หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แม้แต่นายพรานก็ยัง...ไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย


ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า (Chiune Sugihara)
กงสุลใหญ่ญี่ปุ่นประจำประเทศลิทัวเนีย
จำได้ดีว่า เช้าวันหนึ่งปลายเดือนกรกฎาคม
ปี ๑๙๔๐ จู่ ๆ ก็มีชาวยิวล้อมรอบกำแพง
สถานกงสุลเต็มไปหมด

คนเหล่านี้มาหาชิอุเนะด้วยเหตุผลเดียว
นั่นคือ.....ต้องการให้เขาออกวีซ่า
สำหรับนักท่องเที่ยวให้

ทว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่วีซ่า
เพื่อการพักผ่อนอย่างที่ระบุไว้ในเอกสาร
แต่เป็น...วีซ่า...เพื่อการรอดชีวิต

ช่วงเวลานั้นมีชาวลิทัวเนียและ
ชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวจำนวนมาก
ต้องการอพยพหนีออกนอกประเทศ
เพราะลิทัวเนียตกอยู่ในอาณัติของ
สหภาพโซเวียตและถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม
สงครามโลกครั้งที่สอง ลิทัวเนียต้องรับมือ
ในการสู้รบกับกองทัพนาซีที่แข็งแกร่ง
และกำลังจะพ่ายแพ้

ซึ่งถ้าแพ้......ก็หมายความว่าชาวยิว
ในลิทัวเนียจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และหากไม่มี...วีซ่า...พวกเขาก็จะ
ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศ
อย่างปลอดภัยได้เป็นอันขาด

“แม้แต่นายพราน...ก็ยังไม่สังหารนกที่บินมาหลบภัย”

สุภาษิตของซามูไรบทนี้ปรากฏชัดในใจ
ของชิอุเนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้ตัวว่าเขาคือ
นายพรานที่ฝูงนกบินมาพักอาศัย
ชิอุเนะโทรเลขปรึกษากระทรวงการ
ต่างประเทศญี่ปุ่นเพื่อขออนุญาตออกวีซ่า
ให้ชาวยิวเป็นกรณีพิเศษถึง ๓ ครั้ง
เพราะชาวยิวส่วนใหญ่ไม่มีเอกสาร
ไม่มีพาสปอร์ต และไม่มีแม้แต่....เงินค่าเดินทาง

แต่...ทุกครั้งได้รับปฏิเสธ...
เวลาหนี....เหลือน้อยลงทุกที
ผู้คนมาเข้าแถวรอหน้าสถานกงสุลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชิอุเนะจึงปรึกษา ยูกิโกะ ภรรยาของเขา
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า เขาจะออกวีซ่า
ให้ชาวยิวทุกคน แม้ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม!

ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม – ๒๘ สิงหาคม
ปีนั้น ชิอุเนะและภรรยาช่วยกันออกวีซ่า
ซึ่งต้องเขียนด้วยมือตามระเบียบของกระทรวงฯ
วันละ ๑๘ -๒๐ ชั่วโมง และทั้ง ๆ ที่โซเวียต
สั่งให้สถานทูตทุกแห่งปิด

แต่ชิอุเนะก็ทำเรื่องขอเปิดดำเนินการต่ออีก ๒๐ วัน
ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางออก
จากลิทัวเนีย เขาและภรรยานั่งเขียนวีซ่าตลอดทั้งคืน...
ชิอุเนะ...ยังคงเขียนแม้ตอนที่ไปถึงสถานีแล้ว
ซึ่งที่นั่นมีชาวยิวเฝ้ารอเขาอยู่เป็นจำนวนมาก
กระทั่งรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา

ชิอุเนะจึง...โยนกระดาษเปล่า
ที่มีลายเซ็นของเขาออกมาทางหน้าต่าง

สุดท้าย...ก็โยนตราประทับของสถานกงสุล
ออกมาด้วย เพื่อว่า...ชาวยิวจะใช้มันทำวีซ่าปลอมได้


นักประวัติศาสตร์....ประเมินว่า
การกระทำที่กล้าหาญของชิอุเนะสามารถ
ช่วยเหลือชาวยิวได้ถึง ๖,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ คน
แม้ว่าทางกระทรวงฯ จะไม่ได้
สอบสวนเขาต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ทว่า...ผลจากการตัดสินใจโดยพลการครั้งนั้น
ทำให้ชิอุเนะหมดอนาคตในหน้าที่การงานอย่างสิ้นเชิง
เขาถูกกดดันให้ลาออกในปี ๑๙๔๗

หลังจากนั้นชิอุเนะต้องเลี้ยงชีพด้วยการเป็นล่าม
แปลเอกสาร และเป็นผู้จัดการบริษัทส่งออก
ซึ่งทำให้เขาต้องจากครอบครัวไปใช้ชีวิต
ลำพังในโซเวียตนานถึง ๑๖ ปี

เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราวในลิทัวเนีย
ให้ใครฟังเลย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่
จึงไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

กระทั่งถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี ๑๙๘๖
เมื่อถึงวันฝังศพเขา ทูตอิสราเอลประจำญี่ปุ่น
พร้อมด้วยชาวยิวที่รอดชีวิตจากการช่วยเหลือ
ของชิอุเนะ...ได้มารวมตัวกันเพื่อเคารพศพ
และให้กำลังใจ...ยูกิโกะ

สื่อมวลชน.....จึงสนใจเรื่องราว
ของอดีตนัการทูตคนนี้ขึ้นมา

ภายหลังจึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์
ให้เขาทั้งในญี่ปุ่นและในอีกหลาย ๆ เมือง
ทั่วโลก ผู้คนนำเรื่องของ “ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า”
ไปสร้างเป็นละครและภาพยนตร์
และทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อรำลึกถึงเขา...

จนทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า...
จะดีมากเพียงใดถ้าเขาได้รับสิ่งเหล่านี้....
เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

อย่างไรก็ตาม....
แม้ว่าชิอุเนะต้องเผชิญความยากลำบาก
และความว้าเหว่เป็นเวลานาน
เราคง...มิบังอาจคิดว่า....เขาและครอบครัว
จะไม่มีความสุข

แท้จริงแล้ว...ความซาบซึ้งใจ...
ที่ได้ช่วยชีวิตคนนับพันนับหมื่นคน
ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของสามีภรรยาคู่นี้
ดังที่ยูกิโกะได้ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี ๒๐๐๔ ว่า

“ฉันจำได้ว่า...มีคนมารอที่สถานีรถไฟ
เต็มไปหมด สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยม
ไปด้วยคำขอบคุณ เมื่อรถไฟเคลื่อนตัว
หลายคนวิ่งตามและโบกมือให้
มีคนตะโกนขึ้นมาว่า
“เราจะ...ไม่ลืมคุณ เราจะได้พบกันอีก”
ฉันและสามีมองภาพนั้นแล้ว...
มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ แม้แต่ในขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน”

วีซ่าเพื่อชีวิต
ของ..ชิอุเนะ ซึกิฮาร่า
จากนิตยสาร...ซีเคร็ต

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำสอนของพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก

พระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า

1.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ

2.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆขึ้นในชีวิตเรา มันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ เพราะเราก็เคยทำอย่างนี้กับเขามาก่อนเมื่ออดีตชาติ

3. เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ควรเกิด เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่ได้เตรียมตัว เมื่อปัจจัยถึงพร้อม สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นในทันที

4. เมื่อปัจจัยจบ ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าเอาแต่อาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่าเมื่อสุดมือสอยก็ให้ปล่อยมันไป กล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องดีๆกำลังรอคุณอยู่ข้างหน้า

5. ทำความดีในปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกรรมเก่าไม่ได้แล้ว แต่ผู้มีปัญญาจะคิดว่า กรรมใหม่ดีๆมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และควรทำได้บ้าง แล้วจึงทำ

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีแมลงสาบ

ทฤษฎีแมลงสาบ” คู่มือการพัฒนาตัวเองของ Sundra Pichai ซีอีโอคนใหม่ของ Google

ณ เวลานี้ในประเทศอินเดีย เรื่องราวของ Sundra Pichai ซีอีโอหมาดๆ ของ Google ยังคงถูกแชร์อย่างต่อเนื่อง ทั้งอดีตที่น่าสนใจของเขา เรื่องราวในวัยเด็ก การศึกษา ทุกอย่างเกี่ยวกับเขากลายเป็นไวรัล รวมทั้งเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นกัน

Sundar Pichai ไม่ได้เก่งแค่เรื่องงาน แต่เขายังเก่งเรื่องการพัฒนาตัวเองอีกด้วย หลายๆ คนคงทราบดีว่าเขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่ในวันนี้ เขาคือซีอีโอของ Google

ตัวเขาเองเคยพูดถึง “ทฤษฏีแมลงสาบ” ที่เขาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขายิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ ลองมาติดตามไปพร้อมๆ กัน

ลองจินตนาการว่าคุณนั่งอยู่ในร้านอาหาร อยู่ๆ ก็มีแมลงสาบจากซอกหลืบไหนสักแห่งบินมาเกาะที่ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจึงเริ่มกรีดร้องทันทีที่เห็นมัน

หลังจากนั้นเธอก็เริ่มกระโดดโลดเต้น หวังว่าแมลงสาบตัวนั้นมันจะเลิกเกาะติดเธอเสียที มือทั้งสองข้างก็พยายามปัดมันออก แต่แมลงสาบเจ้ากรรมดันอยู่นิ่งๆ ซะอย่างนั้น

