หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องราวของความรัก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องราวของความรัก แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แม้แต่นายพรานก็ยัง...ไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย


ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า (Chiune Sugihara)
กงสุลใหญ่ญี่ปุ่นประจำประเทศลิทัวเนีย
จำได้ดีว่า เช้าวันหนึ่งปลายเดือนกรกฎาคม
ปี ๑๙๔๐ จู่ ๆ ก็มีชาวยิวล้อมรอบกำแพง
สถานกงสุลเต็มไปหมด

คนเหล่านี้มาหาชิอุเนะด้วยเหตุผลเดียว
นั่นคือ.....ต้องการให้เขาออกวีซ่า
สำหรับนักท่องเที่ยวให้

ทว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่วีซ่า
เพื่อการพักผ่อนอย่างที่ระบุไว้ในเอกสาร
แต่เป็น...วีซ่า...เพื่อการรอดชีวิต

ช่วงเวลานั้นมีชาวลิทัวเนียและ
ชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวจำนวนมาก
ต้องการอพยพหนีออกนอกประเทศ
เพราะลิทัวเนียตกอยู่ในอาณัติของ
สหภาพโซเวียตและถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม
สงครามโลกครั้งที่สอง ลิทัวเนียต้องรับมือ
ในการสู้รบกับกองทัพนาซีที่แข็งแกร่ง
และกำลังจะพ่ายแพ้

ซึ่งถ้าแพ้......ก็หมายความว่าชาวยิว
ในลิทัวเนียจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และหากไม่มี...วีซ่า...พวกเขาก็จะ
ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศ
อย่างปลอดภัยได้เป็นอันขาด

“แม้แต่นายพราน...ก็ยังไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย”

สุภาษิตของซามูไรบทนี้ปรากฏชัดในใจ
ของชิอุเนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้ตัวว่าเขาคือ
นายพรานที่ฝูงนกบินมาพักอาศัย
ชิอุเนะโทรเลขปรึกษากระทรวงการ
ต่างประเทศญี่ปุ่นเพื่อขออนุญาตออกวีซ่า
ให้ชาวยิวเป็นกรณีพิเศษถึง ๓ ครั้ง
เพราะชาวยิวส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร
ไม่มีพาสปอร์ต และไม่มีแม้แต่....เงินค่าเดินทาง

แต่...ทุกครั้งได้รับปฏิเสธ...
เวลาหนี....เหลือน้อยลงทุกที
ผู้คนมาเข้าแถวรอหน้าสถานกงสุลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชิอุเนะจึงปรึกษา ยูกิโกะ ภรรยาของเขา
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า เขาจะออกวีซ่า
ให้ชาวยิวทุกคน แม้ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม!

ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม – ๒๘ สิงหาคม
ปีนั้น ชิอุเนะและภรรยาช่วยกันออกวีซ่า
ซึ่งต้องเขียนด้วยมือตามระเบียบของกระทรวงฯ
วันละ ๑๘ -๒๐ ชั่วโมง และทั้ง ๆ ที่โซเวียต
สั่งให้สถานทูตทุกแห่งปิด

แต่ชิอุเนะก็ทำเรื่องขอเปิดดำเนินการต่ออีก ๒๐ วัน
ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางออก
จากลิทัวเนีย เขาและภรรยานั่งเขียนวีซ่าตลอดทั้งคืน...
ชิอุเนะ...ยังคงเขียนแม้ตอนที่ไปถึงสถานีแล้ว
ซึ่งที่นั่นมีชาวยิวเฝ้ารอเขาอยู่เป็นจำนวนมาก
กระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา

ชิอุเนะจึง...โยนกระดาษเปล่า
ที่มีลายเซ็นของเขาออกมาทางหน้าต่าง

สุดท้าย...ก็โยนตราประทับของสถานกงสุล
ออกมาด้วย เพื่อว่า...ชาวยิวจะใช้มันทำวีซ่าปลอมได้


นักประวัติศาสตร์....ประเมินว่า
การกระทำที่กล้าหาญของชิอุเนะสามารถ
ช่วยเหลือชาวยิวได้ถึง ๖,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ คน
แม้ว่าทางกระทรวงฯ จะไม่ได้
สอบสวนเขาต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ทว่า...ผลจากการตัดสินใจโดยพลการครั้งนั้น
ทำให้ชิอุเนะหมดอนาคตในหน้าที่การงานอย่างสิ้นเชิง
เขาถูกกดดันให้ลาออกในปี ๑๙๔๗

