เรื่องราว ข้อความหรือคำพูดดีๆ เพื่อแบ่งปันให้คนที่คุณรักหรือรักคุณ
หน้าเว็บ
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558
แม้แต่นายพรานก็ยัง...ไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย
ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า (Chiune Sugihara)
กงสุลใหญ่ญี่ปุ่นประจำประเทศลิทัวเนีย
จำได้ดีว่า เช้าวันหนึ่งปลายเดือนกรกฎาคม
ปี ๑๙๔๐ จู่ ๆ ก็มีชาวยิวล้อมรอบกำแพง
สถานกงสุลเต็มไปหมด
คนเหล่านี้มาหาชิอุเนะด้วยเหตุผลเดียว
นั่นคือ.....ต้องการให้เขาออกวีซ่า
สำหรับนักท่องเที่ยวให้
ทว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่วีซ่า
เพื่อการพักผ่อนอย่างที่ระบุไว้ในเอกสาร
แต่เป็น...วีซ่า...เพื่อการรอดชีวิต
ช่วงเวลานั้นมีชาวลิทัวเนียและ
ชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวจำนวนมาก
ต้องการอพยพหนีออกนอกประเทศ
เพราะลิทัวเนียตกอยู่ในอาณัติของ
สหภาพโซเวียตและถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม
สงครามโลกครั้งที่สอง ลิทัวเนียต้องรับมือ
ในการสู้รบกับกองทัพนาซีที่แข็งแกร่ง
และกำลังจะพ่ายแพ้
ซึ่งถ้าแพ้......ก็หมายความว่าชาวยิว
ในลิทัวเนียจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และหากไม่มี...วีซ่า...พวกเขาก็จะ
ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศ
อย่างปลอดภัยได้เป็นอันขาด
“แม้แต่นายพราน...ก็ยังไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย”
สุภาษิตของซามูไรบทนี้ปรากฏชัดในใจ
ของชิอุเนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้ตัวว่าเขาคือ
นายพรานที่ฝูงนกบินมาพักอาศัย
ชิอุเนะโทรเลขปรึกษากระทรวงการ
ต่างประเทศญี่ปุ่นเพื่อขออนุญาตออกวีซ่า
ให้ชาวยิวเป็นกรณีพิเศษถึง ๓ ครั้ง
เพราะชาวยิวส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร
ไม่มีพาสปอร์ต และไม่มีแม้แต่....เงินค่าเดินทาง
แต่...ทุกครั้งได้รับปฏิเสธ...
เวลาหนี....เหลือน้อยลงทุกที
ผู้คนมาเข้าแถวรอหน้าสถานกงสุลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชิอุเนะจึงปรึกษา ยูกิโกะ ภรรยาของเขา
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า เขาจะออกวีซ่า
ให้ชาวยิวทุกคน แม้ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม!
ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม – ๒๘ สิงหาคม
ปีนั้น ชิอุเนะและภรรยาช่วยกันออกวีซ่า
ซึ่งต้องเขียนด้วยมือตามระเบียบของกระทรวงฯ
วันละ ๑๘ -๒๐ ชั่วโมง และทั้ง ๆ ที่โซเวียต
สั่งให้สถานทูตทุกแห่งปิด
แต่ชิอุเนะก็ทำเรื่องขอเปิดดำเนินการต่ออีก ๒๐ วัน
ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางออก
จากลิทัวเนีย เขาและภรรยานั่งเขียนวีซ่าตลอดทั้งคืน...
ชิอุเนะ...ยังคงเขียนแม้ตอนที่ไปถึงสถานีแล้ว
ซึ่งที่นั่นมีชาวยิวเฝ้ารอเขาอยู่เป็นจำนวนมาก
กระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา
ชิอุเนะจึง...โยนกระดาษเปล่า
ที่มีลายเซ็นของเขาออกมาทางหน้าต่าง
สุดท้าย...ก็โยนตราประทับของสถานกงสุล
ออกมาด้วย เพื่อว่า...ชาวยิวจะใช้มันทำวีซ่าปลอมได้
นักประวัติศาสตร์....ประเมินว่า
การกระทำที่กล้าหาญของชิอุเนะสามารถ
ช่วยเหลือชาวยิวได้ถึง ๖,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ คน
แม้ว่าทางกระทรวงฯ จะไม่ได้
สอบสวนเขาต่อกรณีที่เกิดขึ้น
ทว่า...ผลจากการตัดสินใจโดยพลการครั้งนั้น
ทำให้ชิอุเนะหมดอนาคตในหน้าที่การงานอย่างสิ้นเชิง
เขาถูกกดดันให้ลาออกในปี ๑๙๔๗
หลังจากนั้นชิอุเนะต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นล่าม
แปลเอกสาร และเป็นผู้จัดการบริษัทส่งออก
ซึ่งทำให้เขาต้องจากครอบครัวไปใช้ชีวิต
ลำพังในโซเวียตนานถึง ๑๖ ปี
เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในลิทัวเนีย
ให้ใครฟังเลย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่
จึงไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
กระทั่งถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี ๑๙๘๖
เมื่อถึงวันฝังศพเขา ทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่น
พร้อมด้วยชาวยิวที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือ
ของชิอุเนะ...ได้มารวมตัวกันเพื่อเคารพศพ
และให้กำลังใจ...ยูกิโกะ
สื่อมวลชน.....จึงสนใจเรื่องราว
ของอดีตนัการทูตคนนี้ขึ้นมา
ภายหลังจึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์
ให้เขาทั้งในญี่ปุ่นและในอีกหลาย ๆ เมือง
ทั่วโลก ผู้คนนำเรื่องของ “ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า”
ไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์
และทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อรำลึกถึงเขา...
จนทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า...
จะดีมากเพียงใดถ้าเขาได้รับสิ่งเหล่านี้....
เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม....
แม้ว่าชิอุเนะต้องเผชิญความยากลำบาก
และความว้าเหว่เป็นเวลานาน
เราคง...มิบังอาจคิดว่า....เขาและครอบครัว
จะไม่มีความสุข
แท้จริงแล้ว...ความซาบซึ้งใจ...
ที่ได้ช่วยชีวิตคนนับพันนับหมื่นคน
ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของสามีภรรยาคู่นี้
ดังที่ยูกิโกะได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี ๒๐๐๔ ว่า
“ฉันจำได้ว่า...มีคนมารอที่สถานีรถไฟ
เต็มไปหมด สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยม
ไปด้วยคำขอบคุณ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัว
หลายคนวิ่งตามและโบกมือให้
มีคนตะโกนขึ้นมาว่า
“เราจะ...ไม่ลืมคุณ เราจะได้พบกันอีก”
ฉันและสามีมองภาพนั้นแล้ว...
มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แม้แต่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน”
วีซ่าเพื่อชีวิต
ของ..ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า
จากนิตยสาร...ซีเคร็ต
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สามีของฉัน ภรรยาของผม
เขาไม่ได้บอกภรรยาว่าเขาตกงาน
ทุกเช้า เขายังทำตัวเป็นปกติ หลังจากทานอาหารเช้าเขาก็ตรงเข้าไปหอมแก้มภรรยา
“ผมไปทำงานละนะ เย็นนี้เจอกัน”
“อย่าเถลไถลนะคุณ” ภรรยาหยอกเขาเหมือนเดิมทุกครั้ง
เขาวิ่งตามให้ทันรถเมล์ จากนั้นก็เดินเบียดผู้คนเข้าไปยืนบนรถ เมื่อผ่านไป 3 ป้าย เขาก็กดออดเพื่อลงจากรถ
เขาเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ใบหน้าของเขาหม่นหมองและกังวล ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า เขามองดูห่านที่กำลังแหวกว่ายเล่นกันอยู่ในบึง
“ชีวิตของพวกนายน่าอิจฉา” เขาพึมพำออกไป
เขาผลัดเดินผลัดนั่งอยู่ในสวนจนเกือบค่ำ จากนั้นก็ลุกขึ้น ฝืนยิ้มและทำท่าทางแจ่มใสขึ้นมา
“เลิกงานแล้ว กลับบ้านได้” เขายืดตัวพร้อมกับกระชับกระเป๋าเอกสารจากนั้นก็จัดเสื้อกางเกงและเนคไทด์ให้เข้าที่เข้าทาง
“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”
เขาทำอย่างนี้เป็นเวลาถึง 5 วันแล้ววันที่ 6 ของการตกงาน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปของานจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในแผนกผสมปูน ที่นี่แตกต่างจากงานบริษัทที่เขาเคยทำ มันมีทั้งฝุ่นทั้งละอองของปูน แต่เขาก็ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตต่อจากนี้ไปเขาและภรรยาจะกินอยู่อย่างไร?