ปฏิกิริยาของผู้หญิงคนนั้นเริ่มทำให้ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับเธอต้องประสาทเสียไปด้วย

และในที่สุด แมลงสาบตัวนั้นมันก็บินออกไปจากเธอ

แต่ลงไปจอดที่ไหล่ของผู้หญิงอีกคนในกลุ่ม แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เต้นแร้งเต้นกาเหมือนผู้หญิงคนแรกไม่มีผิด ความโกลาหลมาเยือนโต๊ะนั้นทันที

เมื่อเด็กเสิร์ฟสังเกตเห็น เขาเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อหวังจะระงับเหตุการณ์ พอดีกับที่แมลงสาบเจ้าปัญหามันบินมาเกาะที่ผ้ากันเปื้อนของเขาพอดี

แต่แทนที่จะสะบัดผ้าออก เขากลับยืนนิ่ง และคอยสังเกตการเคลื่อนที่ของแมลงสาบตัวนั้น  ซึ่งมันกำลังค่อยๆ เดินขึ้นมาบนเสื้อเชิ้ตของเขา

จนกระทั่งเริ่มจับทิศทางการเดินของมันได้ เขาจึงคว้ามันไว้ และขว้างออกไปที่นอกร้านอาหาร

คำถามที่น่าสนใจคือ “แมลงสาบ” คือต้นตอของความโกลาหลหรือเปล่า?

ถ้าใช่ ทำไมเด็กเสิร์ฟจึงยืนนิ่งๆ และสามารถจัดการกับมันได้อย่างละมุนละม่อม

นั่นก็เป็นเพราะว่ามันไม่เกี่ยวกับแมลงสาบ มันคือความสามารถในการรับมือกับสิ่งที่เข้ามารบกวน ซึ่งในที่นี้ก็คือแมลงสาบ

เทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตจริง มีหลายๆ อย่างที่ทำให้เราหัวเสีย เช่น เสียงบ่นของคนรอบตัว หรือเสียงก่นด่าของเจ้านาย ซึ่งจริงๆ แล้วเราเองต่างหากที่เลือกได้ว่าจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราหงุดหงิดกับมัน นั่นก็เป็นเพราะเราเลือกเอง ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เรารู้สึกแย่

มันไม่ใช่รถที่ติดอยู่บนท้องถนนที่ทำให้เราอารมณ์เสีย แต่เป็นความสามารถในการรับมือของเราเองต่างหากที่ทำให้เราหัวเสียกับมัน

มันคือปฏิกิริยาของเราที่มีต่อปัญหาต่างหากที่สร้างความโกลาหลให้กับชีวิตของเรา  และสิ่งที่ Sundra เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ เขาเข้าใจว่าควรมีปฏิกริยากับปัญหาต่างๆ ในชีวิตอย่างไร

เขาจะรับผิดชอบกับมัน ไม่ใช่แค่ react แต่เป็น respond

สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เพราะ reaction มาจากสัญชาตญาณ ในขณะที่ response มาจากการคิดใคร่ครวญเป็นอย่างดี เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายเกินรับมือ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้อะไรๆ มันแย่ลง เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดเพราะความโกรธ ความกังวล ความเครียด หรือความรีบเร่ง

นั่นคือวิธีการที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจชีวิต และเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของผู้ที่ดูแล Google หรือจะพูดให้ดีกว่านั้น มันอาจจะหมายถึงโลกอินเทอร์เน็ตก็ได้

สรุปแล้วใจต้องแก้สถานการณ์ ไม่ใช่ให้สถานการณ์บีบคั้นเรา

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตในเมืองใหญ่ไม่มีเงิน ไม่มีมือถือ อยู่ได้ไงเนี่ย

"เรื่องจริง ชีวิตจริง ต้องอ่านค่ะ"

ชื่อหลักสูตร "ลองใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยไม่มีเงิน และไม่มีมือถือ" ระยะเวลา 8 ชั่วโมง
ระหว่าง 09.00-17.00 น. ในวันเสาร์ต้นเดือน

ผู้เข้าร่วมประกอบด้วยคนทำงานออฟฟิศ หรือมนุษย์เงินเดือน 20 คน ซึ่งถูกกำหนดเงื่อนไขให้ได้เรียนรู้ แบบแสบๆคันๆหัวเราะไม่ออก ขอทุกคนโปรดงดอาหารเช้า แล้วมาพบกันที่หน้าห้างใหญ่ ย่านสยามสแควร์  เงินทอง บัตรเอทีเอ็ม มือถือ ที่พกมาโปรดฝากไว้ที่อาจารย์ ตอนเย็นจะคืนให้

แต่ทุกคนต้องหาวิธีไปถึงจุดนัดพบ ที่หน้าห้างใหญ่ตรงแยกลาดพร้าวในเวลา 17.00 น.
ทุกคนปฏิบัติการด้วยท้องที่หิว ต่างนำพาตัวเองสู่จุดนัดหมาย ด้วยประสบการณ์เฉพาะตนที่ยากจะลืมเลือน

แดง - เล่าว่าเธอพยายามรวบรวมความกล้าไปขอเงินค่ารถเมล์ แต่ใจไม่กล้าพอ เพราะรูปร่างหน้าตาแบบเธอนี่ ใครเขาจะเชื่อว่าไม่มีเงินเลยสักบาท

แต่ด้วยความมุ่งมั่น แดงเดินจากสยามไปถึงแยกลาดพร้าว โดยไม่มีอาหารและน้ำ ตกถึงท้อง

แดง สรุปวีรกรรมของเธอว่าเป็นเรื่อง " ศักดิ์ศรี " ล้วน ๆ เพื่อน ๆ จึงแถมด้วยว่า "ไม่ฉลาด"
เพราะไม่รู้จักขึ้นรถเมล์ฟรีสำหรับประชาชน

ต้อย - แก้โจทย์แรกทำอย่างไรจึงหายหิว ต้อยเล็งแม่ค้าหมูปิ้งท่าทางมีเมตตา

ต้อยเริ่มบรรยายว่าเธอไม่ได้กินข้าวเช้า กำลังจะเป็นลมแล้ว
แม่ค้าสงสารยื่นหมูปิ้งให้สองไม้แถมข้าวเหนียวอีกห่อ ณ นาทีนั้น ต้อยสัญญากับตัวเองว่า
ทันทีที่ภารกิจเสร็จ ได้กระเป๋าสตางค์ของตนคืน จะมาเหมาหมูปิ้งหมดเลย

แต่พอถึงตอนเดินไปขอใช้โทรศัพท์มือถือ จากผู้ที่เดินผ่านไปมา สายตาที่มองต้อยหัวจรดเท้าหรือท่าทีธุระไม่ใช่ของคนเหล่านี้  ต้อย สรุปว่า น้ำใจแห้งแล้งกว่าแม่ค้าหมูปิ้งยิ่งนัก ต้อยบากหน้าขอยืมมือถือกว่าสิบราย
แต่สุดท้ายมีหญิงวัยกลางคนให้เธอยืมมือถือมาโทรฯ ได้สำเร็จ

ต้อยสัญญากับตัวเองเป็นคำรบสองว่าต่อจากนี้ไป ใครมาขอยืมใช้โทรศัพท์มือถือ เธอจะเต็มใจให้ใช้ โดยไม่เกี่ยงงอนใด ๆ เลย นี่คือ คำสัญญาจากต้อย

เอก - พยายามทดสอบน้ำใจผู้คน แต่ไม่มีใครเชื่อว่าชายครบสามสิบสอง ไม่พิกลพิการจะมีหน้ามาแบมือขอเงิน เอกต้องทนหิว ถึงบ่ายแก่ ๆ ไปขอเงินจากนักศึกษาสาวที่มองเอกอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินจากไป ราวสิบนาทีต่อมา เธอยื่นถุงจากร้านสะดวกซื้อให้เอกโดยไม่พูดสักคำ
เอกรับมาเปิดดู มีเครื่องดื่มเย็นๆ สองขวด แซนวิช และธนบัตรหนึ่งร้อยบาทในถุงนั้น

เอก เล่าว่าอยากจะวิ่งไปขอบคุณนักศึกษาสาวผู้นั้น แต่เธอเดินลับหายไปในฝูงชน

บุญคุณครั้งนี้เอกจะไม่ลืม เงินร้อยบาทที่ได้มาเป็นเงินที่มีค่ากว่าเงินเดือนหลายหมื่น ที่ฝ่ายการเงิน โอนเข้าบัญชีของเอกทุกเดือนซะอีก เอกกำลังคิดว่า ตนจะตอบแทนสังคมที่มีผู้มีน้ำใจได้อย่างไร

วิทยา - เป็นวิทยากรกระบวนการหลักสูตรนี้ แต่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเงินและมือถือเช่นเดียวกันกับคนอื่น

วิทยาปล่อยวางและเล่น "เกม" นี้อย่างไม่กดดันตัวเอง แต่พยายามเข้าใจปฏิกิริยาของคนที่เขาไปขอเงิน และพยายามเชื่อมโยงเหตุผลที่ทำให้บางคน "มีน้ำใจ" กว่าคนอื่น

วิทยาได้รับความช่วยเหลือจากคนที่ใส่ใจรับฟัง หรือจ้องมองดวงตาของวิทยา แต่ผู้คนที่เร่งรีบไม่มีเวลาแม้แต่หยุดฟัง มักเชิดหน้าผ่านไปพร้อมส่งสัญญาณอำมหิต
แปลความได้ว่า...ชีวิตใคร ชีวิตมัน อย่ามายุ่งกับข้า…

ผู้เข้าร่วมทั้ง 20 คนมาถึงจุดนัดหมายด้วย "ตัวช่วย" ต่างกันแต่ทุกคนสรุปตรงกันว่า

ต่อไปตนจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้อย่างเต็มใจเมื่อมีผู้ร้องขอ
เพราะถ้าเราไม่ให้ ไม่ช่วยคนในสังคมแล้ว สังคมที่เราอยู่ร่วมกันนี้ก็คงไม่มีการให้ มีแต่ความเป็นตัวใคร ตัวมัน

หลักสูตรครึ่งวันนี้ได้ชี้ทางว่า เราควรใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร ?

จาก หนังสือ สานพลัง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชา ติ คอลัมน์ เล็กไปใหญ่ โดย
นายแพทย์ ชาตรี เจริญศิริ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

ข้อคิดล้ำค่าจากเฮียวิกรม กรมดิษฐ์

1. 'เงินเดือนเสี่ยงสุด' ..พอเกษียณแล้วไม่มีเงินเดือน แถมเดี๋ยวนี้เงินก้อนหลังเกษียณแทบไม่มี เพราะมันเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องตัดเป็นอย่างแรกเมื่อต้องการลดต้นทุนธุรกิจ

2. 'ยุคนี้อายุเราโคตรยืน' ..ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน คุณจะอยู่กันเป็น 100 ลองคำนวณซิว่าเมื่อไหร่เงินเก็บที่คุณมีจะ 'สลดเพราะใช้เงินหมดก่อนตาย'

3. 'ลูกหลานเลี้ยงดูเราไม่ได้' ไม่ใช่ลูกหลานไม่กตัญญู แต่ตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอด จะเอาปัญญาที่ไหนมาดูแลคนเกษียณอย่างเรา -- อย่าทำตัวเราให้เป็นภาระเพราะวิกฤตเกิดประจำ

4. 'ไม่รู้จักคำว่า Passive Income' ..คำนี้สวรรค์ชัดๆ สำหรับคนที่มี ..Passive Income คือเงินที่ไหลเข้ามาหาเราเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะหยุดทำงาน หรือ แม้กระทั่งป่วย เงินนี้ก็ยังไหลเข้ามา ...การสร้าง Passive Income มันเกิดจากการลงทุนแบบซื้อของที่มูลค่าสร้างรายได้แบบไม่ขายสิ่งนั้นชั่ว ชีวิต เช่น ออมในหุ้น ออมในอสังหาให้เช่า หรือทำธุกิจขายตรง

5. 'เงินก้อนที่คุณเก็บ รักษายากที่สุด' ..จะมีวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดขึ้นอีกหลายครั้งหลังเกษียณ ..เศรษฐกิจยุคปัจจุบันผันผวนน่ากลัว และเกิดวิกฤตแรงและเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ..การที่คนส่วนใหญ่ลงทุนแต่ระยะสั้น หรือ มุ่งแต่เก็บเงินก้อน คุณซวย!! เพราะเงินก้อนรักษายากที่สุด .. ต้องเงินไหล หรือ Passive Income ต่างหากที่ดูแลเราจนตาย

6. 'เราไร้ค่าหลังเกษียณ เพราะงานคือการอธิบายตัวตนของเรา' ..คนเกษียณที่ไม่ได้เตรียมตัวจะจิตตกเจียนตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่า หมดความสำคัญ ..เขาลืมไปว่า งานคือการอธิบายตัวตนของเรา ..เมื่อคุณหยุดอธิบายตัวเอง คนก็จะค่อยๆ ไม่เห็นคุณ

7. 'เงินไม่ได้จำเป็น แต่หลังเกษียณโคตรจำเป็นคนแก่ที่มีลูกหลานรายล้อม ผลัดกันดูแพราะคนแก่คนนี้เตรียมมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้ลูกหลาน เช่น พ่อเตรียม Port ออมในหุ้น กับอสังหาไว้ให้ลูกหลังจากที่พ่อตายนะ ..ยิ่งให้ ยิ่งได้ ใช้ได้เสมอครับ

8. เจ้าของธุรกิจ เขาไม่ต้อง'เกษียณ' ..เหมือนไม่แฟร์ที่เราเห็นคนรวย เจ้าของธุรกิจเขาทำงานจนตายไม่มีเกษียณ ..เขาไม่ได้ต้องทำครับ เขาแค่ชอบที่จะทำ ..ที่เขาทำเพราะเขาต้องการอธิบายตัวตนของเขา เพื่อที่คนอื่นจะได้เห็นคุณค่าและให้เกียรติเขาตลอดชีวิต

9. 'เกษียณแล้วฉันจะสบาย ไม่เป็นความจริง' ..ใครที่เกษียณแล้วสบาย คือมันสบายตั้งแต่ก่อนเกษียณ ..พวกที่พูดว่าเดี๋ยวเกษียณแล้วจะสบาย ซวยหนักทุกคนครับ

10. 'ทุกอย่างในโลกนี้ มันก็แค่ประสบการณ์' ยิ่งคุณแก่คุณก็จะพบว่า ชีวิตมันก็แค่การเดินทาง และทุกอย่างมันก็คือประสบการณ์ ..ความสุขมาก ความทุกข์มาก ล้มเหลวมาก ชนะเยอะ โดนหักหลัง โดนโกงโดนแกล้ง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็จะเปลี่ยนเป็นแค่ประสบการณ์เหมือนๆ กันหมด...!!!

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

7 กฏและเทคนิคการสร้างโอกาสให้ตัวเราเองที่ผมใช้ประจำ

1. อย่ารอคอย (Do not Wait) การรอคอยโดยไม่มีเป้าหมาย โอกาสมันคงจะไม่มาเราหรอก การหยุดคือการถอยหลัง จงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

2. อย่าหยุดคิด (Don’t Stop Thinking) จงคิด คิด คิด คิด คิด และคิด หากคิดไม่ออกมองโอกาสไม่เห็น จงปรึกษาคนอื่นๆ รอบๆ ตัวคุณมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพัน รวมถึงในโลกออนไลน์มีคนอีกนับล้านๆ คน เพียงแค่คุณเปิดโอกาสไปสอบถาม พูดคุยกับคนรอบตัวคุณ โอกาสของคุณก็จะเปิดออก ผมเชื่อเสมอว่า “ทุกอย่างมีทางออกและมีคำตอบ” ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่คิดไม่ออก หรือคนที่ยอมแพ้ เพราะมักมองอะไรสั้นเกินไป และมองรู้จักใช้คนรอบตัวน้อยเกินไป ช่วงเวลาที่ผมมีคิดได้ดี คิดได้สนุกที่สุดคือตอนขับรถคนเดียว และตอนอาบน้ำ หากคิดอะไรออกปุ๊ปจงรีบจดลงทันที ผมมักจะจดลงมือถือเป็นประจำ (ผ่านโปรแกรม Evernote)

3. อย่าคิดว่า “ทำไม่ได้” (We can do it) เพราะหากว่าคุณคิดว่าทำไม่ได้ ทุกอย่างจะหยุดตรงนั้นทันที โอกาสจะหายไปทันที จงคิดว่าเราทำได้ ทำได้ ทำได้ และทำได้ อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าเราทำไม่ได้ (อันนี้สำคัญมาก) เมื่อเราคิดว่าทำได้ และเอาสิ่งที่เราคิดมาทำ มันก็จะเกิดโอกาสครับ เทคนิคผมคือ เมื่อใดก็ตามที่ผมคิดว่า “ทำไม่ได้หรอก” ผมจะหยุดความคิดตัวเองตอนนั้นทันที แล้วเริ่มไปปรึกษาคนอื่นๆ แทน แล้วกลับไปข้อ 2

4. จงคิดต่าง (Think Different) อย่าคิดหรือทำในสิ่งที่ชาวบ้านเค้าทำ ปัญหาหลายๆ อย่างแก้ไขไม่ได้ เพราะเราคิดแบบเดิมๆ ไม่มีแนวทางใหม่ๆ จงกล้าคิดแปลก แตกต่างๆ ผ่าเหล่า คิดแบบออกไปนอกโลก หรือบางครั้งอย่างเอาเหตุผลมาใช้มากเกินไป ความแตกต่างจะทำให้เราสร้างอะไรใหม่ รวมถึงโอกาสใหม่ๆ เช่นเดียวกัน

5. ลงมือทำ (Just Do it) ทำ ทำ ทำ ทำ และ ทำ การลงมือทำจริงๆ จะทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรอีกมาก และยิ่งคุณได้ทำมาก เรียนรู้มาก ประสบการณ์ของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้น แน่นอนโอกาสมันก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน จะสังเกตได้ว่า คนที่ ลงมือทำ และทำอะไรเยอะๆ จะมีโอกาสมากกว่าคนที่ไม่ค่อยทำอะไร  หลากคนชอบคิดแต่ไม่ลงมือทำ เทคนิคการลงมือทำคือ สร้างโน็ตขึ้นมาไว้ในหน้าจอคุณ ที่คุณเห็นมันตลอดเวลา พอนึกอะไรออก ก็จดมันลงไป พอเรามีเวลาว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็จงเปิดโน้ตเหล่านั้นดู และนำสิ่งต่างๆ ที่คิดไว้ นำมาทำ (ผมทำอย่างนี้เป็นประจำ)

6. ทำทันที ที่ทำได้ (Do it now) หากผมมีโอกาสทีจะทำอะไร ผมจะลงมืทำทันที ไม่มารีรอ เพราะการรอ ทำให้โอกาสหลายๆ อย่างมันหายไป และหลายๆ ครั้งเรามักจะลืมว่าเราควรทำอันนั้น อันนู้น ผมพบว่าหากเรารีรอที่จะทำอะไร โอกาสที่เราจะได้สิ่งนั้นจะลดลงไปทันที 50% นั้นหมายถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จะหายไปทันที ดังนั้นจงลงมือทำทันที ทุกครั้งที่คุณทำได้ อย่าไปรอมัน

7. มองโลกในแง่ดี (Be Positive) ทุกอย่างที่คุณทำไป หรือมันเกิดขึ้น มันจะออกมาดีหรือไม่ดี มันข้อดีในตัวมัน “จงมองมันในด้านดี แล้วคุณจะมองเห็นโอกาสมากกว่า การมองในแง่ร้าย” สิ่งที่ผิดพลาดคือประสบการณ์ที่คุณได้เรียนรู้ และทำให้รู้ว่าเราไม่ผิดพลาดอีก ยิ่งผิดมาก ยิ่งเรียนรู้มาก “จงอย่างกลัวการผิดพลาด” และ “การมองโลกในแง่ดี” ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าไม่มีปัญหา แต่…. คือการทำให้ตัวเรา “มีความสุขภายใต้ปัญหาที่มีอยู่”  ตัวอย่างของผมคือ ผมเนี่ยขับรถหลงเป็นประจำ และทุกครั้งผมหลง ผมก็จะมองในแง่ดีว่า ที่ผมหลงมาในเส้นทางนี้ ผมได้เห็นอะไรใหม่ๆ ได้รู้จักเส้นทางใหม่ๆ ทำให้วันหลังผมจะได้ไม่ได้หลงมาทางนี้ ผมก็จะตื่นเต้นมากๆ กับการหลงทางของผม ดูนั้นดูนี่ เห็นอะไรใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และแน่นอนโอกาสมันจะแอบอยู่แถวๆ นี้แหละ

เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ทั้งหมดที่ผมกล่าวมา มันคือ “ปัจจัยความสำเร็จของตัวผมเลย (Keys Success Factor)” ลองมาไล่ดูขั้นตอนว่าเราสร้างโอกาสดีๆ ให้กับตัวเราได้อย่างไร

คิดเยอะ > คิดแตกต่างๆ > ไม่รอคอย >  ลงมือทำ > ไม่กลัวผิดพลาด > มองโลกในแง่ดี  > โอกาสดีเข้ามามาก

ต้องบอกเลยว่า ทั้งหมด มันคือสิ่งที่ผมปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา มันอาจจะไม่ 100% หรือตลอดเวลา แต่มันคือแนวทางหลักของผม ในการใช้ชีวิต ซึ่งบอกได้เลยว่ามันจะทำให้โอกาสมันเกิดขึ้นมาได้มากขึ้น

สิ่งที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้เราอ่านบทความนี้ไปแล้ว รู้สึกว่ามันดีเฉยๆ จงเอาสิ่งที่คุณได้จากการอ่านครั้งนี้ ไปวางแนวทางปฏิบัติกับชีวิตของคุณเอง มันต้องไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณ มันต้องทำเป็นนิสัย แล้วมันถึงจะเกิดผล เพราะหากคุณไม่ทำแบบนั้น มันก็จะกลายเป็นบทความ ที่อ่านแล้วเหท์ๆ ดีๆ อันนึงที่ผ่านสายตาคุณไปเท่านั้น และบทความอันนี้ของผมก็จะไม่ก่อประโยชน์อะไรให้กับชีวิตของคุณได้เลยครับ  อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็จงลงมือปฏิบัติได้เลยครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พลิกความคิดนิดๆ ชีวิตเปลี่ยนตลอดกาล

แท้จริงแล้วคนเราต่างกันแค่เพียงนิดเดียว ...

1. คุณนอนอู้อยู่บนเตียง
เขากำลังออกกำลังกายอยู่
ดังนั้นเขามีสุขภาพดีกว่าคุณ

2. คุณทำงานไปวัน ๆ
เขาตั้งใจทำงาน
ดังนั้นเขากลายเป็นหัวหน้าของคุณ

3. คุณกำลังทำโครงการวันนี้ให้เสร็จ
เขากำลังวางแผนโครงการของปีหน้า
ดังนั้นเขาจึงสามารถครอบครองโอกาสมากกว่าคุณ

4. คุณกำลังหาข้ออ้าง
เขากำลังแก้ไขปัญหา
ดังนั้นธุรกิจการงานของเขาประสบความสำเร็จมากกว่าคุณ

5. คุณเพลินกับการใช้จ่าย
เขากำลังบริหารทรัพย์สิน
ดังนั้นเขาสมบูรณ์มั่งคั่งมากกว่าคุณ

6. คุณกำลังคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
เขากำลังคิดและพิจารณาถึงผลประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงมีความสัมพันที่ดีกับผู้คนมากกว่าคุณ

" ความสำเร็จไม่มีปาฏิหาริย์ มีเพียงแค่ลู่ทางเท่านั้น "

~ Jack Ma ~

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

4 เหตุผล ที่คนเรามัก “ยอมแพ้” ในชีวิต

󾮗Jack Ma เขียน 4 เหตุผล
ที่คนเรามัก “ยอมแพ้” ในชีวิต ดังนี้

󾮜1. คิดอะไรแคบ หรือมองสั้นๆ เกินไป เมื่อมาถึงโอกาสกลับคิดเยอะ ตัดสินใจช้า

󾮜2. ไม่เห็นค่าของโอกาสที่อยู่ตรงหน้า

󾮜3. ไม่เข้าใจสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง

4.ทำอะไรช้าเกินไป

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง.....!!!!

ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถขับหลายคัน มีบริวารมากมายรายล้อม ปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมา บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น ชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไป ชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ใบหน้าน้อยๆ น่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ แม่ของเด็กตายจากไปนานแล้ว ลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีก แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลย พ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบ สู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อย ๆ บีบปากผู้เป็นพ่อเบา ๆ

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกเลยไม่ชอบ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้ว พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

"ร้องไห้ทำไม ลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ" เด็กหญิงตอบยิ้ม ๆ

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีห้องนอนสวย ๆ เหมือนก่อน ไม่มีที่วิ่งเล่นกว้าง ๆ ไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียน ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ไม่มีอาหารดี ๆ กิน แล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูง ๆ"

"พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คน ๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

"คนทำงานเก่ง ๆ มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอก เพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อย ๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

"ไม่จ้ะ คุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้าน และไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอ ตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกัน เด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

"ถ้าคนๆ นี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้ และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหา เขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกัน งั้นเราจะลองไปดูก็ได้" ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอก ไม่นานเขาก็เจอบ้านของคน ๆ นั้น ซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดา ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจ นี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่ คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

"คนที่คุณต้องการพบ คงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องรับแขก แต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญ เพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้ว ชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของ ชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

"เกียรติบัตรฉบับนี้ มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขาย และความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะ เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดา ๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ เตียงเขา

"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิ เธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมาก เลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติด ๆ ขัด เขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่า คนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่า และยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้น เป็นของชายพิการคนนี้ หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ เป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

"ใช่ ผมทำงานขายประกัน หลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้ม ๆ

"ไม่หรอกครับ ผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียว แต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้ คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

"ดูเหมือนว่า คุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับ ไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอก และถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ คุณไม่สบาย หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจ ผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ

"นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเอง คติพจน์ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

"ขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาว ซึ่งเป็นครูอนุบาล รวมทั้งเด็ก ๆ จากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อย ๆ เพราะเด็ก ๆ ได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะ แกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อย ๆ และแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมาก คุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแกเป็นเด็กที่น่ารัก อยู่เพื่อแกเถอะ ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

"แต่ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผม ตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ในสังคมที่มนุษย์ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ เรามักจะเห็นผู้พ่ายแพ้เกิดมามากกว่าผู้ชนะเสมอ ดังนั้น หากทั้งชีวิตจะต้องพบกับความพ่ายแพ้บ้างครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร...ในเมื่อสมองและหัวใจเธอยังดีอยู่ เธอจะกลัวความพ่ายแพ้ไปทำไมกัน

สำหรับชายพิการคนนี้ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน หากแม้นว่าชายคนนี้ยังมีใจร่าเริงได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองพิการไร้มือไร้เท้า แล้วเราจะมีข้อแก้ตัวอันใดมาคร่ำครวญถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่กันเล่า

คุณรู้จักใครบ้างที่พร่ำบ่นเพราะเขาไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอย่างที่เขาต้องการ ใครบ้างที่หงุดหงิดอยู่นั่นแล้วเวลาที่ตนเองเป็นหวัด เวลาที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น เวลาที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เวลาที่ไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น หรือแม้แต่เวลาที่เขาเป็นทุกข์เพราะเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดเวลา

หากรู้จักคน ๆ นั้น ก็จงเล่าเรื่องชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงให้เขาฟังเถิด