หลังจากนั้นชิอุเนะต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นล่าม
แปลเอกสาร และเป็นผู้จัดการบริษัทส่งออก
ซึ่งทำให้เขาต้องจากครอบครัวไปใช้ชีวิต
ลำพังในโซเวียตนานถึง ๑๖ ปี

เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในลิทัวเนีย
ให้ใครฟังเลย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่
จึงไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

กระทั่งถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี ๑๙๘๖
เมื่อถึงวันฝังศพเขา ทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่น
พร้อมด้วยชาวยิวที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือ
ของชิอุเนะ...ได้มารวมตัวกันเพื่อเคารพศพ
และให้กำลังใจ...ยูกิโกะ

สื่อมวลชน.....จึงสนใจเรื่องราว
ของอดีตนัการทูตคนนี้ขึ้นมา

ภายหลังจึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์
ให้เขาทั้งในญี่ปุ่นและในอีกหลาย ๆ เมือง
ทั่วโลก ผู้คนนำเรื่องของ “ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า”
ไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์
และทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อรำลึกถึงเขา...

จนทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า...
จะดีมากเพียงใดถ้าเขาได้รับสิ่งเหล่านี้....
เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม....
แม้ว่าชิอุเนะต้องเผชิญความยากลำบาก
และความว้าเหว่เป็นเวลานาน
เราคง...มิบังอาจคิดว่า....เขาและครอบครัว
จะไม่มีความสุข

แท้จริงแล้ว...ความซาบซึ้งใจ...
ที่ได้ช่วยชีวิตคนนับพันนับหมื่นคน
ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของสามีภรรยาคู่นี้
ดังที่ยูกิโกะได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี ๒๐๐๔ ว่า

“ฉันจำได้ว่า...มีคนมารอที่สถานีรถไฟ
เต็มไปหมด สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยม
ไปด้วยคำขอบคุณ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัว
หลายคนวิ่งตามและโบกมือให้
มีคนตะโกนขึ้นมาว่า
“เราจะ...ไม่ลืมคุณ เราจะได้พบกันอีก”
ฉันและสามีมองภาพนั้นแล้ว...
มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แม้แต่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน”

วีซ่าเพื่อชีวิต
ของ..ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า
จากนิตยสาร...ซีเคร็ต

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สามีของฉัน ภรรยาของผม

เขาไม่ได้บอกภรรยาว่าเขาตกงาน
ทุกเช้า เขายังทำตัวเป็นปกติ หลังจากทานอาหารเช้าเขาก็ตรงเข้าไปหอมแก้มภรรยา
“ผมไปทำงานละนะ เย็นนี้เจอกัน”
“อย่าเถลไถลนะคุณ” ภรรยาหยอกเขาเหมือนเดิมทุกครั้ง
เขาวิ่งตามให้ทันรถเมล์ จากนั้นก็เดินเบียดผู้คนเข้าไปยืนบนรถ เมื่อผ่านไป 3 ป้าย เขาก็กดออดเพื่อลงจากรถ

เขาเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ใบหน้าของเขาหม่นหมองและกังวล ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า เขามองดูห่านที่กำลังแหวกว่ายเล่นกันอยู่ในบึง

“ชีวิตของพวกนายน่าอิจฉา” เขาพึมพำออกไป

เขาผลัดเดินผลัดนั่งอยู่ในสวนจนเกือบค่ำ จากนั้นก็ลุกขึ้น ฝืนยิ้มและทำท่าทางแจ่มใสขึ้นมา
“เลิกงานแล้ว กลับบ้านได้” เขายืดตัวพร้อมกับกระชับกระเป๋าเอกสารจากนั้นก็จัดเสื้อกางเกงและเนคไทด์ให้เข้าที่เข้าทาง

“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”

เขาทำอย่างนี้เป็นเวลาถึง 5 วันแล้ววันที่ 6 ของการตกงาน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปของานจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในแผนกผสมปูน ที่นี่แตกต่างจากงานบริษัทที่เขาเคยทำ มันมีทั้งฝุ่นทั้งละอองของปูน แต่เขาก็ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตต่อจากนี้ไปเขาและภรรยาจะกินอยู่อย่างไร?

บ่ายวันแรกที่ทำงานที่นี่ เมื่อเขามองกระจกในห้องน้ำ เขาเหมือนคนที่ถูกถังผสมปูนหล่นทับ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขารีบอาบน้ำที่บริษัทและเปลี่ยนชุดเป็นสูทเหมือนตอนที่ออกจากบ้านมา เดินออกจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบไม่เหลือเค้าคนงานผสมปู เมื่อกลางวันที่ผ่านมา

“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”
ภรรยาของเขารีบวิ่งมาเปิดประตู เธอได้กลิ่นหอมของสบู่จากตัวผู้เป็นสามี

ส่วนเขา เมื่อเดินเข้าบ้าน ก็เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านช่องหอมอบอวลไปด้วยดอกไม้ที่ภรรยาตัดมาจากกระถางริมระเบียงที่ซื้อมาปลูกไว้ เขารู้สึกผ่อนคลายและภูมิใจในตัวภรรยามาก แค่นี้ก็ทำให้เขาหายเหนื่อยได้ในทันที

ขณะที่กำลังทานข้าว ภรรยาของเขาเอ่ยถามขึ้น
“ช่วงนี้งานที่บริษัทพ่อเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ราบรื่นดี บริษัทเพิ่งรับเด็กสาวที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาทำงาน 1 คน น้องน่ารักดีนะแม่”

ภรรยาทำท่าทีโกรธขึ้นมา พร้อมกับเอื้อมมือไปจับหูของสามีและดึงเบาๆ
“อย่าเถลไถลเลยเชียวนะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

“แม่เปิดน้ำอุ่นไว้ให้พ่อแล้วนะ พ่อจะอาบน้ำก่อนไหม?”
“ก่อนกลับ พ่อแวะไปว่ายน้ำกับเพื่อนที่สโมสรมา พ่ออาบมาแล้วจ้า”

ภรรยาเก็บจานชามไปพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ไปด้วย
“เกือบไป ไม่รู้จะเก็บความลับไว้ได้อีกนานเท่าไหร่?” เขาพึมพำขึ้นมาเบาๆ พร้อมถอนหายใจโล่งอก
เขาเดินเข้าห้อง ล้างหน้าแปรงฟัน ยังไม่ทันได้อ่านหนังสือก็หลุดจากมือ เขาหลับไปด้วยความเพลียจากงานในวันนี้

เขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างถึง 20 วัน
เย็นวันนั้น เมื่อเขากลับถึงบ้าน ตอนที่กำลังทานอาหาร ภรรยาของเขาเอ่ยขึ้นมาว่า
“พ่อไม่ต้องทำงานที่บริษัทเก่าแล้วนะ แม่ได้ข่าวว่ามีบริษัทหนึ่งกำลังขาดผู้จัดการ เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่พอดี แม่โทรศัพท์ไปสอบถามแล้ว บริษัทเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์อย่างพ่อเลย พรุ่งนี้พ่อลองไปสมัครดูนะ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามภรรยาว่า
“ทำไมอยากให้พ่อเปลี่ยนงานละแม่?”
“เปลี่ยนงานก็ดีเหมือนกันนะพ่อ พ่อจะได้มีสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม อีกอย่างบริษัทนี้ก็ใหญ่โตและมีความมั่นคงดีด้วย” เธอบอกกับผู้เป็นสามี

วันรุ่งขึ้น เขาไปสมัครงานกับบริษัทที่ภรรยาแนะนำไว้เมื่อวาน และบริษัทก็รับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนก เหมือนที่เขาเคยทำที่บริษัทเก่า

บ่ายวันนั้น เขาซื้อผักและอาหารหลายอย่างกลับบ้าน เพื่อเลี้ยงฉลองกับภรรยา เขาคิด ภรรยาของเขาคงรู้ว่าเขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เรื่องนี้แม้เขาจะไม่ได้บอก แต่คงจะปิดเธอไม่มิดเป็นแน่ ไม่งั้นเธอไม่แนะนำงานที่บริษัทนี้ให้เขามาสมัครหรอก

เขานึกถึงอาหารมื้อค่ำหลายสิบวันที่ผ่านมา ทุกวันจะมีเห็ดหูหนูเป็นอาหารขึ้นโต๊ะอยู่หนึ่งอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผัดหรือต้มหรือแกงก็ตาม เพราะเห็ดหูหนูมีคุณสมบัติช่วยล้างปอด เขาทำงานอยู่กับฝุ่นมาทั้งวัน ได้กินเห็ดหูหนูผัดไข่ก็ช่วยเขาได้มาก เขาเชื่อว่าภรรยาของเขารู้เรื่องที่เขาไปทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแล้ว แต่เธอไม่เคยเอ่ยถาม เธอกลับแอบทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อเขา เธอคงกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ
...................

ชีวิตคู่ มีความซาบซึ้งอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ผูกสมัครรักใคร่” และอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน” แต่แท้ที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เรียกว่า “พูดในสิ่งที่ควรพูด”

บทความนี้ ขอมอบให้แด่คุณผู้ชายคนดีที่กำลังเผชิญกับความกดดันในการสร้างฐานะครอบครัว

และขอมอบให้แด่คุณผู้หญิงคนดี ที่คุณรู้จักเข้าใจและรักผู้ชายคนดีอันเป็นสามีที่ดีของคุณคนนี้

ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง อะไรคือสิ่งสำคัญนอกเหนือจากพ่อแม่และพี่น้องของเขา?

คำตอบก็คือ เขาได้เจอกับผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง

ผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะยืนอยู่ในจุดที่สูงได้หรือไม่? เดินได้ไกลเพียงใด? สิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้และเป็นจุดที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ เขาได้พบผู้หญิงดีๆ สักคนหรือไม่? ผู้หญิงดีๆ คนนั้น อาจเป็นเพื่อน เป็นภรรยา อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรืออาจจะอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต

เพราะผู้ชายดีๆ คนหนึ่งต้องมีผู้หญิงดีๆ อีกคนหนึ่งคอยสนับสนุน ดูแลเอาใจใส่ ชื่นชมสรรเสริญ ปรึกษาแนะนำอยู่ข้างกาย หากปราศจากผู้หญิงดีๆ คนนั้น จะมีผู้ชายดีๆ คนนี้ได้อย่างไร!!!

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องของหมีฟ้ากับลูกนก

หมีฟ้า เจอลูกนกถูกทิ้ง
หมีฟ้าจึงเอาลูกนกมาดูแล

แล้วเป็นพ่อให้ลูกนก

เมื่อถึงเวลา ลูกนกต้องฝึกบิน
ลูกนกถามหมีฟ้า พ่อจ๋าหนูจะบินได้อย่างไร

หมีฟ้าบอกไปว่า เดี๋ยวพ่อบินให้ดู

หมีฟ้ากระโดดจากยอดไม้แล้วกระพือแขนเร็วๆ เพื่อให้ลอยขึ้น
แต่ทุกครั้ง หมีฟ้าก็จะหล่นลงพื้น ด้วยความหนักของตัว

หมีฟ้าทำแบบนี้ทุกวัน ให้ลูกนกดู
แล้วบอกลูกนก ให้กระพือปีกแรงๆตาม

พ่อไม่เห็นบินได้เลย
ลูกนกถาม

เพราะพ่ออ้วนไง แต่ลูกบินได้นะ
ลองทำดูสิ หมีฟ้าบอกลูกนก

พ่อเธอไม่มีทางบินได้หรอก เพราะพ่อเธอไม่ใช่นก
ต้นไม้กระซิบบอกลูกนก

ถ้าพ่อบินไม่ได้ พ่อจะทำอย่างนั้นทุกวันทำไม
ลูกนกถามต้นไม้

"วันไหนเธอมีคนที่เธอรักสุดหัวใจ
เธอจะเข้าใจเอง" ต้นไม้ตอบ

ลูกนกมองหมีฟ้าที่ตัวเต็มไปด้วยแผล
แล้วถามว่า พ่อบินไม่ได้ พ่อจะพยายามบินทำไม

หมีฟ้ายิ้มแล้วลูบหัวลูกนกเบาๆ
พร้อมบอกว่า

" การพยายามทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก
มันไม่มีขีดจำกัดหรอก มันทำได้ทุกอย่าง
พ่ออยากให้หนูบินได้
เพื่อที่สักวันหนูโตขึ้น จะได้บินออกไปดูโลกกว้าง
บินออกไปเห็นอะไรใหม่ๆ
บินออกไปหากิน และเจอคนดีๆที่พร้อมจะเคียงข้างหนู
พ่อรักหนูนะ "

ลูกนกไม่ตอบอะไร
ปล่อยตัวลงไป กระพือปีกให้แรง
แล้วก็บินออกไปสู้ท้องฟ้ากว้างใหญ่

มีเพียงหมีฟ้าที่มองจากต้นไม้ต้นนั้น
ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและน้ำตาจากความใจหาย
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปไหน
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปหาใคร
แต่เขารู้ว่า ลูกนกบินได้แล้ว เขาก็สุขใจ

ตะวันกำลังลับลา
หมีฟ้านั่งเช็ดแผลตัวเอง
พร้อมกับมองเงาฝูงนกที่บินตรงขอบฟ้า
แล้วหวังว่าจะมีลูกที่เขารักบินอยู่ในนั้น
ก่อนหลับตาไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สุขใจ

............

ไม่ทันได้หลับสนิท ก็มีอะไรแผ่นใหญ่ๆมาห่มไว้
หมีฟ้าลืมตา เห็นลูกนกกำลังบินคาบใบไม้มาห่มให้
พร้อมกับอาหารและหญ้าสมุนไพรไว้ให้ใส่แผล
ลูกนกบินลงบนไหล่หมีฟ้าอย่างเบาๆ
แล้วกระซิบที่หูไปว่า
" หนูก็รักพ่อนะ "

(^^)ชอบบทความนี้มากอ่านแล้วน้ำตาซืมทุปครั้ง

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มือที่มองไม่เห็น หากสร้างเราให้แข็งแกร่งได้

หายไปนาน เนื่องจากติดภาระกิจสำคัญ เลยไม่สามารถหาเวลามาโพสเรื่องราวดีๆ ให้ผู้อ่านได้อ่านกัน  วันนี้พอมีเวลาอยู่นิดหน่อย เลยขอเอาเรื่องราวที่ได้อ่านใน Facebook มาเล่าให้ฟังนะคะ อ่านแล้วซึ้งมาก และให้ข้อคิดอะไรได้ดีทีเดียว ต้องขอขอบคุณเพื่อนใน Facebook ที่หยิบเรื่องนี้มาชร์ให้อ่านกันนะคะ ลองอ่านดูค่ะ

"คนที่เรามองไม่เห็น"

มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ 
ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง 
และเธอก็ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียการมองเห็น 
แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด 
พยายามสอนให้เธอใช้ประสาทสัมผัสให้มากขึ้น 

ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง 
แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ 
จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก 
เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง 
โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม 

นาทีนั้น ….. 
เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ 
แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ 
เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง 
จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้ 

วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ 
คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า 
ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ 
เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร 
คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า ....... 

สามเดือนที่ผ่านมา 
ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า 
มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้ามองดูคุณด้วยความห่วงใย 
และตามคุณลงรถไป 
และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย 
และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ 
และคอยดูคุณจนคุณลงรถ 

พอเธอได้ยินดังนั้น.... 
เธอก็นำตาไหลด้วยความตื้นตัน......และสำนึกผิด......... 
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน
เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด 
เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก 

เธอหวนนึกถึงคำพูด เขา ที่บ่นลอยๆ ออกมา บ่อยๆ ว่า
ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ.. 
ดูอย่างคุณสิ...เมื่อวานยัง มองเห็น วันนี้ คุณมองไม่เห็นแล้ว.... 
เธอ คิดน้อยใจเขา มาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่า เขา เบื่อ 
รำคาญ การเป็น คนตาบอดของเธอ... 
ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า ....เขากลัวว่า วันนี้ พรุ่งนี้เขาจะตายไป... 
แล้ว เธอ จะไม่สามารถ ไปไหนมาไหน หรือ มีชีวิตอยู่ เองได้ ถ้าขาดเขา.....

โดย: อั๊ยยะ

เรื่องนี้อ่านแล้ว ก็ให้นึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา ถ้ามองระดับครอบครัว จะมีลูกคนไหน ที่กำลังนึกน้อยใจพ่อแม่อยู่ ว่าท่านไม่สนใจ เราจะทำอะไร ก็ต้องทำด้วยตนเอง จะขอเงินกินขนม ก็ไม่ใช่ให้ได้ง่ายๆ ต้องให้ทำโน่น ทำนี่ให้ก่อน ทั้งๆ พ่อแม่ก็มีเงินล้นเหลือ ทำไมขอเงินแค่นี้ ต้องงกกับเราด้วย  แต่ถ้าคิดดีๆ พ่อแม่ทำอย่างนี้ ก็เพื่อฝึกเรา ให้รู้จักทำงาน ให้อดทนและทนอดเป็น เราจะไม่เสียเด็ก หรือเป็นเด็กที่ถูก spoil จนในอนาคต ก็กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ โดยที่ไม่คิดทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น และสุดท้าย เราก็อาจกลายเป็น "กากสังคม" หรือคนไม่มีค่าไปเลย  นี่พ่อแม่กำลังช่วยเราไม่ใช่หรือ 

ถ้ามองระดับประเทศ พ่อหลวงของเราสอนเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง"  หลายคนก็พูดกันติดปาก แต่ในทางปฏิบัติมีสักกี่คนที่ทำได้จริงๆ เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช้เรื่องของคนจนเท่านั้น แต่เศรษกิจพอเพียง ก็คือความเพียงพอ พออยู่พอกินตามอัตภาพ ไม่โลภจนเกินไป และพึงพาตัวเองได้  คนรวยก็พอเพียงแบบคนรวย คนไม่รวย ก็พอเพียงแบบคนไม่รวย คนรวยจริงคือ คนที่รู้จักพอ และสามารถแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ จะมีคนเห็นไหมหนอ คำที่พ่อสอน และความหวังดีที่พ่อให้  หรือคนเราเห็นแก่ได้เฉพาะหน้า มองเห็นคนที่กำลัง spoil เรา ด้วยทุนนิยม ด้วยบัตรเครดิตคนจน ด้วย Tablet แจกฟรี แล้วสร้างนิสัยเสีย สร้างหนี้ให้กับเรา จนเราต้องอยู่แบบ "ขอ" พึงพาเขาร่ำไป ไม่เคยยืนได้ด้วยตัวเองจริงๆ  แบบนี้หรือ ที่เราเลือกให้มันเป็นไป

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

อุทาหรณ์แด่คนไม่กล้าบอกรักใคร

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันอายุ 6 ขวบ
ขณะกำลังเล่นอยู่ที่ฟาร์มในแคลิฟอร์เนีย
ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับ
กลั่นแกล้งกันไปมา พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกัน
แล้วพอได้มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้ว
และที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา
ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ
เขาเป็นคนเงียบๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่
เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุกๆ เรื่อง

ตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน
.....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉัน
เขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกสักพักมันจะดีไปเอง
ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้นึกว่า เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน
นั่นเป็นความรู้สึกในตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....

เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย
คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่า เราเป็นแค่เพื่อน
แต่ลึกๆ แล้ว...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่
ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน
แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี
เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขา
เพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ

อือ ...
นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว
ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...
ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่า เขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน
ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่ จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต
...โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้างๆ เขา

คืนนั้นฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว
ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด
แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคน อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ

...หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก
แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น
แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม
ขณะที่เขากำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้
คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง
คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
เมื่อนึกถึงว่า ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง

ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ
แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

วันหนึ่ง
ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์
มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา
แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า
ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน

...งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบจ้าสาว และแน่ละ
ได้พบเขาด้วยแล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง
ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง
...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา

คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง
ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา
ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม
และทำตัวให้มีความสุขเพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก
มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง
ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย
เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก

...และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6
ฉบับฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้ายๆ อะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า "ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ
ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง"

ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก
เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก
และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา
เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ...ในที่สุด
เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้
ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง

หลายวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุข และลืมปัญหาการหย่าร้าง
ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง
เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก
...ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป
แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อ ที่ฉันสามารถลางานได้

แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป
โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน
วันหนึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้
ฉันได้แต่คิดว่า คงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้
มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป

และแล้วทนายความจากนิวยอร์ก ก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์
...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย
เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น
นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก
คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดีๆ อย่างเขา
ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม
แน่นอนที่สุดสมบัติต่างๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา

ฉันได้พบภรรยาเขาอีก
เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง 
และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง
แต่กลับสัมผัสได้ว่า
เขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่างๆ นานาแล้วก็ตาม
แต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย

ในพินัยกรรมระบุว่า
ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา
ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น
เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา
...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
สมุดบันทึกนั้นเริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน
อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้
เมื่อพบข้อความว่า

เขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกินไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวันนั้น.... เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง
จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้ง
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ

เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน
ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา
นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข
จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา

...ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน
ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า

"แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ..."
แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา....