หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ชีวิตคือเกม

หากเปรียบชีวิตของเรา..
เป็นเช่นกับการเล่นเกมกีฬา..
บางครั้ง..อาจทำให้เราเพลิดเพลิน..สนุกสนาน..
บางครั้ง..อาจทำให้เราท้อแท้..สิ้นหวัง..
บางครั้ง..อาจทำให้เราแพ้บ้าง-ชนะบ้าง..บางเวลา..
แต่นั้น..ก็เป็นเพียงแค่เกม..
สำหรับเกมชีวิต...
ผู้เล่น..ต้องเดิมพันด้วยชีวิต..
เพราะถ้าเกิดพลาดพลั้งเสียที..
บางครั้ง..อาจจบเกม..จบชีวิตได้..
เช่นเดียวกัน..
ชีวิต..คือ..เกม ๆ หนึ่ง..
ที่ต้องอาศัยกลยุทธ์ในการวางแผน..
เพื่อทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ..
กลยุทธ์ที่จะสร้างในเกมชีวิต..
คือ..การเสริมสร้างพลังใจให้กับตนเอง..
ท่าน อ. ศิริลักษณ์ ตันสิริ..ได้แนะนำเคล็ดลับ ๘ วิธี
เพื่อพิชิตความสุขและความสำเร็จไว้..อย่างน่าสนใจ..
ลองนำไปปฏิบัติดู..

๑. ยึดอกมั่นใจ
เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
เปลี่ยนภาษากาย..ให้เป็นพลังชีวิต..
ทุกครั้งที่ท้อแท้..เบื่อ..เซ็ง
ให้ยึดอก..แสดงความมั่นใจ..สู้ ๆ ๆ

๒. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ
ด้วยพลังใจที่ยิ้มแย้ม..แจ่มใส..
พร้อมกับบีบนิ้วมือทั้งสองข้างเป็นจังหวะกับที่หายใจ..

๓. พูดสิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง
เช่น ฉันเก่งที่สุด ดีที่สุด เยี่ยมที่สุด มีพลังที่สุด

๔. ขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต
ตื่นนอนขึ้นมาให้ขอบคุณตนเองที่มีชีวิตอยู่และได้ทำความดี
ก่อนนอนให้ขอบคุณตนเองที่ได้ทำทุกอย่างอย่างดีที่สุด

๕. จิตนาการตนเองสู่ความสุขและความสำเร็จ..
ภาพวาด..ฝันของตนเอง..อยู่แค่เอื้อมนิดเดียว..พยายามอีกนิด

๖. ออกกำลังกาย..
ให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา..

๗. คิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต

๘. ฉลองชัยชนะทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จ..
เช่น พูดและแสดงความรู้สึกให้ตื่นตัว ตื่นเต้นในความสำเร็จ
พร้อมอุทานออกมาดัง ๆ ว่า YES ใช่เลย แน่มาก สุดยอด
ลองนำไปปฏิบัติดู..

แล้วเราจะรู้ว่า..ภายใต้จิตสำนึกของเรา..
ยังมีพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลแอบซ่อนอยู่ในตัวเรา..
ปลุกเจ้ายักษ์ที่หลับในจิตใจของเรา..
ให้ตื่นขึ้นมารับใช้..ทำหน้าที่ให้เรา..
แล้วความสุข..ความสุข..
จะบังเกิดขึ้นกับเราได้อย่างง่ายดาย..

บทความ...โดย..ชายน้อย

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ปาฐกถาน่าคิด


คำแปลบทปาฐกถา
จาก มร. ไฉ่ ซงฉี
ประธาน บ.อันโหวการบัญชี ประเทศจีน

การยื่น . . .
กล้วย 1 ลูก กับ ทอง 1 แท่ง ให้กับลิง ลิงต้องเลือกกล้วย เพราะมันไม่รู้ว่าทองแท่งสามารถที่จะซื้อกล้วยได้เป็นพันเป็นหมื่นลูกได้

ในทำนองเดียวกัน การยื่นทองแท่งกับสติปัญญาแก่คนใดคนหนึ่ง คนส่วนมากจะเลือกทองแท่ง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสติปัญญาสามารถจะแปรเปลี่ยนเป็นทองแท่งเป็นพันเป็นหมื่นแท่งได้

ดังนั้น บางครั้งการเลือกสรร
ก็สำคัญกว่าความขยัน

เมื่อ 10 ปีก่อน คุณเป็นใคร? หนึ่งปีก่อน คุณเป็นใคร?
แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ 
คุณเป็นใคร?
ก็ล้วนแต่ไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือ วันนี้คุณเป็นใคร?

ชีวิตเรามีความเหน็ดเหนื่อยมาก
ปัจจุบันไม่เหนื่อย
ต่อไปก็จะเหนื่อยมากขึ้น

ชีวิตเรามีความลำบากมาก
ปัจจุบันไม่ลำบาก
ต่อไปก็จะลำบากมากขึ้น

มีแต่เคยเหน็ดเหนื่อย
จึงจะได้รับความสุขสบาย
มีแต่เคยลำบาก
จึงจะรู้ถึงความสบาย

ช่วงที่ยังเยาว์วัย ต้องกล้า..
ที่จะก้าวออกไป ....
ไปผจญกับลมฝนและหิมะ
เพื่อฝึกฝนจิตที่มีความอดทน
ความกระจ่าง เฉลียวฉลาด
และความสุขจึงจะตามมา

ในโลกนี้
นอกจากตนเองแล้ว
จะไม่มีใครที่ช่วยเหลือคุณอย่างแท้จริง

ไข่ไก่...
ถ้ามันแตกจากภายนอก
ก็จะเป็นอาหาร
ถ้ามันแตกจากภายใน
ก็จะเป็นชีวิต
ชีวิตคนก็เช่นกัน
หากถูกกระทำจากภายนอก
จะเป็นแรงกดดัน
หากถูกกระทำจากภายใน
จะเป็นการเติบโต

เชื่อว่า .. ชีวิตคนเรา
จะไม่ทอดทิ้งคุณ 
คุณทนได้กับความลำบาก
คุณรับได้กับความเหน็ดเหนื่อย
คุณตกลงไปในหลุม
คุณเดินผิดเส้นทาง
ล้วนแต่เป็นการฝึกฝน
ให้คุณเติบใหญ่ 
แข็งแกร่งที่ไม่เป็นรองใคร

จิตที่คิดแบบง่ายๆ
ชีวิตก็จะง่าย

ใจที่เป็นอิสระ
ชีวิตก็จะอิสระ

เรื่องต่างๆ
ให้หาวิธีการแก้ไขให้มาก
ลดการหาข้อแก้ตัว

ที่สุดแล้ว เชื่อว่า..
ความสุขจะอยู่ไม่ไกล
ยืนหยัดไว้ แล้วจะค้นพบ..
ตัวเองที่สุดแกร่งของคุณ

คุณพยายามและเต็มที่แล้ว
ถึงจะมีสิทธิ์พูดว่า ...
"ตนเองโชคไม่ดี"

ในโลกนี้ไม่มีงานการใด
ที่ไม่ลำบาก
ไม่มีงานการใดที่เกี่ยวข้องกับผู้คนไม่ซับซ้อน

จงยิ้มทุกวัน
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ในโลกนี้
นอกจากความตายแล้ว
ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น 

เพราะว่ามีวันพรุ่งนี้
วันนี้ จะเป็นเพียง..
วันเริ่มต้นเสมอ

หลังจากที่พยายามแล้ว
จึงจะรู้เรื่องราวต่างๆ
ขอใหัยืนหยัดไว้
แล้วจะผ่านไปได้

คนเราคนเดียว อยู่ข้างนอกไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่มีอะไร
สิ่งที่สู้กันคือความแข็งแกร่ง
ผู้ที่ยิ่งผ่านเหตุการณ์มาก
จะยิ่งสงบเรียบง่าย
ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์น้อย
จะยิ่งใจร้อนลุกลน

หวังว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว ทุกคนจะได้ข้อคิดที่ดี..

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด


15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองหนึ่ง หลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า ปกติ เวลาเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่ ผมให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว วันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆ คน

หลังจากเดินดูของอยู่หลายร้านและได้ของขวัญที่ถูกใจแล้ว ผมก็เดินออกจากห้าง จู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมเช่นกัน 

สายตาของเด็กดึงผมให้เดินเข้าไปหา เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14 ปี แกแต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆ ก็คือ จากที่ในมือน่าจะถือไอศครีมแต่แกกลับถือป้ายแทน และป้ายที่แกถือนั้นวาดรูปเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า” 

ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมก็เลยคุยกับเด็กชายคนนี้
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“125 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาแบบมีความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไป” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายถูกกว่านี้แล้วครับ ”
เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ ผมเห็นความตั้งใจของแก และพิจารณาแล้ว เด็กคนนี้ไม่น่าจะตั้งใจหลอกผมเป็นแน่ ผมก็เลยถามแกว่า
“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“35 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 90 เหรียญ!”

ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 90 เหรียญ แล้วก็บอกแกว่า
“เงิน 90 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักออกมาคืนให้ฉัน ฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 90 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”

เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่ เด็กชายเล่าให้ผมฟังว่า แกเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันอื่นๆ นั้นต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย

ผมถามแกว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม” ผมมองแกด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นจึงเป็นเพื่อนแกไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า

เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกจากร้านค้าส่ง เดินตรงไปที่ห้างฯ ที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ผมเรียกแกไว้ และบอกกับแกว่า
“ในเมื่อตอนนี้เราร่วมธุรกิจกันแล้ว ฉันอยากเสนอแนะเธอว่า เธอไม่ควรอยู่หน้าห้าง เพราะในห้างมีบริการขัดรองเท้าฟรีอยู่แล้วซึ่งใครๆ ก็รู้”
“งั้นผมไปขัดแถวๆ หน้าโรงแรมดีไหมครับ?” เด็กชายเอ่ยถาม
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามาพักเยอะ เมื่อเขาเห็นเธอรับขัดรองเท้า พวกเขาคงไม่อยากขัดรองเท้าเองหรอก เธอนี่รู้ทำเลทำธุรกิจเหมือนกันนะเนี่ย” พูดเสร็จผมก็ยกนิ้วให้กับแก

เด็กชายเดินไปแถวๆ บริเวณใกล้โรงแรม จากนั้นก็วางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าลงกับพื้น เมื่อจัดสถานที่ของตัวเองเสร็จแล้ว เด็กชายก็มองซ้ายทีขวาที จากนั้นก็มองมาที่ผม “ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนละครับ คุณก็รู้ว่าผมบริการดีเพียงใด?”

ผมได้ฟังก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กเอ๋ย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเป็นการแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญเนี่ยนะ?” ผมรู้สึกทึ่งกับความคิดของแกเป็นครั้งที่ 2 ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติก และยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้แกขัดรองเท้า

“หากเธอขัดไม่มันวาว นั่นแปลว่าเธอโกหก และฉันกำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้” เด็กชายก้มหัวลงขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับบอกว่า แกเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว “คุณรู้หรือเปล่า ผมฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้แถวบ้านนอกมีรองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอเขาขัดมาหมดแล้ว” พูดไปพลางขัดรองเท้าไปพลาง

ผ่านไปไม่กี่นาที แกก็ขัดรองเท้าให้ผมเสร็จ แกขัดได้มันเงาสมคำอวด ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมหยิบพวงกุญแจรูปหมีแพนด้าออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” ส่งให้แก แกรับเอาไปด้วยความดีใจ
ครู่หนึ่ง ก็มีรถนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยยกกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปหานักท่องเที่ยว

“ขัดรองเท้าไหมครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ ขัดรองเท้าไหมครับ..” และแล้วลูกค้าคนที่หนึ่งก็ยอมใช้บริการ

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมแวะมาเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่หน้าโรงแรม เมื่อแกเห็นผมก็รีบเล่าด้วยอาการดีใจว่าเมื่อวานแกขัดรองเท้าได้เงิน 50 เหรียญ แกหักไว้คืนให้ผม 18 เหรียญ ค่าอาหารของแก 3 เหรียญ แกจึงเหลือเงินอยู่ 29 เหรียญ ผมตบบ่าแกเพื่อให้กำลังใจ และชมแกไปว่า “เก่งมาก
แกบอกว่า เมื่อวานได้นอนห้องรวมในโรงแรม ไม่ได้นอนใต้สะพานแล้ว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง 5 เหรียญ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่ต้องจ่ายค่าห้องพักรวม? เด็กน้อยยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้เจ้าของโรงแรมประมาณ 10 กว่าคู่ เย็นนี้ก็ได้นอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเหมือนเดิมครับ”

5 วันที่อยู่ที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วผมก็ต้องเดินทางกลับ เด็กชายคนนั้นคืนเงินให้ผมวันละ 18 เหรียญจนครบ 90 เหรียญในวันสุดท้าย

เมื่อเด็กชายรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทหนึ่งที่ปักกิ่ง แกบอกกับผมว่า เมื่อแกจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะไปหาผมที่ปักกิ่ง จากนั้นก็ยื่นมือดำๆ ของแกมาขอจับมือผม ผมจับมือของเด็กไว้แน่นเช่นกัน

