อยกว่าไอติมฮาเก้น ดาซ ลูกละ 88 บาท

68. กะเทยมักให้คำปรึกษาด้านความรักได้ดี …เพราะมันเข้าใจทั้งชายและหญิง

69. บางคนจำวันเกิดเพื่อนได้ครึ่งห้อง แต่จำวันเกิดพ่อแม่ 2 คนไม่ได้

70. ร่างกายที่เข้มแข็งมักมาทดแทนจิตใจอันบอบบาง …

71. ตุ๊กตากิ๊กก๊อกจากเมืองจีนตัวละไม่กี่บาท สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาราคาเป็น 40-50 บาทได้ถ้ามันเป็นพรีเมี่ยมของ Mc Donald

72. “สติ” มันไม่ค่อยจะอยู่กับเราตอนที่เราต้องการมัน

73. ฐานะทางการเงินไม่ได้เป็นปัจจัยกำหนดรสนิยม

74. ข้อดีของการโกหกตัวเองคือ มันทำให้เราสบายใจได้ในเวลาสั้นๆ

75. เรามักกลัวอนาคตกันไปเอง…

76. ทุกครั้งที่เราดูหนังในโรงหนัง จะต้องมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังอย่างน้อย 1ครั้ง…รับรอง

77. บ่อยครั้งนักที่เราซื้อหนังสือมาแล้วอ่านไม่จบ …หรือไม่ได้แตะเลย

78. ในบางโอกาส “ไม่รู้” ก็ดีกว่า “รู้”

79. การตัดผมมักจบลงด้วยความผิดหวังและความไม่มั่นใจ
.

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

ธรรมะจากหลวงพ่อคูณ

กูก็อยู่ ของกู อยู่ดีดี
คนนั้นที คนนี้ที รี่มาหา
มากันจน ล้นวัด เปี่ยมศรัทธา
ราวกับว่า ทั้งจังหวัด มีวัดเดียว

มาให้กู โขกเขก มะเหงกงุ้ม
กูสุดกลุ้ม เปลี่ยนเป็นไม้ ให้หวาดเสียว
มันกลับดัง ขลังกว่า แห่มาเกรียว
กระทั่งเยี่ยว ยังแย่งจอง เป็นของดี

จะพร่ำบอก อย่างไร ไม่รับรู้
ว่าตัวกู มิได้ ประเสริฐศรี
มันกลับมอง ตัวกู ปูชนีย์
ใช้เป็นที่ ดับร้อน ผ่อนลำเค็ญ

ขยับเขยื่อน เคลื่อนไหว เป็นใบ้หวย
สิบคนรวย ล้านคนจน ไร้คนเห็น
ไอ้สิบคน ก่นเล่า เช้ายันเย็น
กูเลยเป็น เซียนใบ้หวย ด้วยอีกคน

ท่านั่งยอง ของกู ก็หรูเฟื่อง
เป็นพระเครื่อง คณารุ่น วุ่นสับสน
บ้านจัดสรร กอล์ฟคลับ ยังสัปดน
ย่องนิมนต์ กูโปรโมท โฆษณา

บ้างเอากู เลี่ยมทอง ผุดผ่องใส
หวังใจให้ คุ้มกัน ผองปัญหา
แล้วเกิดกู เคราะห์กรรม กระหน่ำพา
ใครจะมา ช่วยดึง มึงคิดดู

ขนาดเก๋ง เยอรมัน คันเป็นล้าน
ชนสะท้าน ท้ายยุบ ก้นบุบบี้
ตัวกูจริง เสียงจริง ยังกลิ้งรู
นอนคุดคู้ รอมึงช่วย ด้วยเหมือนกัน


วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

30 ข้อคิดในการใช้ชีวิต

ข้อมูลนี้ได้มาจากเพื่อนนานมาแล้ว พออ่านแล้ว ก็ชอบทันทีเลยพิมพ์เก็บไว้ ทุกๆ ข้อขอให้เพื่อนๆ อ่านและคิดตาม เชื่อว่าเพื่อนๆ จะได้หลักธรรม หรือหลักความจริงในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทีเดียว

1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยให้เขาฟุ้งไปตามสบาย

3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางที มันก็มาถึงแบบแว่วๆ เท่านั้น

4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง

5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ และเติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่นจนติดเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิด ล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งสิ้น

8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถิด

9. ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้

10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่สอง แต่อย่าให้ถึงสาม

11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ

12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมากถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก

13. ใช้เวลาน้อยๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ให้ใช้เวลาให้มาก ในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก

14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน

15. คิดให้รอบคอบ ก่อนจะต้องให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ

16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน

17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่

18. เป็นคนถ่อมตน  คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิด

19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

20. ถึงแม้ยากที่จะหาความยุติธรรมได้ในสมัยนี้ แต่จงทำตนให้มีความยุติธรรมประจำใจ

21. อย่าให้ปัญหาของเรา ทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"

22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมี ก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์, ไมเคิลแองเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั้นแหละ

23. เป็นคนเด็ดเดี่ยวและใจกล้า เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตนเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น

25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

26. ไอเดียดีๆ ใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่ ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น ไม่ใช่มาจากการระดมสมอง

27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น

28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้น จะกระจอกงอกง่อยสักปานใด

29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่ามีชีวิตให้ "ยืนยาว"

30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย (ข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เราได้คิดได้ทบทวน)

นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง  
และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน
เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล

และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล
เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว
ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ
"ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ
เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข
หลังจากเขาเก็บแอปเปิ้ลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย

ต้นไม้ดูเศร้า......
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น
ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก
"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว
ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม"

"ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้างบ้าน"

ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก

"มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม
"เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น
ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

"ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ต้นไม้ตอบ

ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ
เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย

หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา
คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก

ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว"

"ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว
ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว" เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"

"ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"
"รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้
...... มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ...หลับให้สบาย....."

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล........

นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน ต้นไม้ในเรื่องคือ พ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อและแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร...พ่อและแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้ หวังเพียงเรามีความสุข

คุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?

........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

"เกิด-ดับ" เป็นของคู่กัน

คำสอนจากหลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านสอนไว้ว่า
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด
จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติธรรมชาติ
และเฝ้าดู...เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป
มันก็ง่ายๆ...อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน
บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่
เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
จงรู้ทันมัน และเอาชนะมัน
โดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย
อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว
อย่าวิตกกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน
อย่าสนใจกับระยะทางของถนน
หรือกับจุดหมายปลายทาง
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป....อย่าไปยึดมั่นไว้
ในที่สุด....จิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต
และเมื่อนั้น....การปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
ทุกสิ่งทุกอย่าง...จะเกิดขึ้นและดับไป
ในตัวของมันเอง
.
.
สาธุ

THE PRESENT – ของขวัญที่ต้องหาด้วยตนเองเท่านั้น

ผู้เฒ่าใจดีผู้อยู่ข้างบ้านบอกเด็กน้อยว่า  ในโลกนี้มีของขวัญ (PRESENT) อยู่ชิ้นหนึ่งที่เลิศกว่าของขวัญใดๆทั้งสิ้นที่เจ้าหนูจะได้รับในชีวิต เพราะมีคุณค่าอย่างที่สุด

เจ้าหนูถามว่าทำไมมันจึงมีค่ามากนัก  ผู้เฒ่าก็ตอบว่า เพราะเมื่อใครได้รับ THE PRESENT  นี้แล้วจะมีความสุขมากขึ้น  และสามารถทำสิ่งต่างๆตามที่ต้องการได้ดีกว่าเดิม

เมื่อเจ้าหนูโตขึ้น ในเวลาว่างก็รับจ้างตัดสนามหญ้า  มีความสุขร้องเพลงไปทำงานไป  ใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอย่างเต็มที่  และมักถามผู้เฒ่าว่า THE PRESENT คือไม้วิเศษที่ชี้และเสกคาถาบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้  ให้รวยก็ได้  ไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ... ใช่ไหม

ผู้เฒ่าตอบว่าไม่ใช่โดยตรง แต่ THE PRESENT นี้จะทำให้เจ้ารวยได้ในหลายลักษณะ  มูลค่าของมันไม่อาจวัดได้ด้วยทองคำหรือเงิน

