หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรื่องเล่า...ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร


🌹ถ้าไม่อ่านข้อความนี้นับว่าพลาดอย่างแรง🌹เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าต่อ..ที่ฟังดูแล้วมีความเป็นเหตุ..เป็นผลแห่งพุทธ..อย่างแท้จริง..เรื่องมีอยู่ว่า

..สมัยพุทธกาล
มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้ว สุดท้ายเราจะได้อะไร

พระพุทธองค์ตอบว่า"ไม่ได้อะไรเลย"

เขาจึงถามต่อไปว่า... ถ้าเช่นนั้นท่านจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร

พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไป นั้นก็คือ

ความโกรธได้หายไป
ความหม่นหมองวิตกกังวลหายไป
ความเศร้าท้อแท้หายไป
ความกังวลไม่สบายใจหายไป
ความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะพิษร้ายทั้งสามก็หายไป
อวิชาคือความไม่รู้ที่ปิดกั้น ปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป

พูดเหมือนง่าย... แต่เหตุผลนั้นมันลึกซึ้ง...
คนทั้งหลายที่มาสู่โลกนี้ มีเพียงสองเรื่องคือเกิดกับตาย

เรื่องแรกทำสำเร็จไปแล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้นเราจะทุกข์ร้อนไปทำไม...

มีวาสนาก็มา ... ไม่มีวาสนาก็ไป... สิ่งใดที่สมควรแก่เหตุก็มาเอง... สิ่งใดที่ไม่สมควรแก่เหตุ จะแสวงหาก็ไม่พบ อ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ...
มีวาสนาก็ไม่ปฏิเสธ ไร้วาสนาก็ไม่ต้องแสวงหา... สิ่งที่เข้ามาหาก็ต้อนรับ สิ่งที่จากไปก็ไม่ต้องอาลัย... ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่วาสนา ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

ผู้มีปัญญาทั้งหลายไม่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับปากและตาของผู้อื่น... ให้มองเห็นจิตและใจของตนเอง... มีสติ รู้จิต ไม่ฟุ้งซ่าน... ไม่ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่หลอกลวงทั้งหลาย... ไม่ดิ้นรนแสวงหา ใจเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง... จะร้อนจะหนาว จะลุกจะนั่ง จิตก็มีสติอยู่เสมอ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม

เกิดเป็นคน อย่าเป็นคนหลอกลวงไร้สัจจะ ถ้าเป็นคนหลอกลวงจะไม่สามารถเปิดใจต่อผู้อื่นได้... ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คือใจที่ไร้ที่พึ่ง...

ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม จิตที่ดีงามย่อมไม่มีเรื่องทุกข์ใจฺ...

จิตที่ประเสริฐ ย่อมไม่มีผู้ที่จะต้องเคียดแค้นชิงชัง... จิตที่เรียบง่าย ย่อมไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ... เป็นคนดี กายใจซื่อตรง ย่อมหลับเป็นสุข... ผู้ประกอบกรรมดี ฟ้าดินย่อมมองเห็น ผีสางเทวดาย่อมสรรเสริญ

ความสงบที่แท้จริงมิได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆหลายชั่วโมง แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจที่สงบ ได้ยินแม้แต่เสียงดอกไม้บาน... นั่งก็เป็นสมาธิ เดินก็เป็นสมาธิ

เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ว่างเปล่า...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ ได้แต่เพียงเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป... พวกเราทุกคนเป็นเพียงแขกผู้ผ่านกาลเวลาเท่านั้น... วันหนึ่งเราก็ต้องบอกลาทุกสิ่งไป

ทุกสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าเรานั้นควรจะทนุถนอม... แต่สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ควรต้องอาลัย... สิ่งใดที่ควรได้ก็ให้รับเขาด้วยความยินดีแต่ไม่ยึดถือ..

ขออวยพรแด่ทุกคนที่มีวาสนาได้เกิดมาร่วมโลกกัน... เป็นครอบครัวเดียวกัน... เป็นญาติสนิทมิตรสหาย... รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายขอจงมีความสุข เบิกบานใจทุกวันคืน...

ถ้าอ่านแล้วจะส่งต่อให้เพื่อนก็เป็นบุญ จะพิจารณาอยู่ก็เป็นคุณที่ดีเฉพาะตัว...

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ท่านที่ช่วยแชร์ต่อๆ ไป... ขออำนาจกรรมดีความดีจงคุ้มครองให้ทุกทุกท่านวิวัฒน์สวัสดีตลอดกาลนาน

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

มหัศจรรย์แห่งการอ่าน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นที่ร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง!
. . . . .

ขณะที่ร้านหนังสืออื่นกำลังค่อย ๆ ตายลง แต่สำหรับร้านนี้ดูเหมือนจะตายยาก- - มิเพียงไม่ตาย แต่ยังต่อลมหายใจได้ด้วยพลังรักแรงศรัทธาของประชาชนในเมือง!
. . . . .

October Books ร้านหนังสืออิสระเล็ก ๆ ที่เมืองเซาแธมป์ตัน เกือบจะต้องปิดตัวเองลง เพราะสู้ค่าเช่าตึกที่สูงขึ้นไม่ไหว ซึ่งอยู่มานานตั้งแต่ปี 1977 เจ้าของร้านจึงคิดโครงการระดมทุนจากประชาชนเพื่อซื้อตึกเก่า(ราคาประมาณ  400,000 เหรียญ)ที่อยู่ห่างออกไปราว 500 เมตร ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ลูกค้าประจำกว่าหลายร้อยคน ร่วมกันบริจาคและบางคนให้ยืมเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะซื้อตึกนั้น
.

เมื่อซื้อตึกสำเร็จ ถึงตอนที่จะต้องย้ายหนังสือจำนวนมากไปยังร้านใหม่ก็เป็นปัญหาอีกรอบ เพราะหากต้องจ้างบริษัทขนย้าย ก็ต้องใช้เงินอีกก้อนโต เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางร้านจึงประกาศรับอาสาสมัครเป็น “สายพานลำเลียง”หนังสือ เขาคิดว่าคงมีจิตอาสามาสัก 10-20 คน แต่เมื่อถึงวันย้าย - กลับผิดคาด! พวกเขามากันกว่า 200 คน ยืนเรียงกันเป็นแถวยาวบนทางเท้า ส่งต่อหนังสือจำนวน 2,000 กว่าเล่ม จากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง จากร้านเดิมไปยังร้านใหม่!
.

คนที่เดินผ่านไปมาเมื่อรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก็จะกระโดดเข้าร่วมวงด้วยทันที มิเพียงเท่านั้น ร้านอาหารใกล้เคียง ยังได้เอื้อเฟื้อชากาแฟร้อน ๆ มาบริการเหล่าอาสาสมัครด้วย
.

เมื่อภาพข่าวนี้แพร่กระจายออกไป หลายคนชื่นชม หลายคนตั้งคำถาม- -

ทำไมร้านหนังสือเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ถึงมีคนรักมากมาย...?
ทำไมชาวเมืองจึงพร้อมใจกันขนาดนี้?
ใช่การอ่านหรือไม่ ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง?

ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนแน่นอน
แต่เท่าที่รู้- -

สายพานลำเลียงความรักนี้ ต้องเริ่มต้นจากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง ความมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้นได้

เช่นเดียวกัน, สังคมดี ๆ ไม่ใช่ได้มา ด้วยการเนรมิตร้องขอ
หากเราทุกคนต้องร่วมใจ ลงมือทำ สร้างขึ้นเอง!

ปะการัง

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เคยสงสัยว่าตอบจบของ "ไซอิ๋ว" คืออะไร

เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังๆ สักที เคยดูทางทีวีบ้างบางตอน รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยมีเค้าโครงเรื่องจริงของ พระเสวียนจั้ง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่เสริมเรื่องอภินิหารให้อ่านสนุกขึ้น
.
วันนี้เลยนั่งดู google  กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วจึงเป็นนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือ การกางพระไตรปิฎกออกมา แล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน
.
"พระถังซำจั๋ง" คือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องเริ่มจากมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย..