บ่ายวันแรกที่ทำงานที่นี่ เมื่อเขามองกระจกในห้องน้ำ เขาเหมือนคนที่ถูกถังผสมปูนหล่นทับ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขารีบอาบน้ำที่บริษัทและเปลี่ยนชุดเป็นสูทเหมือนตอนที่ออกจากบ้านมา เดินออกจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบไม่เหลือเค้าคนงานผสมปู เมื่อกลางวันที่ผ่านมา
“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”
ภรรยาของเขารีบวิ่งมาเปิดประตู เธอได้กลิ่นหอมของสบู่จากตัวผู้เป็นสามี
ส่วนเขา เมื่อเดินเข้าบ้าน ก็เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านช่องหอมอบอวลไปด้วยดอกไม้ที่ภรรยาตัดมาจากกระถางริมระเบียงที่ซื้อมาปลูกไว้ เขารู้สึกผ่อนคลายและภูมิใจในตัวภรรยามาก แค่นี้ก็ทำให้เขาหายเหนื่อยได้ในทันที
ขณะที่กำลังทานข้าว ภรรยาของเขาเอ่ยถามขึ้น
“ช่วงนี้งานที่บริษัทพ่อเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ราบรื่นดี บริษัทเพิ่งรับเด็กสาวที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาทำงาน 1 คน น้องน่ารักดีนะแม่”
ภรรยาทำท่าทีโกรธขึ้นมา พร้อมกับเอื้อมมือไปจับหูของสามีและดึงเบาๆ
“อย่าเถลไถลเลยเชียวนะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“แม่เปิดน้ำอุ่นไว้ให้พ่อแล้วนะ พ่อจะอาบน้ำก่อนไหม?”
“ก่อนกลับ พ่อแวะไปว่ายน้ำกับเพื่อนที่สโมสรมา พ่ออาบมาแล้วจ้า”
ภรรยาเก็บจานชามไปพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ไปด้วย
“เกือบไป ไม่รู้จะเก็บความลับไว้ได้อีกนานเท่าไหร่?” เขาพึมพำขึ้นมาเบาๆ พร้อมถอนหายใจโล่งอก
เขาเดินเข้าห้อง ล้างหน้าแปรงฟัน ยังไม่ทันได้อ่านหนังสือก็หลุดจากมือ เขาหลับไปด้วยความเพลียจากงานในวันนี้
เขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างถึง 20 วัน
เย็นวันนั้น เมื่อเขากลับถึงบ้าน ตอนที่กำลังทานอาหาร ภรรยาของเขาเอ่ยขึ้นมาว่า
“พ่อไม่ต้องทำงานที่บริษัทเก่าแล้วนะ แม่ได้ข่าวว่ามีบริษัทหนึ่งกำลังขาดผู้จัดการ เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่พอดี แม่โทรศัพท์ไปสอบถามแล้ว บริษัทเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์อย่างพ่อเลย พรุ่งนี้พ่อลองไปสมัครดูนะ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามภรรยาว่า
“ทำไมอยากให้พ่อเปลี่ยนงานละแม่?”
“เปลี่ยนงานก็ดีเหมือนกันนะพ่อ พ่อจะได้มีสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม อีกอย่างบริษัทนี้ก็ใหญ่โตและมีความมั่นคงดีด้วย” เธอบอกกับผู้เป็นสามี
วันรุ่งขึ้น เขาไปสมัครงานกับบริษัทที่ภรรยาแนะนำไว้เมื่อวาน และบริษัทก็รับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนก เหมือนที่เขาเคยทำที่บริษัทเก่า
บ่ายวันนั้น เขาซื้อผักและอาหารหลายอย่างกลับบ้าน เพื่อเลี้ยงฉลองกับภรรยา เขาคิด ภรรยาของเขาคงรู้ว่าเขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เรื่องนี้แม้เขาจะไม่ได้บอก แต่คงจะปิดเธอไม่มิดเป็นแน่ ไม่งั้นเธอไม่แนะนำงานที่บริษัทนี้ให้เขามาสมัครหรอก
เขานึกถึงอาหารมื้อค่ำหลายสิบวันที่ผ่านมา ทุกวันจะมีเห็ดหูหนูเป็นอาหารขึ้นโต๊ะอยู่หนึ่งอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผัดหรือต้มหรือแกงก็ตาม เพราะเห็ดหูหนูมีคุณสมบัติช่วยล้างปอด เขาทำงานอยู่กับฝุ่นมาทั้งวัน ได้กินเห็ดหูหนูผัดไข่ก็ช่วยเขาได้มาก เขาเชื่อว่าภรรยาของเขารู้เรื่องที่เขาไปทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแล้ว แต่เธอไม่เคยเอ่ยถาม เธอกลับแอบทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อเขา เธอคงกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ
...................
ชีวิตคู่ มีความซาบซึ้งอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ผูกสมัครรักใคร่” และอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน” แต่แท้ที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เรียกว่า “พูดในสิ่งที่ควรพูด”
บทความนี้ ขอมอบให้แด่คุณผู้ชายคนดีที่กำลังเผชิญกับความกดดันในการสร้างฐานะครอบครัว
และขอมอบให้แด่คุณผู้หญิงคนดี ที่คุณรู้จักเข้าใจและรักผู้ชายคนดีอันเป็นสามีที่ดีของคุณคนนี้
ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง อะไรคือสิ่งสำคัญนอกเหนือจากพ่อแม่และพี่น้องของเขา?
คำตอบก็คือ เขาได้เจอกับผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง
ผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะยืนอยู่ในจุดที่สูงได้หรือไม่? เดินได้ไกลเพียงใด? สิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้และเป็นจุดที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ เขาได้พบผู้หญิงดีๆ สักคนหรือไม่? ผู้หญิงดีๆ คนนั้น อาจเป็นเพื่อน เป็นภรรยา อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรืออาจจะอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต
เพราะผู้ชายดีๆ คนหนึ่งต้องมีผู้หญิงดีๆ อีกคนหนึ่งคอยสนับสนุน ดูแลเอาใจใส่ ชื่นชมสรรเสริญ ปรึกษาแนะนำอยู่ข้างกาย หากปราศจากผู้หญิงดีๆ คนนั้น จะมีผู้ชายดีๆ คนนี้ได้อย่างไร!!!
วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557
เรื่องของหมีฟ้ากับลูกนก
หมีฟ้า เจอลูกนกถูกทิ้ง
หมีฟ้าจึงเอาลูกนกมาดูแล
แล้วเป็นพ่อให้ลูกนก
เมื่อถึงเวลา ลูกนกต้องฝึกบิน
ลูกนกถามหมีฟ้า พ่อจ๋าหนูจะบินได้อย่างไร
หมีฟ้าบอกไปว่า เดี๋ยวพ่อบินให้ดู
หมีฟ้ากระโดดจากยอดไม้แล้วกระพือแขนเร็วๆ เพื่อให้ลอยขึ้น
แต่ทุกครั้ง หมีฟ้าก็จะหล่นลงพื้น ด้วยความหนักของตัว
หมีฟ้าทำแบบนี้ทุกวัน ให้ลูกนกดู
แล้วบอกลูกนก ให้กระพือปีกแรงๆตาม
พ่อไม่เห็นบินได้เลย
ลูกนกถาม
เพราะพ่ออ้วนไง แต่ลูกบินได้นะ
ลองทำดูสิ หมีฟ้าบอกลูกนก
พ่อเธอไม่มีทางบินได้หรอก เพราะพ่อเธอไม่ใช่นก
ต้นไม้กระซิบบอกลูกนก
ถ้าพ่อบินไม่ได้ พ่อจะทำอย่างนั้นทุกวันทำไม
ลูกนกถามต้นไม้
"วันไหนเธอมีคนที่เธอรักสุดหัวใจ
เธอจะเข้าใจเอง" ต้นไม้ตอบ
ลูกนกมองหมีฟ้าที่ตัวเต็มไปด้วยแผล
แล้วถามว่า พ่อบินไม่ได้ พ่อจะพยายามบินทำไม
หมีฟ้ายิ้มแล้วลูบหัวลูกนกเบาๆ
พร้อมบอกว่า
" การพยายามทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก
มันไม่มีขีดจำกัดหรอก มันทำได้ทุกอย่าง
พ่ออยากให้หนูบินได้
เพื่อที่สักวันหนูโตขึ้น จะได้บินออกไปดูโลกกว้าง
บินออกไปเห็นอะไรใหม่ๆ
บินออกไปหากิน และเจอคนดีๆที่พร้อมจะเคียงข้างหนู
พ่อรักหนูนะ "
ลูกนกไม่ตอบอะไร
ปล่อยตัวลงไป กระพือปีกให้แรง
แล้วก็บินออกไปสู้ท้องฟ้ากว้างใหญ่
มีเพียงหมีฟ้าที่มองจากต้นไม้ต้นนั้น
ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและน้ำตาจากความใจหาย
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปไหน
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปหาใคร
แต่เขารู้ว่า ลูกนกบินได้แล้ว เขาก็สุขใจ
ตะวันกำลังลับลา
หมีฟ้านั่งเช็ดแผลตัวเอง
พร้อมกับมองเงาฝูงนกที่บินตรงขอบฟ้า
แล้วหวังว่าจะมีลูกที่เขารักบินอยู่ในนั้น
ก่อนหลับตาไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สุขใจ
............
ไม่ทันได้หลับสนิท ก็มีอะไรแผ่นใหญ่ๆมาห่มไว้
หมีฟ้าลืมตา เห็นลูกนกกำลังบินคาบใบไม้มาห่มให้
พร้อมกับอาหารและหญ้าสมุนไพรไว้ให้ใส่แผล
ลูกนกบินลงบนไหล่หมีฟ้าอย่างเบาๆ
แล้วกระซิบที่หูไปว่า
" หนูก็รักพ่อนะ "
(^^)ชอบบทความนี้มากอ่านแล้วน้ำตาซืมทุปครั้ง