เจ้าหนูก็รู้สึกมึนๆกับคำตอบนี้

หลายปีผ่านไป  เจ้าหนูก็โตขึ้นเป็นหนุ่มและเริ่มทำงาน  เมื่อพบกันก็รบเร้าถามอีกว่า THE PRESENT นั้นคืออะไร  จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร  และความสำเร็จคืออะไร

ผู้เฒ่าก็ตอบว่า ความสำเร็จคือ การก้าวกระเถิบเข้าใกล้สิ่งอะไรก็ได้ที่เราคิดว่าสำคัญ  อาจเป็นการได้คะแนนดีขึ้น เล่นกีฬาเก่งขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ ได้เงินเดือนขึ้น มีความสุขกับชีวิต  ร่ำรวย  ได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ...

ความสำเร็จคือสิ่งที่เราทุกคนต้องให้คำจำกัดความด้วยตัวของเราเองในแต่ละขั้นตอนของชีวิต

เมื่อเจ้าหนูทำงานก็ประสบปัญหาผิดหวังที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง  รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเพราะทำงานหนัก และผิดหวังกับความรัก เวลาทำงานใจก็คิดล่องลอยว่าถ้าทำงานที่อื่นจะมีความสุขกว่าไหม ทำงานนานกว่านี้จะได้เป็นอะไร หรือจะถูกไล่ออกไหม ถ้าได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็คงไม่ต้องเลิกกับแฟน โกรธ ผิดหวังที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง กล่าวคือขาดความสนใจในงานที่ทำอย่างแท้จริง  เพราะไปอยู่ในอดีตและในอนาคตเสียหมด  ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน จนการงานตกต่ำ  ชีวิตขาดความหวัง เมื่อหาทางออกไม่ได้  ก็ไปหาผู้เฒ่าทวงถาม THE PRESENT เพื่อจะเอามาแก้ปัญหา

ผู้เฒ่าก็ถามว่าทำไมตอนเป็นเด็กตัดสนามหญ้าจึงมีความสุขมาก เจ้าหนุ่มก็บอกว่า  เพราะตอนนั้นคิดเรื่องตัดหญ้า  ยิ่งตัดได้ดีก็ยิ่งมีคนจ้าง

ผู้เฒ่าก็บอกว่า  ฟังให้ดีนะ  THE PRESENT  นั้นคือของขวัญที่เจ้าจะต้องหาให้ตัวเอง ไม่มีใครให้ใครได้  และตัวเองเท่านั้นที่จะมีอำนาจค้นพบว่ามันคืออะไร

เจ้าหนุ่มหลบไปอยู่กระท่อมบนภูเขาคืนหนึ่งคนเดียว  ได้ไปเห็นเตาผิงที่เรียงด้วยก้อนหินสวยงามยิ่ง ก็ฉุกคิดว่า  ตอนสร้างเตาเขาคงต้องให้ความสนใจและทำงานอย่างเต็มที่แก่งานนั้น โดยไม่นึกถึงสิ่งอื่นใดเลยจึงสามารถสร้างสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ได้และนึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าที่ว่า  หากจะหา THE PRESENT ให้พบ  ต้องพยายามนึกถึงเวลาเมื่อมีความสุขที่สุด คิดไปๆ ก็นึกได้ว่า คนเราเมื่อมีจิตมุ่งเต็มที่ และมีความพอใจกับสิ่งที่ทำ ก็จะมีความรู้สึกดีมีความสุข

เขานึกขึ้นมาได้ทันทีว่า THE PRESENT (ของขวัญ) ที่เขามองหาอยู่ที่แท้ก็คือ THE PRESENT ที่หมายถึงปัจจุบันนั่นเอง

การหา ... ของขวัญ... เจอก็คือการตระหนักว่า  ต้องอยู่กับห้วงเวลาปัจจุบัน

เน้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกระทำอยู่ในปัจจุบัน ซาบซึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น  คนเราเมื่ออยู่ในปัจจุบันโดยไม่ถูกกระทบกระทั่งโดยสิ่งที่เรียกว่า noises or disturbances จากการกระทำในอดีตหรือจากความฝันเฟื่องหรือจากความกังวลใจกับอนาคต แล้วก็จะรู้สึกมีความสุขและรู้สึกว่าประสบผลสำเร็จ

เขาดีใจมากรีบไปหาผู้เฒ่า ผู้เฒ่าก็หัวเราะชอบใจและบอกว่าเจ้าได้พบ THE PRESENT แล้ว มันเป็นของขวัญที่เจ้าให้กับตัวเอง

นั่นก็คือการมุ่งเน้นคิดถึงสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นเพราะมันจะทำให้เจ้ามีพลังและศักยภาพในการทำงานได้เต็มที่และจะมีความรู้สึกเป็นสุข ในเวลาปัจจุบันเมื่อประสบบางสิ่งที่เลวร้ายขอให้นึกถึงสิ่งดีๆ ที่เจ้ามีอยู่  และพยายามมองหาสิ่งดีๆที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งร้ายๆ นั้น  เพื่อให้มีพลังและความเชื่อมั่นไปสู้กับสิ่งเลวร้ายนั้น

หลัก 3 ข้อที่ต้องจำก็คือ

1.เน้นให้ความสำคัญแก่ห้วงเวลาปัจจุบัน
2.ซาบซึ้งและหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่
3.ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน
            
ในกรณีของเจ้าถึงไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ผิดหวังในความรัก เจ้าก็ยังมีงานที่ดีทำในองค์กรที่มั่นคงมีอนาคต มีโอกาสพบผู้หญิงอีกมากมาย อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดหรือความเจ็บปวดในอดีตหรือความกังวลเกี่ยวกับอนาคตมารบกวน

วันเวลาผ่านไป  เจ้าหนุ่มก็กลับมาหาผู้เฒ่าอีกและถามว่าผมไปคิดๆ ดู  เราจะมุ่งเน้นแต่ปัจจุบันโดยไม่สนใจอดีต และอนาคตเชียวหรือ  ของขวัญชิ้นสำคัญนี้จะเพียงพอต่อการมีความสุขในชีวิตและในการทำงานตลอดไปจริงหรือ

ผู้เฒ่าก็บอกว่า เพียงพอแน่นอนแต่เจ้าต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องอดีต  อนาคต และปัจจุบันอย่างสมดุลกัน เราต้องเรียนรู้อดีตที่ผิดพลาดเพื่อเอาไว้เป็นบทเรียนหรือถ้าเป็นสิ่งที่ทำไว้ดีในอดีตก็ต้องเอามาศึกษาเช่นกัน  ส่วนอนาคตนั้นเราต้องวางแผนเพราะการวางแผนสำหรับอนาคตจะช่วยลดความกลัวและความกังวลใจลง  เราต้องมีการวางแผนตราบที่เราต้องการให้อนาคตดีกว่าปัจจุบัน

ผู้เฒ่ากล่าวต่อว่า  ลองจินตนาการกล้องถ่ายรูปที่ตั้งอยู่บนฐานสามขา  ขาแรกคือการเรียนรู้จากอดีต  ขาที่สองคือการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  และขาที่สามคือการวางแผนสำหรับอนาคต  ทั้งสามขาต้องสมดุลกันเพื่อสนัสนุนกล้องถ่ายรูปที่หาค่าไม่ได้นั้น

ถ้าไม่อยู่กับปัจจุบันก็จะไม่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา  ถ้าไม่เรียนรู้จากอดีตก็วางแผนอนาคตไม่ได้และถ้าไม่มีแผนสำหรับอนาคตก็จะล่องลอยอย่างไร้ความหมาย

วันหนึ่งชายหนุ่มก็ประสบกับโลกแห่งความเป็นจริงว่าผู้เฒ่าได้จากเขาไปแล้ว เขาเศร้าเสียใจและยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าซึ่งประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน
เป็นคนมีความสุขมีความสงบมีพลังล้นเหลือและเป็นที่รักเคารพของคนทั่วไป

เขาสงสัยว่าทำไมผู้เฒ่าถึงยอมเสียเวลามากมายกับเขาและเด็กๆแทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นไปหาความสุขอย่างอื่น และเขาก็ตระหนักว่าเพราะผู้เฒ่ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่จะเผยแพร่เรื่อง THE PRESENT และให้ปัญญา (wisdom) แก่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้พบความสุข ทุกอย่างที่ผู้เฒ่าทำไปล้วนมี sense of purpose ทั้งสิ้น

และเขาก็เข้าใจว่า sense of purpose ในชีวิตนี้แหละที่เป็นตัวเชื่อมต่ออดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน และให้ความหมายแก่ชีวิต

เขาเข้าใจว่าการมีชีวิตอยู่อย่างมีจุดมุ่งหมายนั้นไม่ได้หมายถึงการรู้ว่าจุดหมายคืออะไรหรือรู้ว่าต้องทำอะไรเท่านั้น หากต้อง รู้ว่า..ทำไม..ด้วยการมีชีวิตอย่างมีจุดหมายอย่างคำนึงถึงแต่ปัจจุบันโดยเรียนรู้จากอดีตและมีการวางแผนชีวิต  ไม่ใช่การวางแผนชีวิตที่ใหญ่โตอะไร มันเป็นวิธีการปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันที่ได้ผลและทำให้มีความสุขในชีวิต ซึ่งในที่สุดจะทำให้มีความสามารถในการนำ บริหารจัดการ สนับสนุนช่วยเหลือ เป็นมิตรกับผู้คนและให้ความรักกับคนอื่นๆได้ดียิ่งขึ้น

เสียงหัวเราะของเด็ก  เสียงร้องอันไพเราะของนก  ความงดงามของต้นไม้ดอกไม้ ใบหญ้า  ความสุขจากการอยู่กับคนที่รัก  ความสุขจากความรักในครอบครัว ความงดงามที่ได้รับจากเพื่อนมนุษย์  ความสุขจากการให้  ความสุขทางกายและใจต่างๆแม้เล็กน้อยเพียงใด  ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อยล้วนเป็นเรื่องของปัจจุบันที่สามารถตักตวงความสุขมาได้อย่างเบิกบานทั้งสิ้นโดยมิพักต้องกังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง

ถ้าท่านชอบนิทานเรื่องนี้  กรุณาช่วยผู้เฒ่าใจดีของเราโดยการเผยแพร่ให้คนอื่นๆ ต่อไปด้วยค่ะ
 
บทความจาก วรากรณ์ สามโกเศศ หนังสือพิมพ์มติชน
..

ของขวัญแห่งปัจจุบันกาล


“จงมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่  ดีกว่ามีความทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี”
“ความกังวลเหมือนเก้าอี้โยก คือทำให้เรามีอะไรทำ  แต่ไม่ได้ช่วยให้เราไปไหนเลย”
“สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ”

คำพูดเหล่านี้ได้ยินมานาน  แต่เมื่อได้อ่านหนังสือน่าสนใจอย่างยิ่งที่เพิ่งออกมาใหม่เมื่อเร็วนี้ๆ ชื่อ “THE   PRESENT” ของนายแพทย์นักเขียน DR. SPENCER JOHNSON ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหนังสือฮิตติดอันดับโลกแน่นอนในเวลาอันใกล้นี้  ก็ทำให้สามารถเข้าใจความโยงใยของคำพูดเหล่านี้  และได้รู้หลักการในการทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นจากอีกแง่มุมหนึ่ง

"Look at what happened in the past, learn something valuable from it, use what you learn to improve the present."
-- Spencer Johnson"

Dr. Johnson คือผู้เขียนหนังสือฮิตติดอันดับหนึ่งของโลกเมื่อ 3-4 ปีก่อน “WHO MOVED MY CHEESE ?” หนังสือเล่มเล็กแทรกรูปวาดที่สอนให้เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของนิทานสมัยใหม่

ครั้งนี้ก็มาในรูปแบบเดียวกันคือ เป็นหนังสือเล่มเล็กหนาเพียง 104 หน้า เป็นเรื่องเล่าของคำสอนที่ผู้เฒ่าอุดมปัญญาให้แก่เด็กน้อย ถึงวิธีที่จะมีความสุข  ประสบความสำเร็จในชีวิตและในการทำงาน หนังสือเล่มนี้โดยแท้จริงแล้ว  เขียนขึ้นในสไตล์ใหม่จากเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของผู้เขียนคนเดียวกันนี้ที่ตีพิมพ์ในปี 1984 ในชื่อว่า “ THE  PRECIOUS  PRESENT”
....