โทสะ - หงอคง โกรธ 
โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ
โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้

ก็แค่นั้น จนเจอที่เขาอธิบายใน Google แต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งในความสามารถของคนแต่งเลยครับ
.
"หงอคง" แปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้.... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น
.
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะเราจะเหมือนหงอคง เวลาแผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง
.
แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่ไหน ?
ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว
.
ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน "ขันธ์ 5 " ต่อให้จิตแน่แค่ไหน สุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
.
นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นยังเกิดปัญหาได้
.
พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังซำจั๋งคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา

ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป
.
ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า.. "จะไปชมพูทวีป ผมพาพระอาจารย์ตีลังกาไป 7 ทีก็ถึง มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ" พระถังบอกว่า  "ไม่ได้..ต้องเดินไป"
.
ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญญา ฟังเขาเล่า ฟังเขาบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แป๊บเดียวก็ไปถึงนิพพานละ
เช่น  คนเล่าให้ฟังเรื่องอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ก็บอกฟังเข้าใจละ.. แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่เข้าใจ..
.
ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที  มันไปไม่ถึงเพราะเอาเร็วเข้าว่า แต่ขาดความเข้าใจ ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป จึงจะถึง...
.
โป๊ยก่าย คือศีล 8  
ซัวเจ๊ง คือสมาธิ

ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ  จึงจะพ้นทุกข์
.
แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย
เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา
.
.
ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลส ควรใช้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงใช้เมตตา..ปล่อยวาง

ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์
.
ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็สุดยอดมาก เช่น เมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย
.
โจรทั้งหกคือ "อายตนะ 6"  คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (กระบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้
แล้วก็จะเจอปีศาจไปเรื่อยๆ
.
สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ.. ออกเดินทาง กำจัดกิเลส.. ไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร ?
.
ตอนจบพระถังซำจั๋งและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง จนเจอเรือไร้ท้องเรือ จอดอยู่ พระถังกังวลมาก เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากได้อย่างไร?
.
แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส เรือนั้นแทน "สุญญตา" ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
.
เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป และได้คัมภีร์มา..เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม
แทนธรรมมะ ซึ่งก็คือความว่างเปล่า ...หรือ "นิพพาน" นั่นเอง
.
แต่สุดท้าย.. เห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปเมืองจีนหน่อย เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร เป็นบันทึกการเดินทาง เรียกว่า "พระไตรปิฎก" ...

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

อ่านแล้วต้องคารวะคนแต่งเลย ....
เก่งและแยบยลมากๆ

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สามก๊กยุคดิจิทัล


#กวนอู 
...ตาย เพราะหยิ่งในความเป็นทหาร เพิกเฉยต่อการเจรจากับซุนกวนจนสุดท้ายหัวขาดในสถานะผู้แพ้สงคราม

#เตียวหุย
...ตาย เพราะลุแก่โมหะ ถือตนว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ สั่งโบยตีทหารเลว จนสุดท้ายทหารเลวแอบมาปาดคอตอนแม่ทัพใหญ่กำลังเมามาย

#เล่าปี่
...ตาย เพราะลุแก่โทสะ อยากแก้แค้นให้กวนอู ถือตนว่าเป็นอ๋องเป็นกษัตริย์จนลืมไตร่ตรองวิธีตั้งค่าย สุดท้ายพลาดท่าถูกลกซุนแม่ทัพหน้าใหม่ของซุนกวนพาทหารมาเผาค่ายจนวอดวาย เล่าปี่บาดเจ็บและตรอมใจตาย

#โจโฉ และ #ซุนกวน
...ผู้ที่ได้ชื่อว่าจอมทัพและครองพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดินมังกร ตายด้วยอาการประสาทเสื่อม มองเห็นภาพหลอนของคนที่ตัวเองเคยเข่นฆ่า

#จิวยี่
...ผู้มีปัญญาล้ำเลิศที่สุดในง่อก๊ก ต้องกระอักเลือดตายเพราะไม่สามารถระงับโทสะที่เกิดขึ้นจากการพ่ายแพ้อย่างราบคาบแก่ผู้มีปัญญาเลิศล้ำกว่าตน ที่มีนามว่า ขงเบ้ง

#จูกัดเหลียง หรือ #ขงเบ้ง
...ผู้มีปัญญาเลิศล้ำที่สุดในแผ่นดินมังกร ตายไปพร้อมกับอาการห่วงหน้าพะวงหลัง พะว้าพะวัง ในราชกิจที่ยังคงคั่งค้าง

ที่กล่าวมาทุกคนล้วนแต่เป็น "วีรบุรุษ" ล้วนแต่เป็น "นักปราชญ์" ล้วนแต่เป็น "เจ้าเหนือหัว"

แต่การมีแค่เพียงพละกำลัง ความรู้ และอำนาจ
ไม่ได้ช่วยให้ใครตายสบายสักผู้สักคน
ตราบใดที่คนเหล่านั้นยังคงยึดถือ "#ตัวตน"
หรือ "#อัตตา" ในตัวเองอยู่

จะกล่าวถึง

#เตียวจูล่งหยุ่น
...แม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ ผู้นี้ฆ่าคนมามาก ไต่เต้าจากตำแหน่งทหารกระจอก จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งจ๊กก๊ก
...แต่ทุกภารกิจ ทุกศพที่เขาเข่นฆ่า และทุกสงคราม จูล่งไม่เคยเอาอารมณ์เข้าไปผสม
...จูล่งทำ "#หน้าที่เพื่อหน้าที่" เท่านั้น
...แม้ก่อนตายจูล่งจะเสียสถิติ "ขุนศึกผู้ไร้พ่าย" เพราะต้องมีอันพ่ายแพ้ในศึกเทียนสุย จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่จูล่งสามารถละอัตตา สั่งถอยทัพเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม
...และยังปลงใจให้ยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้นได้
...วาระสุดท้ายของจูล่ง จึงจากไปอย่างสงบ
...สงบจนพระเจ้าเล่าเสี้ยนถึงกับหลั่งน้ำตาชโลมแผ่นดินมังกรให้แก่ขุนศึกผู้เปรียบเสมือนบิดาของตนเอง

ความเครียดจากชีวิตยุคดิจิทัล
คงไม่ได้เกิดมาจากความลำบากในการทำงานอย่างเดียว ไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาดหรือผิดหวังอย่างเดียว

แต่เกิดจากการที่เรา เอาตัวเรา เข้าไปผสมกับงาน
ผสมกับผลการสอบ กับผลการประเมิน กับเงินเดือน
หรือกับสิ่งต่างๆ รอบกาย

พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา
#ละตัวตน + #ลดอัตตา

#ทำหน้าที่ = #เพื่อหน้าที่

#3ก๊กฉบับสอบราชการ

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แบบไหนที่เรียกว่า คนที่มีบุญมาก

ใครคือคนที่มีบุญมาก……ท่านเองก็อาจมีบุญมากได้ด้วยการฝีกฝน

~ คนที่ทำทานมาก…อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมากเสมอไป…คนที่มีศีลมาก…ก็อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมาก…แล คนที่ทำสมาธิมาก…ก็อาจไม่ใช่คนที่มีบุญมากเช่นเดียวกัน

~ คนที่ทำทานมาก……อาจเป็นเพียงคนที่รู้จักเสียสละมาก…แต่ถ้า ในชีวิตประจำวัน นั้น……ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้บ่น…รู้สึกว่ามีแต่เรื่องที่ไม่น่าพอใจ…มีแต่เรื่องกวนใจมารบกวน…มีแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจมาให้ได้พบเห็น…มีแต่ความทุกข์ใจ……จะถือว่าเป็นคนมีบุญมากได้อย่างไร

~ คนที่คิดว่ามีศีลมาก……ทำสมาธิมาก……ก็ไม่แตกต่างกันมากนักดอก……เพราะ…ถ้า ในชีวิตประจำวัน นั้น……ยังเป็นคนที่ขี้หงุดหงิดขี้บ่น…รู้สึกว่ามีแต่เรื่องที่ไม่น่าพอใจ…มีแต่เรื่องกวนใจมารบกวน…มีแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจมาให้ได้พบเห็น…มีแต่ความทุกข์ใจ……จะถือว่าเป็นคนมีบุญมากได้อย่างไร……แต่ ก็ยังดีที่ได้สะสมอริยทรัพย์ไว้ใช้ในโลกหน้า……เพียงแต่ …ในโลกปัจจุบัน…ย่อมถือว่า…ท่านยังไม่มีบุญมากจริง

~ คนที่มีบุญมาก คือ…คนที่สบายใจง่าย ……อยู่ที่ไหน…ในเวลาใด……ก็สุขง่าย…ทุกข์ยาก……มีแต่ความเบาจิตเบาใจ…ปลอดโปร่งโล่งสบาย……ท่านล่ะ……เป็นเช่นว่าหรือยัง ???……

~ คนที่สามารถจ่ายค่าอาหารแพงๆในร้านดีร้านดัง…แต่ยังปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิด…กับบริการ …หรือ…เรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ …อาจเรียกได้ว่า…เป็นคนมีสตางค์มาก…แต่ยังไม่ใช่คนมีบุญมากจริงๆ

~ คนที่มีบุญมากจริงๆนั้น… มักจะอยู่ง่ายกินง่าย… ปรับตัวได้ง่าย …ไม่ค่อยถือสาอะไรมากมายให้เป็นทุกข์ …อะไรที่เป็นทุกข์…ก็เพียงรู้ว่า…เป็นทุกข์…แต่…ไม่นำทุกข์มาแบก

~ คนที่มีบุญมากจริงๆ …มักไม่ค่อยถือตัวถือตน …เข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ……ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร……มีเกิดแล้ว…ตั้งอยู่…ในที่สุดก็ดับไป……มีความรู้สึกปล่อยวาง…มากกว่าเอามาแบกทับถมตัวเองให้เป็นภาระหนักตลอดเวลา……

~ คนที่มีบุญมากจริงๆ……มักไม่คิดว่าตนเองพิเศษอะไรกว่าใคร …ในทางตรงกันข้าม …เขาจะรู้สึกขอบคุณ……เวลาที่ใครทำอะไรให้ ……ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ……จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดี ……แม้ถึงคราวที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ใดๆที่ไม่ดี ……ก็ยังเห็นเป็นบทเรียน หรือ……ยังพอเห็นด้านดีได้อยู่……หรือ มักมองเห็นด้านบวกได้เสมอ
.
~ คนที่มีบุญมากจริงๆ……ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพียบพร้อม ……หรือดีพร้อม ……ถึงกระนั้น……เขาก็ไม่รู้สึกต่ำกว่า……หรือสูงกว่าใคร ……ดีกว่าใคร……หรือเลวกว่าใคร ……ฉลาดกว่าใคร……หรือโง่กว่าใคร ……เพราะเขาให้เกียรติความเป็นคนของทุกคน ……รวมทั้งตนเอง ……จึงไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร ……หรือ……นำใครมาเปรียบเทียบกับตนเอง ……ถึงกระนั้น ……เขาก็ยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น ……โดยไม่หลงเป็นเหยื่อคำสรรเสริญ ……และ…คำนินทา
.
~ คนมีบุญมากจริงๆ……มองไปที่ไหน …เมื่อใด…ได้ยินอะไร……ก็สบายอกสบายใจ ……เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเอง……ของทุกๆชีวิต ……เห็นคนได้ดี ก็รู้ว่า……เขาคงเคยทำสิ่งดีๆมาก่อน……เห็นคนลำบาก……ที่พอช่วยเหลือได้ ……ก็ช่วยไปตามกำลัง ……อะไรที่เกินกำลัง……ก็ไม่ปล่อยให้ตนเองว้าวุ่น กังวล ทุกข์ร้อนใจไปกับสิ่งนั้น……เข้าใจดีว่า……ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง……มีกรรมเป็นมรดก……แต่ละคน…ย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำ……ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี…ละอายชั่ว…กลัวบาป……ทำสิ่งที่ดีๆ……หาเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติในการปฏิบัติธรรม……โดยทำในที่ใดๆก็ได้……ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด ……หรือ ที่สำนักปฏิบัติธรรมใดๆ……ทำที่บ้านก็ได้……ทำได้ในทุกแห่ง……ด้วยความมีสติในปัจจุบันขณะ

~ พวกเราทุกคน……สามารถฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนที่มีบุญมากดังกล่าวได้  ……เป็นเรื่องปัจจัตตัง……ที่รู้ได้เฉพาะตนคนที่ทำการฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีบุญมากก่อนตายได้ทุกคน
~ ขออำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านและ…ผู้เรียบเรียงเป็นผู้สำเร็จในการมีบุญมากในชาติปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชัยชนะที่ยั่งยืน


สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับและนักสร้างหนังชื่อดังแห่งฮอลลีวู้ด เล่าว่าเมื่ออายุ ๑๓ ปีชีวิตของเขาเหมือนตกอยู่ในนรก เพราะที่โรงเรียนมีอันธพาลวัย ๑๕ คนหนึ่งชอบทำร้ายเขา ทั้งทุบตีและขว้างปาระเบิดไข่เน่าใส่เขา เขาทนสภาพนี้อยู่นาน 

แล้ววันหนึ่งเขาก็เข้าไปหาอันธพาลคนนั้นและพูดว่า

“เธอรู้ไหม ฉันกำลังถ่ายทำหนังเรื่องสู้กับนาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม ?” 

ทีแรกอันธพาลหัวเราะใส่เขา แต่ในที่สุดก็ตกลง สปีลเบิร์กเล่าว่า หลังจากถ่ายทำวีดีโอเสร็จ อันธพาลคนนั้นได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขา

การที่สปีลเบิร์กให้การยอมรับเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นพระเอก มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนเขาจาก “ศัตรู” ให้กลายเป็นมิตรได้ เพราะลึก ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้รับความยอมรับ สปีลเบิร์กชนะใจเขาด้วยการยื่นไมตรีให้แทนที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูหรือยอมจำนนต่ออำนาจบาตรใหญ่ของเขา

น้ำใจไมตรีไม่เพียงแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้คลี่คลายไปในทางที่ดีเท่านั้น หากยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วย

นักธุรกิจไทยผู้หนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือในเมืองบอสตันว่า เธอเคยถูกคนผิวดำล็อกคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัย เมื่อโจรพบว่าในกระเป๋าของเธอมีเงินแค่ ๒๐ ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจ เขาขุ่นเคืองหนักขึ้นเมื่อพบว่าเธอไม่มีนาฬิกา แหวนและกำไลเลยสักอย่าง เขาจึงถามเธอว่า 

“เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวยไม่ใช่หรือ ?” 

เธอตอบว่า 

“สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา”

แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน ๒๐ ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำอะไร เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ เขาถามเธอว่าเอาไข่ไปทำอะไร 

“เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์” 

เธอตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นการเงินฝืดเคือง

ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยกหูโทรศัพท์เรียกตำรวจ เธอมองเห็นพอดีก็เลยโบกมือว่า

“ไม่ต้อง ๆ เราเป็นเพื่อนกัน” 

โจรได้ยินเช่นนั้นก็งง ถามว่า
“คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“ก็เมื่อกี้ไง” เธอตอบ

โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที หลังจากสนทนาพักใหญ่ โจรไม่เพียงแต่จะคืนเงินให้เธอ หากยังพาเธอไปซื้อไข่และซื้ออาหาร ๓ ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย แล้วยังแถมเงินอีก ๕๐ ดอลลาร์

เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน ๕๐ ดอลลาร์นั้นไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทย แล้วไปเยี่ยมบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว นับแต่นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่าทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง

น้ำใจไมตรีและความดีนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี และเปลี่ยนภัยคุกคามให้เป็นสะพานสานมิตรภาพได้ 

ใช่หรือไม่ว่าการกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตรนั่นเอง นี้คือชัยชนะที่ให้ผลยั่งยืนกว่าชัยชนะด้วยกำลังที่เหนือกว่า 

พลังของน้ำใจไมตรีและความดีนั้นอยู่ที่การดึงเอาคุณธรรมและความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งออกมาแม้จะซ่อนเร้นหรืออยู่ลึกเพียงใดก็ตาม 

ในทางตรงกันข้ามการใช้พละกำลังและความรุนแรงมีแต่จะดึงเอาความโกรธเกลียดและคุณสมบัติทางลบของคู่กรณีออกมาปะทะกัน ผลก็คือความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นความรุนแรง หรือทำให้ความรุนแรงไต่ระดับจนยากแก่การระงับ 

เวรไม่อาจระงับด้วยการจองเวรก็เพราะเหตุนี้

พระไพศาล วิสาโล

Hatred does not cease by hatred, but only by love; this is the eternal rule.
Gautama Buddha, The Dhammapada: The Sayings of the Buddha

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

ชายพเนจรกับพระโพธิสัตว์

ชายพเนจรเร่ร่อนคนหนึ่ง เดินเข้าไปในวิหารของวัดแห่งหนึ่ง เขาเห็นพระโพธิสัตว์นั่งอยู่บนบัลลังก์บัว มีผู้คนกราบไหว้บูชา จึงรู้สึกเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกอิจฉาพระโพธิสัตว์ไม่ได้ จึงถามพระโพธิสัตว์ว่า

“ลูกช้างขอนั่งแทนท่านสักครู่ได้ไหมขอรับ?”

“ได้สิ แต่เธอต้องสัญญาว่าจะไม่เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น นั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังเท่านั้น หากทำได้ เราก็ให้เจ้านั่งแทนเราได้!” พระโพธิสัตว์กล่าวตอบ

ชายพเนจรจึงรับปากว่าจะทำตามสัญญา เมื่อเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แทนพระโพธิสัตว์แล้ว สิ่งที่เขาได้เห็นคือ มีผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างจิตต่างใจ ล้วนมาอธิษฐาน อ้อนวอนขอบางสิ่งบางอย่างทั้งสิ้น

แม้ชายพเนจรจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใดที่ต้องเป็นฝ่ายรับฟังเพียงอย่างเดียว เขาก็ต้องอดทน เพราะได้สัญญาต่อพระโพธิสัตว์ไว้แล้วว่าจะนั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังเท่านั้น

และแล้ว ก็มีเศรษฐีเฒ่าผู้หนึ่งได้เข้ามากราบพระโพธิสัตว์ กล่าวคำอธิษฐานว่า “ขอพระโพธิสัตว์ได้โปรดชี้ทางให้ลูกช้างมีโอกาสได้สร้างบารมีด้วยเถิด” เมื่อกล่าวเสร็จ เขาก็กราบ แล้วลุกขึ้น

แต่เมื่อเศรษฐีเฒ่าลุกขึ้นนั้น ถุงเงินของเขาก็หล่นลงพื้น ชายพเนจรเกือบจะเอ่ยปากเรียกชายชราไว้ แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญา ก็ได้แต่เอามือปิดปากของตนเองไว้

หลังจากเศรษฐีเฒ่าออกจากวิหารไป ก็มียาจกคนหนึ่ง เข้ามากราบไหว้พระโพธิสัตว์ อธิษฐานว่า

“ข้าแต่พระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา แม่ของข้าป่วยหนัก ไม่มีเงินรักษา ขอพระองค์โปรดเมตตาข้าน้อยด้วยเถิด”

แล้วเขาก็ก้มลงกราบ จึงเหลือบไปเห็นถุงผ้าที่อยู่บนพื้น เมื่อเปิดออกดู ข้างในถุงนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ชายยากจนถึงกับน้ำตาไหล ก้มศีรษะลงกับพื้นติดต่อกันหลายครั้ง และพร่ำพูดว่า

“พระองค์มีเมตตายิ่ง พระองค์มีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”

จากนั้น เขาก็หยิบถุงเงินเดินออกจากวิหารไป ชายพเนจรอยากจะบอกกับคนยากจนนั้นว่า นั่นไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์ นั่นเป็นถุงเงินของเศรษฐีเฒ่าที่ทำตกหล่นต่างหากเล่า แต่ก็ต้องอดทน ไม่พูดอะไรออกไป เพื่อรักษาคำสัญญา

คล้อยหลังของคนยากจน ก็มีชาวประมงคนหนึ่งเข้ามากราบไหว้พระโพธิสัตว์ “ข้าแต่พระโพธิสัตว์ ขอให้การออกเรือครั้งนี้ของลูกช้าง ราบรื่นปลอดภัยด้วยเถิด” จากนั้นเขาก็ก้มลงกราบ ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากวิหารไป

เขาเดินยังไม่ถึงประตูวิหาร เศรษฐีเฒ่าก็กลับมาหาถุงเงินที่ทำหล่นไว้ ไม่รู้ว่า ก่อนหน้าชาวประมง ได้มีชายยาจกเข้ามาในวิหารก่อน จึงคิดเหมาเอาว่า ชายประมงเป็นคนที่เข้ามาในวิหารหลังตน เมื่อหาถุงเงินไม่พบ จึงวิ่งกรูออกมาชี้หน้าด่าชายประมงว่า

“แกใช่ไหมที่ขโมยเงินของข้า”

“เงินอะไรของท่าน ข้าไม่เห็น ไม่รู้เรื่อง อย่ามาปรักปรำข้านะ”

ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันด้วยเสียงอันดัง ชาวประมงเมื่อโดนปรักปรำก็ไม่ยอม เพราะตนไม่ได้เก็บเงินที่หล่นหายไปของเศรษฐีเฒ่า ถึงจุดนั้น ชายพเนจรผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ซึ่งรู้เห็นความจริงทั้งหมด ก็อดทนต่อไปอีกไม่ได้

จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านทั้งสอง หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” จึงเล่าความจริงทั้งหมดให้ชายทั้งสองคนฟัง เรื่องราวจึงสงบลงได้ ในที่สุดเศรษฐีเฒ่าก็ตามไปหายาจกจนพบ และได้ถุงเงินกลับคืนมา

พระโพธิสัตว์ที่แฝงกายอยู่ในวิหารได้ปรากฏกายออกมาและถามชายพเนจรว่า “เจ้าคิดว่าทำถูกแล้วหรือ เจ้าจงกลับไปเป็นชายพเนจรตามเดิมเถิด!”

“เจ้าคิดว่า การที่เจ้าเอ่ยปากบอกความจริงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมแล้วหรือ แต่เจ้ารู้ไหม ชายยากจนต้องเสียมารดาของเขาไปเพราะไม่มีเงินรักษา เศรษฐีเฒ่าก็ไม่มีโอกาสได้สร้างบารมี ส่วนชาวประมงก็ต้องพาเรือไปอับปางกลางทะเล

หากเจ้าไม่เอ่ยปากพูด นั่งเฉย ๆ ดู และรับฟังอย่างเดียวตามคำสัญญา คำอ้อนวอนของพวกเขาทั้งสามคนย่อมลุล่วงสมดังปรารถนา ชายยากจนมีเงินพามารดาไปรักษา มารดาของเขาจะไม่ต้องด่วนจากไป เศรษฐีเฒ่าแม้เงินทองจะหายไป

แต่นั่นเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ทั้งหมด เท่ากับว่า เขาได้สร้างบารมีตามที่เขาอ้อนวอนขอไว้ ส่วนชาวประมง ซึ่งถูกเศรษฐีกล่าวหา ทางการจึงนำตัวไปสอบสวน เขาจึงไม่ได้ออกทะเล จึงทำให้เขาไม่ต้องจบชีวิตกลางท้องทะเลในวันนี้ตามที่เขาขอไว้ .....”

ชายพเนจรเมื่อได้ฟังพระโพธิสัตว์อธิบายเช่นนั้นจึงรู้สึกผิดมาก เพราะเขาไม่รักษาสัญญาที่จะไม่พูด จึงทำให้คำอ้อนวอนของคนทั้งสามไม่มีผล ทำให้พวกเขาต้องประสบกับภัยต่าง ๆ ชายพเนจรจึงได้แต่ก้มหน้าเดินลงจากบัลลังก์บัวออกจากวิหารไปอย่างเศร้าสลด

นิทานเรื่องนี้ต้องการสอนว่า เรื่องราวมากมายในชีวิต ที่ควรปล่อยให้เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้น พึงหัดปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันเถิด ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะดีกว่าที่เราคาดคิดไว้ก็ได้

เพราะหากไปพยายามฉุดรั้งดื้อดึง หรือเปลี่ยนปัจจัยแล้ว ผลลัพธ์ย่อมเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น และอาจจะให้โทษมากกว่า

การมีความอดทน นิ่ง พิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในทุกขณะเวลาโดยไม่ตื่นตระหนกหรือตื่นตูม คือความสามารถอันยิ่งยวดอย่างหนึ่ง และการคล้อยตามธรรมชาติก็เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน

***เห็นว่าดี  อ่านแล้วเลยส่งให้ช่วยกันอ่านค่ะ***