ผมทำงานที่บริษัทนี้ได้หลายปี ต่อมาก็ลาออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้ง วันนี้ ผมหัวยุ่งแต่เช้า บริษัทประสบปัญหาเกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก ผมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และขอกู้เงินจากหลายๆ ธนาคาร แต่ก็ไม่มีใครช่วยผมได้
ผมเพิ่งวางโทรศัพท์ เลขาก็เคาะประตูเข้ามารายงานว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งขอนัดผมเพื่อทานกลางวัน ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอและไม่ได้ถามว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ได้แต่ก้มหน้าดูบัญชีรายจ่ายที่จะต้องหาทางแก้ไข เลขาได้หยิบเอาพวงกุญแจวางไว้ที่โต๊ะของผม ผมมองพวงกุญแจและตะลึงไปครู่หนึ่ง พวงกุญแจที่คุ้นตาและมีตัวอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่บนตัวหมีแพนด้านั้น
ผมนึกออกแล้ว พวงกุญแจนี้ผมเป็นคนมอบให้เด็กชายขัดรองเท้าเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ตอนนั้นผมเขียนแค่ว่า “เก่งมาก” เขาคงเป็นคนเติมคำว่า “ผม” ในภายหลัง

เมื่อถึงช่วงกลางวัน ผมเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง โต๊ะที่ถูกจองไว้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมสูทลุกขึ้นยืนโค้งและยิ้มให้กับผม จากรอยยิ้มและสายตาอันมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม ทำให้ผมเห็นภาพของเด็กชายที่ผมพบเจอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เรารับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากทานข้าวและดื่มชากันไปคนละแก้ว เขาหยิบเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านเหรียญออกมาและพูดว่า

“ผมอยากร่วมลงทุนกับคุณ และภายใน 5 ปี ผมขอทุนคืน ”
“5 ล้านเหรียญ” ผมอุทานขึ้นในใจ มันมากมายและมาทันเวลาพอดี
เด็กหนุ่มเล่าต่อว่า
“15 ปีก่อน คุณสอนให้ผมอยู่รอด จากนั้นผมก็มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมเฝ้าเก็บหอมรอมริบ ตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญที่ผมร่วมลงทุนกับคุณนี้ ผมขอดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง”
ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มแล้วถามว่าเท่าไหร่?

เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“1 เหรียญครับ!”

ผมพิงพนักเก้าอี้ แล้วก็ยิ้มออกมา
90 เหรียญที่ผมลงทุนกับเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยความไม่ตั้งใจ กลับมีผลตอบสนองในวันนี้ถึง 5 ล้านเหรียญ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมหาศาลที่สุดในชีวิตของผมเป็นแน่

#อย่าลืมแชร์ต่อนะครับ บทความดีๆ :)
สอนอะไรดีๆ เยอะเลย

วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

10 เรื่องที่ควรรู้ของเขา...เพื่อ....พัฒนาตัวเรา


"แจ๊ค หม่า" พญามังกรแห่งอาณาจักร "อาลีบาบา" ทำสถิติการขายหุ้นให้กับนักลงทุนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ด้วยมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 800,000 ล้านบาท อันทำให้มูลค่าตลาดของอาลีบาบา (Alibaba) อีคอมเมิร์ซ สัญชาติจีน พุ่งขึ้นเป็น 168,000 ล้านเหรียญ แซงหน้าอเมซอนดอทคอม เจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซ สัญชาติมะกันไปเรียบร้อย

การผงาดเข้าตลาดสหรัฐฯ ด้วยการระดมทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เป็นการปักหมุดความสำเร็จของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจีน อย่างอาลีบาบา ในการลดทอนอำนาจผูกขาด บนเวทีค้าขายสินค้าออนไลน์ระดับโลก ที่มีอีคอมเมิร์ซสัญชาติอเมริกัน เป็นผู้กุมบทบาทสำคัญตลอดช่วงที่ผ่านมา

“แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา อาจจะไม่ยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำได้เท่า มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กแห่งเฟซบุ๊ก หรือ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิล แต่เชื่อว่านับจากนี้ไป ชื่อของเขาจะเป็นที่รู้จักและจดจำมากขึ้น และนี่คือ 10 เรื่องควรรู้ของเขา

1. แจ็ค หม่า เริ่มต้นจากการเป็นครูสอนภาษา สมัยเป็นเด็ก เขาไม่เก่งเลข แต่สนใจเรียนภาษามาก ถึงขั้นขี่จักรยานไปโรงแรม ซึ่งใช้เวลาถึง 40 นาที เพื่อหาฝรั่งคุยด้วย และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนเป็นครูสอนภาษา

2. ไอเดียในการนำคนจีนให้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตของแจ็ค หม่า เริ่มต้นเมื่อปี 2538 ระหว่างที่เขาเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่ซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เขาลองใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาคำว่า “เบียร์” (Beer) แล้วพบว่าไม่มีผลการค้นหาใดๆที่มาจากจีนเลย พอกลับบ้าน แจ็ค หม่า จึงริเริ่มก่อตั้งเว็บไซต์ ใช้ชื่อว่า China Pages และเปลี่ยนเป็นอาลีบาบาต่อมา

3. เป้าหมายในยุคแรกๆของเขาคือการแข่งขันกับบริษัทในซิลิคอนวัลเล่ย์ เขาเคยพูดกับพนักงานอาลีบาบาเมื่อปี 2542 ว่าอาลีบาบาจะต้องแข่งขันกับบริษัทในระดับโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศจีน พนักงานจึงต้องพัฒนาตนด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ เทียบเท่าพนักงานในบริษัทไอทีที่ซิลิคอนวัลเล่ย์ เขายังเคยกล่าวด้วยว่า หากอีเบย์เป็นฉลาม อาลีบาบาต้องเป็นจระเข้

4. เขาไม่ใช่คนไอทีและแทบไม่รู้เรื่องเทคโนโลยี แม้จะเป็นเจ้าของเว็บอีคอมเมิร์ซยักษ์ แต่แจ็ค หม่า บอกว่า เขาเรียนมาเพื่อเป็นครูภาษา จึงไม่มีความสนใจในเทคโนโลยีเท่าใดนัก เขาไม่ค่อยออนไลน์และต้องให้เพื่อนดาวน์โหลดหนังลงไอแพดให้ด้วย

5. เขามีความเป็นนักแสดงในสายเลือด เพราะรับอิทธิพลมาจากพ่อและแม่ที่มีอาชีพเป็นนักเล่าเรื่องมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นศิลปินจีนแขนงหนึ่ง

6. แจ็ค หม่า รัก Martial arts (ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน) และกังฟู คนใกล้ชิดบอกว่ากีฬา 2 ชนิดนี้มีผลกับการทำธุรกิจของเขามาก เขายังเคยพูดว่าหากเกิดก่อนหน้านี้ ในยุคสงคราม เขาคงเลือกเป็นทหารและออกรบ

7. เขาเป็นผู้ชายที่ไม่กลัวที่จะยอมรับความผิดพลาด และเคยบอกว่าอยากเขียนหนังสือชื่อ 1001 ความผิดพลาดของอาลีบาบา อันเนื่องมาจากการขยายธุรกิจเร็วเกินไป เจอฟองสบู่ดอทคอมจนทำให้ต้องปลดพนักงาน ในช่วงปี 2545 อาลีบาบาเคยเหลือเงินสดที่พอจ่ายเงินเดือนอีกแค่ 18 เดือน และมีแต่คนใช้บริการฟรี ทำให้ไม่มีรายได้

8. เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามากที่สุด รองลงมาเป็นพนักงาน แล้วจึงถึงคิวของผู้ถือหุ้น เขาสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ระหว่างการทำโรดโชว์ หุ้นไอพีโอที่เพิ่งผ่านไป เพราะพบว่าบางทีนักลงทุนให้ค่าอาลีบาบา ต่ำ ขณะที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจและมีความภักดีต่อแบรนด์ในระดับสูง ซึ่งทำให้อาลีบาบาอยู่ได้ ขณะที่พนักงาน นั้นสำคัญเพราะเป็นกลไกที่จะทำให้ลูกค้าแฮปปี้

9. แจ็ค หม่า คือคนที่รวยที่สุดในเมืองจีนขณะนี้ และติดอันดับมหาเศรษฐี 1 ใน 50 ของโลก ต่างกับตอนที่เป็นครู ซึ่งมีรายได้เดือนละ 15 เหรียญลิบลับ

10. เขากำลังให้ความสนใจในเรื่องของสิ่ง แวดล้อมและการศึกษา หลังก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอ แจ็ค หม่า เหมือนมหาเศรษฐีทั่วโลก ที่หันมาทำเรื่องที่ให้ประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวมแทนการทำกำไรสถานเดียว เขามองว่าปัญหามลภาวะทางสิ่งแวดล้อม กำลังเป็นปัญหากัดกร่อนจีนและเป็นเหตุคร่าชีวิตคนตั้งแต่เยาว์วัย

#(Cr:ไทยรัฐ)

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

ลูกของแม่

(แรง นะ แต่ได้ข้อคิด)

ลูกแม่
วันนี้ตอนที่กินข้าวกลางวัน
ลูกคุยโทรศัพท์กับแฟนว่า
คอนโดห้องนั้นตอนนี้
ขึ้นราคาอีกแล้ว ถ้าไม่รีบซื้อ
น่ากลัวว่าจะพลาดโอกาสได้ห้องชุดดีๆ
อย่างนี้อีกแล้ว
แม่รู้ ลูกคุยกันเพื่อให้แม่ฟัง
ตอนนั้นลูกหันมามองแม่
แต่แม่ไม่ได้พูดอะไร

พอลูกวางสายจากแฟน
ลูกคงหวังว่าแม่จะพูดว่า
“ราคาเท่าไหร่ เดี๋ยวแม่ซื้อให้!”
แต่แม่ไม่ได้พูดในสิ่งที่ลูกต้องการได้ยิน
ลูกจึงฮึดฮัด วางช้อนส้อมเสียงดัง
แล้วก็ลุกเดินออกไปจากโต๊ะ
กระชากประตูเปิดปิดด้วยเสียงอันดัง

แม่มองตามหลังลูกไป
ลูกแม่ทำไมยังเอาแต่ใจ
ลูกยังต้องการเกาะพ่อกับแม่
อยู่อย่างนี้อีกเหรอ?
ทำไมไม่รู้จักโตซะที?

ลูกแม่ ตอนนี้ลูกอายุ 30ปีแล้วนะ
ลูกมีงานที่ดีทำ มีแฟน
มีพ่อกับแม่ที่เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง
แค่นี้ ไม่มีเพียงพอให้ลูกยืนหยัดขึ้นมา
เป็นที่พึ่งของพ่อกับแม่ไม่ได้อีกเหรอ?

ตั้งแต่ลูกเป็นเด็ก
ลูกก็ชอบพึ่งพาอาศัยแม่มาตลอด แต่นี่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะลูก!

ตอนลูกอายุได้ 5 ขวบ
แม่ต้องคอยเก็บของเล่นที่ลูก
ทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วบ้าน
ตอนลูกอายุได้ 10 ขวบ
ลูกเห็นเพื่อนๆใส่รองเท้าแฟชั่น
ลูกก็กลับมาร้องห่มร้องไห้
ให้แม่พาไปซื้อรองเท้า

ตอนลูกอายุได้ 15 ปี
ลูกส่งจดหมายให้เพื่อนหญิงในห้องว่า
“แม่เรารู้จักคนเยอะ
หากใครรังแกเธอ
บอกเราได้นะ
เราจะให้แม่เราไปจัดการให้”

ตอนลูกอายุได้ 20 ปี
ลูกโทรมาจากมหาวิทยาลัยทุกวัน
ว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย
ทำไมแม่ไม่ส่งข้าวปลาอาหาร
หรืออาหารเสริมให้บ่อยๆ?

วันนี้ลูกอายุได้ 30 ปี
ลูกกลับพูดคุยโอ้อวดกับแฟน
และเพื่อนๆว่า
“แม่เราจะซื้อคอนโดให้เรา
ต่อให้เราไม่ทำงานอะไร
พ่อแม่เราก็เลี้ยงเราไหว!”
ที่ผ่านมาแม่ไม่ว่าอะไร
แม่ได้แต่ทำใจลืมๆสิ่งที่ลูกทำ

แม่ชินแล้วกับสิ่งที่ลูกร้องขอจากแม่
แม่คิดเพียงว่า วันนี้แม่เลี้ยงลูก
ดูแลลูกเป็นอย่างดี
ก็หวังว่าเมื่อพ่อและแม่แก่ตัวมา
จะได้ฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกได้

ตอนนี้ลูกก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว
พ่อกับแม่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่
จากลูกได้แล้ว    แต่นี่มันอะไร?
ลูกของแม่ในวันนี้
ยังกลับมาให้แม่ทำกับข้าวให้กินทุกวัน
ยังไม่พอ  ยังพาแฟนมานั่งเป็นแขก
ให้แม่ทำกับข้าว
หาขนมมาเลี้ยงเธอทุกวัน

แม่ก็ยังทำงานอยู่นะลูก
ยังต้องทำอาหารให้ลูกทั้ง3มื้อ
ลูกจะให้แม่ยิ้มออกได้อย่างไร?
วันนี้แม่เข้าใจแล้ว
แม่ลำบากตรากตรำอยู่คนเดียว
แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก
แต่ทำให้ลูกเป็นคนที่..

"เห็นแก่ตัว"

ไม่เอาไหน

เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

ยิ่งโตมาลูกก็ยิ่งทำตัวเกียจคร้าน
ไม่เป็นโล้เป็นพาย
แม่คงต้องยอมรับเสียที
30 ปีที่ผ่านมา  ที่แม่รักลูก หลงลูก
เป็นความผิดมหันต์ของแม่

มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ที่แม่หยอกลูกว่า
“แม่คงไม่ทันมีชีวิต
ได้อุ้มหลานตัวน้อยซะแล้ว”
ลูกร้องเสียงหลง
“ได้ยังไงแม่
แล้วใครจะทำกับข้าวให้ผมกับเมียกิน
ลูกผมอีกล่ะ แล้วใครจะมาช่วยเลี้ยง?”

วันนั้น
แม่เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
แม่เจ็บแปลบไปทั้งหัวใจ
ลูกแม่คิดอะไรอยู่
ทำไมถึงพูดกับแม่อย่างนี้?

แม่จะต้องเลี้ยงดูลูกอย่างนี้
ไปจนตายเหรอ?
แม่ไม่ได้เลี้ยงลูกให้เป็นนกอินทรี !
แต่แม่เลี้ยงลูกให้เป็นปลิง!
ที่คอยดูดเลือดแม่ให้เหือดแห้ง
ไปจนตาย.....

ลูกแม่
วันนี้แม่จะไม่ตามใจลูกอีกต่อไปแล้ว
ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของลูก
แม่ได้เลี้ยงดูและส่งเสียให้ลูก
ได้มีวิชาความรู้ติดตัวแล้ว

ต่อจากนี้ไป
แม่จะไม่สนใจการกินอยู่
ของลูกอีกแล้ว
แม่เพิ่งลาออกจากงานมาเมื่อวาน แม่จะไม่เอาเงินบำเหน็จ
มาปนเปรอให้ลูกได้เสพสุข
โดยแม่ต้องทุกข์ทรมานไ
ปจนตายอีกแล้ว

หากลูกไม่พอใจ
ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่
ลูกก็ขนของออกจากบ้านนี้
ไปเช่าอยู่ข้างนอก
ลูกจะกินจะอยู่อย่างไร
ก็แล้วแต่ลูกเถิด

ลูกแม่
แม่ไม่ควรรักลูกแบบผิดๆ อย่างนี้
แม่ขอโทษ...

ช่วยกันแชร์เพื่อช่วยเหลือแม่และลูก
ในอีกหลายครอบครัว เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

ยีนพ่อหรือแม่แน่กว่ากัน


ยีนของพ่อหรือแม่กันนะที่ส่งผลต่อไอคิวและความสวย-หล่อของลูกน้อย?

ความสูงได้รับพันธุกรรมจากใคร ? คำตอบ คือ ได้จากพ่อและแม่คนละครึ่ง
นอกเหนือจากปัจจัยสารอาหารที่ลูกน้อยได้รับแล้ว พันธุกรรมนั้นมีผลต่อความสูงของเด็กถึง 70% โดย 35% ของพันธุกรรมความสูงจะได้จากคุณพ่อ และ 35% ได้จากคุณแม่ สมมติว่าคุณพ่อกับคุณแม่ไม่ใช่คนสูง ก็ต้องพยายามบำรุงคุณลูกด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับความสูงเพื่อโอกาสที่เหลืออีก 30% นะจ๊ะ

ความเฉลียวฉลาดเป็นพันธุกรรมจากใครมากกว่ากัน? คำตอบ คือ คุณแม่

จากหลักฐานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ความฉลาดของคนเรานั้น 50-60% มีผลมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากคุณแม่เป็นคนฉลาด ส่วนมากลูกที่คลอดออกมาก็จะฉลาดเช่นกัน และหากเป็นเด็กผู้ชายจะยิ่งฉลาดกว่าด้วย

เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่ายีนที่มีผลต่อความฉลาดของมนุษย์จะรวมกันอยู่บนโครโมโซม X โดยเพศหญิงประกอบด้วยโครโมโซม X 2 ตัว ส่วนเพศชายมีโครโมโซม X เพียงตัวเดียว เพราะฉะนั้นความฉลาดของแม่จะถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมสู่ลูกน้อย

(ผู้หญิงได้ X จากพ่อตัว จากแม่ตัว เป็น XX แต่ผู้ชายได้ X จากแม่ ได้ Y จากพ่อ เป็น XY ดังนั้น ถ้ายีนความฉลาดอยู่ที่โครโมโซม X เป็นหลัก ผู้หญิงจะได้จากพ่อแม่อย่างละครึ่ง แต่ผู้ชายจะได้จากแม่เต็ม ๆ)

หากอยากจะตัดสินว่าผู้ชายคนนี้ฉลาดหรือไม่ เพียงสังเกตแม่ของเขาก็สามารถรู้ได้

เพราะฉะนั้น :

1. หากคุณเป็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ใช่คนฉลาด คุณควรจะหาภรรยาที่หัวไว ฉลาดเฉลียว

2. หากคุณเป็นผู้หญิง และคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาดก็พยายามคลอดลูกสาวแทนละกันนะจ๊ะ

ถ้าผู้หญิงรู้จักผู้ชายที่ฉลาดมากคนหนึ่ง โอกาสที่คุณพ่อของเขาจะฉลาดมากนั้นเป็น 0% (ถึงแม้พ่อของเขาจะฉลาดก็ไม่ได้มีผลมาถึงลูกชาย) แต่โอกาสที่คุณแม่ของเขาจะฉลาดมากนั้นเท่ากับ 100%  เพราะฉะนั้นหากคุณอยากแต่งงานกับผู้ชายที่ฉลาดมากๆ ต้องระวังคุณแม่สามีให้ดีนะจ๊ะ เพราะคุณแม่จะมีไหวพริบเป็นเลิศ นับอะไรไม่เคยขาดตกอย่างแน่นอน

แล้วบุคลิกเป็นพันธุกรรมจากใคร? คำตอบ คือ คุณพ่อ

บุคลิกนั้นเป็นพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณพ่อเป็นหลัก โดยจะมีผลชัดเจนมากกว่าพันธุกรรมจากแม่

แล้วหน้าตาหนูเหมือนใคร? คำตอบ แล้วแต่มุมมองนะจ๊ะ

สีผิว: หากทั้งพ่อและแม่มีผิวคล้ำ ลูกจะไม่ออกมาผิวขาวอย่างแน่นอน หากพ่อหรือแม่คนนึงขาวคนนึงคล้ำ โดยมากลูกที่เกิดออกมาจะมีผิวสีผสม (ผิวปานกลาง)

ดวงตา: ความกลมโตของดวงตาได้รับพันธุกรรมจากพ่อและแม่โดยตรง ตาโตเป็นลักษณะยีนเด่น ในทางกลับกัน ตาเล็กที่เป็นลักษณะของยีนด้อย หากคุณพ่อหรือคุณแม่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีตาโต โอกาสที่ลูกออกมาตาโตจะมีมากกว่า

ตาสองชั้น: ตาสองชั้นนับเป็นยีนเด่น หากคู่สามีภรรยาที่มีตาชั้นเดียวและตาสองชั้น ลูกที่คลอดออกมาน่าจะมีตาสองชั้น หากพ่อแม่มีตาชั้นเดียวทั้งคู่ ลูกที่คลอดออกมาก็จะมีตาชั้นเดียวเช่นกัน

สีของม่านตา: นัยน์ตาสีดำและสีเข้มเป็นยีนเด่น ส่วนตาสีอ่อนเป็นยีนด้อย หากคนนัยน์ตาสีดำกับคนนัยน์ตาสีฟ้ามีลูกด้วยกัน ลูกที่คลอดออกมาจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนัยน์ตาสีฟ้า

http://www.liekr.com/post_133603.html

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

เบื้องลึกเยอรมันเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบได้อย่างไร

►บีบีซีของอังกฤษ ทำการสำรวจชาวเยอรมันทั้งประเทศ เพื่อรู้ว่าทำไมเยอรมันถึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่สำเร็จการเป็น Fully industrialized country ประเทศเดียวในโลก คือ ประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ อ่านให้จบ ข้อมูลนี้หายาก
-----------------------------

►1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต

►2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่ายๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่ายๆเช่นกัน

►3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน

►4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี

►5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่

►6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า

►7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก

►8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน

►9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว

►10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน

►11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร

►12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจ หากจะได้เป็น Housewife

►13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ

►14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง

►15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท

►16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด

►17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด

►18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล

►19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา