หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สามีของฉัน ภรรยาของผม

เขาไม่ได้บอกภรรยาว่าเขาตกงาน
ทุกเช้า เขายังทำตัวเป็นปกติ หลังจากทานอาหารเช้าเขาก็ตรงเข้าไปหอมแก้มภรรยา
“ผมไปทำงานละนะ เย็นนี้เจอกัน”
“อย่าเถลไถลนะคุณ” ภรรยาหยอกเขาเหมือนเดิมทุกครั้ง
เขาวิ่งตามให้ทันรถเมล์ จากนั้นก็เดินเบียดผู้คนเข้าไปยืนบนรถ เมื่อผ่านไป 3 ป้าย เขาก็กดออดเพื่อลงจากรถ

เขาเดินไปนั่งที่ม้านั่ง ใบหน้าของเขาหม่นหมองและกังวล ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า เขามองดูห่านที่กำลังแหวกว่ายเล่นกันอยู่ในบึง

“ชีวิตของพวกนายน่าอิจฉา” เขาพึมพำออกไป

เขาผลัดเดินผลัดนั่งอยู่ในสวนจนเกือบค่ำ จากนั้นก็ลุกขึ้น ฝืนยิ้มและทำท่าทางแจ่มใสขึ้นมา
“เลิกงานแล้ว กลับบ้านได้” เขายืดตัวพร้อมกับกระชับกระเป๋าเอกสารจากนั้นก็จัดเสื้อกางเกงและเนคไทด์ให้เข้าที่เข้าทาง

“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”

เขาทำอย่างนี้เป็นเวลาถึง 5 วันแล้ววันที่ 6 ของการตกงาน เขาตัดสินใจเดินเข้าไปของานจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างในแผนกผสมปูน ที่นี่แตกต่างจากงานบริษัทที่เขาเคยทำ มันมีทั้งฝุ่นทั้งละอองของปูน แต่เขาก็ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นชีวิตต่อจากนี้ไปเขาและภรรยาจะกินอยู่อย่างไร?

บ่ายวันแรกที่ทำงานที่นี่ เมื่อเขามองกระจกในห้องน้ำ เขาเหมือนคนที่ถูกถังผสมปูนหล่นทับ เนื้อตัวมอมแมมไปหมด

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขารีบอาบน้ำที่บริษัทและเปลี่ยนชุดเป็นสูทเหมือนตอนที่ออกจากบ้านมา เดินออกจากบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบไม่เหลือเค้าคนงานผสมปู เมื่อกลางวันที่ผ่านมา

“ติ๊กหน่อง” เขากดออดหน้าบ้านพร้อมตะโกนออกไปว่า
“ที่รัก ผมกลับมาแล้ว”
ภรรยาของเขารีบวิ่งมาเปิดประตู เธอได้กลิ่นหอมของสบู่จากตัวผู้เป็นสามี

ส่วนเขา เมื่อเดินเข้าบ้าน ก็เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านช่องหอมอบอวลไปด้วยดอกไม้ที่ภรรยาตัดมาจากกระถางริมระเบียงที่ซื้อมาปลูกไว้ เขารู้สึกผ่อนคลายและภูมิใจในตัวภรรยามาก แค่นี้ก็ทำให้เขาหายเหนื่อยได้ในทันที

ขณะที่กำลังทานข้าว ภรรยาของเขาเอ่ยถามขึ้น
“ช่วงนี้งานที่บริษัทพ่อเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ราบรื่นดี บริษัทเพิ่งรับเด็กสาวที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาทำงาน 1 คน น้องน่ารักดีนะแม่”

ภรรยาทำท่าทีโกรธขึ้นมา พร้อมกับเอื้อมมือไปจับหูของสามีและดึงเบาๆ
“อย่าเถลไถลเลยเชียวนะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

“แม่เปิดน้ำอุ่นไว้ให้พ่อแล้วนะ พ่อจะอาบน้ำก่อนไหม?”
“ก่อนกลับ พ่อแวะไปว่ายน้ำกับเพื่อนที่สโมสรมา พ่ออาบมาแล้วจ้า”

ภรรยาเก็บจานชามไปพร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ไปด้วย
“เกือบไป ไม่รู้จะเก็บความลับไว้ได้อีกนานเท่าไหร่?” เขาพึมพำขึ้นมาเบาๆ พร้อมถอนหายใจโล่งอก
เขาเดินเข้าห้อง ล้างหน้าแปรงฟัน ยังไม่ทันได้อ่านหนังสือก็หลุดจากมือ เขาหลับไปด้วยความเพลียจากงานในวันนี้

เขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างถึง 20 วัน
เย็นวันนั้น เมื่อเขากลับถึงบ้าน ตอนที่กำลังทานอาหาร ภรรยาของเขาเอ่ยขึ้นมาว่า
“พ่อไม่ต้องทำงานที่บริษัทเก่าแล้วนะ แม่ได้ข่าวว่ามีบริษัทหนึ่งกำลังขาดผู้จัดการ เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่พอดี แม่โทรศัพท์ไปสอบถามแล้ว บริษัทเขาต้องการคนที่มีประสบการณ์อย่างพ่อเลย พรุ่งนี้พ่อลองไปสมัครดูนะ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามภรรยาว่า
“ทำไมอยากให้พ่อเปลี่ยนงานละแม่?”
“เปลี่ยนงานก็ดีเหมือนกันนะพ่อ พ่อจะได้มีสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม อีกอย่างบริษัทนี้ก็ใหญ่โตและมีความมั่นคงดีด้วย” เธอบอกกับผู้เป็นสามี

วันรุ่งขึ้น เขาไปสมัครงานกับบริษัทที่ภรรยาแนะนำไว้เมื่อวาน และบริษัทก็รับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนก เหมือนที่เขาเคยทำที่บริษัทเก่า

บ่ายวันนั้น เขาซื้อผักและอาหารหลายอย่างกลับบ้าน เพื่อเลี้ยงฉลองกับภรรยา เขาคิด ภรรยาของเขาคงรู้ว่าเขาทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้าง เรื่องนี้แม้เขาจะไม่ได้บอก แต่คงจะปิดเธอไม่มิดเป็นแน่ ไม่งั้นเธอไม่แนะนำงานที่บริษัทนี้ให้เขามาสมัครหรอก

เขานึกถึงอาหารมื้อค่ำหลายสิบวันที่ผ่านมา ทุกวันจะมีเห็ดหูหนูเป็นอาหารขึ้นโต๊ะอยู่หนึ่งอย่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผัดหรือต้มหรือแกงก็ตาม เพราะเห็ดหูหนูมีคุณสมบัติช่วยล้างปอด เขาทำงานอยู่กับฝุ่นมาทั้งวัน ได้กินเห็ดหูหนูผัดไข่ก็ช่วยเขาได้มาก เขาเชื่อว่าภรรยาของเขารู้เรื่องที่เขาไปทำงานที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแล้ว แต่เธอไม่เคยเอ่ยถาม เธอกลับแอบทำอะไรหลายๆอย่างเพื่อเขา เธอคงกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ
...................

ชีวิตคู่ มีความซาบซึ้งอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ผูกสมัครรักใคร่” และอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน” แต่แท้ที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่เรียกว่า “พูดในสิ่งที่ควรพูด”

บทความนี้ ขอมอบให้แด่คุณผู้ชายคนดีที่กำลังเผชิญกับความกดดันในการสร้างฐานะครอบครัว

และขอมอบให้แด่คุณผู้หญิงคนดี ที่คุณรู้จักเข้าใจและรักผู้ชายคนดีอันเป็นสามีที่ดีของคุณคนนี้

ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง อะไรคือสิ่งสำคัญนอกเหนือจากพ่อแม่และพี่น้องของเขา?

คำตอบก็คือ เขาได้เจอกับผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง

ผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะยืนอยู่ในจุดที่สูงได้หรือไม่? เดินได้ไกลเพียงใด? สิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้และเป็นจุดที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ เขาได้พบผู้หญิงดีๆ สักคนหรือไม่? ผู้หญิงดีๆ คนนั้น อาจเป็นเพื่อน เป็นภรรยา อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรืออาจจะอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต

เพราะผู้ชายดีๆ คนหนึ่งต้องมีผู้หญิงดีๆ อีกคนหนึ่งคอยสนับสนุน ดูแลเอาใจใส่ ชื่นชมสรรเสริญ ปรึกษาแนะนำอยู่ข้างกาย หากปราศจากผู้หญิงดีๆ คนนั้น จะมีผู้ชายดีๆ คนนี้ได้อย่างไร!!!

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ใช้ชีวิตก่อนจะไม่มีชีวิตให้ใช้

เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหันมารักตัวเอง...

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ

- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บ ำรุง

- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ

- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง 

- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน 

- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน

- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน

- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง

- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง
ดังนั้น

- อยากกิน...กิน

- อยากเที่ยว....เที่ยว

- เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้

- สุขสบายทุกเพลา

- เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์

- เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ

- ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป

- เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ

ถ้าคุณส่งให้เพื่อนๆ แสดงว่าคุณเป็นคนรักและหวังดีกับเพื่อนคุณ ถ้าไม่ส่งแสดงว่าคุณรักแต่ตัวเองไม่คิดจะเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้างและเตือนสติเพื่อนของคุณ

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผึ้งกับต่อ

วันหนึ่งผึ้งกับต่อได้มาพบกัน....

ต่อระบายความรู้สึกในใจที่มีมานานว่า
“ประหลาดจริงๆ เธอกับฉันก็ไม่ได้แตกต่างกัน เราต่างก็มีปีกเหมือนกัน มีท้องแหลมมนเหมือนกัน เวลามนุษย์พูดถึงเธอต่างก็รู้สึกมีความสุขเห็นเธอเป็นนางเอก พอพูดถึงฉันต่างก็รังเกียจเห็นฉันเป็นผู้ร้าย”

จากนั้นก็ระบายต่อว่า
“ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ หากจะแข่งกันจริงๆ ฉันมีเสื้อสีเหลืองห่อหุ้มร่างกายมาตั้งแต่เกิด อันเป็นพรแห่งสวรรค์ แต่เธอล่ะ! เธอถูกสวรรค์ลงโทษให้ทำงานทุกวันไม่ได้หยุด ฉันด้อยกว่าเธอตรงไหนหึ!”

“คุณต่อค่ะ สิ่งที่คุณพูดมานั้นถูกต้องแล้วค่ะ แต่ที่มนุษย์ทั้งหลายชมชอบดิฉัน ก็คงเป็นเพราะว่าดิฉันได้ให้น้ำผึ้งแก่พวกเค้านะค่ะ ดิฉันขอถามคุณหน่อยว่า คุณได้ให้อะไรกับมนุษย์บ้างคะ?” ผึ้งน้อยกล่าวออกไป

“ทำไมฉันต้องให้อะไรกับพวกมนุษย์! มนุษย์ต่างหากละที่ต้องบูชาฉันถึงจะถูก!” ต่อพูดออกไปอย่างมีโมโห

“ดิฉันคิดว่า หากคุณต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับคุณอย่างไร คุณควรปฏิบัติสิ่งนั้นกับคนอื่นก่อนนะคะ”

ผึ้งน้อยกล่าวเสร็จก็บินจากไป
.................................
มีคนมากมายที่พรั่งพร้อมในความสามารถ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าไร้ราคา ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น

คุณค่าของคนเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณ “เพียบพร้อม”หรือ “ครอบครอง”อะไร แต่อยู่ที่คุณได้ “อุทิศ”และ “ช่วยเหลือ”ผู้อื่นยังไง
หากการดำรงอยู่ของคุณ ไม่ได้มีความหมายกับชีวิตของใคร ๆ
ต่อให้คุณพรั่งพร้อมเพียงใด ก็ไร้ความหมาย

จงทำตนให้มีความหมายกับชีวิตของผู้อื่น
เพราะเราเขาจึงมีวาสนา
เพราะเราเขาจึงมีความสุข
เพราะเราเขาจึงสมบูรณ์ขึ้น
ในสังคมที่คุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ที่ทำงาน บริษัทห้างร้าน เพราะมี “คุณ”อยู่ จึงสมบูรณ์มากขึ้น จึงสมานมากขึ้นใช่หรือเปล่า? ฝากคิด!

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Google เขาเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน?

บทความนี้ดีมากๆนะคะ ฝากอ่านกันคะ ฝากส่งให้ลูกของเราทุกคนอ่านด้วยคะ

บริษัทนวัตกรรมระดับโลกอย่าง Google เขาเลือกคนประเภทไหนเข้าทำงาน?

เด็กเรียนเก่งสอบได้คะแนนสูงไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนทำงานดีเสมอไป และกูเกิลบอกว่าเกรดสูงของนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัย ไม่สามารถเป็นดัชนีชี้ความสามารถในชีวิตการทำงานจริงได้

คะแนนดีไม่ใช่จุดอ่อนแน่นอน แต่บริษัทที่ต้องการคนทำงานคล่องแคล่วและสร้างสรรค์ เขาไม่ได้มองที่เกรดการสอบอีกต่อไปแล้ว

แผนกทรัพยากรบุคคลของกูเกิลเขาไม่เรียก Human Resources หรือ HR แต่ตั้งชื่อให้ใกล้ความจริงแบบพื้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า People Operations ซึ่งหมายถึงเรื่อง “คน” ดี ๆ นี่เองนั่นแหละ

รองประธานฝ่าย “คน” ของเขาชื่อ Laszlo Bock ซึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า จำนวนคนเข้ามาทำงานที่กูเกิลโดยไม่ได้จบมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นทุกปี ล่าสุดสูงถึง 14% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดแล้ว

คุณสมบัติข้อที่หนึ่งสำหรับคนที่จะได้รับเข้าทำงานกูเกิลคือ “ความสามารถในการเรียนรู้” ซึ่งไม่เกี่ยวกับไอคิวหรือความฉลาดเฉลียว

ความสามารถในการเรียนรู้ในที่นี้หมายถึงการจับเอาข้อมูลหลาย ๆ อย่างมาผสมผสานก่อเป็นความรู้ในการทำงานให้สำเร็จได้

เด็กเรียนเก่งแต่ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริง หยิบเอารายละเอียดจากแต่ละเรื่องที่อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน มาโยงให้เป็นองค์ความรู้เพื่อแก้ปัญหาได้ นั่นแหละคือคนทำงานเป็น

คุณสมบัติข้อที่สองคือ “ความเป็นผู้นำ” ในความหมายของโลกยุคใหม่ ไม่ใช่นิยามเก่า เช่นไม่จำเป็นต้องเป็นประธานชมรม ไม่ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มไหนในมหาวิทยาลัยมาก่อน

รองประธานฝ่าย “คน” ของกูเกิลบอกว่า “คำว่าผู้นำของเราหมายความว่าเมื่อเกิดปัญหา คุณเป็นสมาชิกของทีมนั้น เมื่อได้จังหวะเวลาอันเหมาะสม คุณจะสามารถก้าวออกมานำคณะได้หรือไม่ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือว่าเมื่อถึงเวลานั้น คุณสามารถถอยหลังและหยุดการเป็นหัวหน้าทีมและปล่อยให้คนอื่นนำได้หรือไม่?”

หมายความว่าการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ นั้น จะต้องมีความพร้อมที่จะยอมสละอำนาจในจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย

แปลว่าคุณต้องเก่งพอที่จะยอมรับว่าในเรื่องนั้น ๆ อีกคนหนึ่งเก่งกว่าคุณและคุณพร้อมจะให้เขาหรือเธอนำ

เขาเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “ความถ่อมตนทางปัญญา” (intellectual humility) เพราะหากคุณไม่มีความเจียมตน, คุณก็ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรได้

ผลสำรวจหลายชิ้นยืนยันตรงกันว่า คนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ๆ จำนวนไม่น้อยเติบโตในหน้าที่งานการไม่ได้ เพราะทัศนคติผิด ๆ ที่ว่าตนเก่งกว่าคนอื่น

“หนุ่มสาวที่ฉลาดและประสบความสำเร็จมักจะไม่ค่อยเจอกับความล้มเหลว และนั่นทำให้พวกเขาและเธอไม่อาจจะเรียนรู้จากความล้มเหลว” ผู้บริหารกูเกิลคนนี้บอก

เด็กจบมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมักมีท่าทีต่อชีวิตที่ผิด ๆ เช่นว่า “ถ้ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะฉันเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้ามีอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้น นั่นเป็นฝีมือของไอ้งั่งใครสักคนที่ไม่ใช่ฉัน หรือเป็นเพราะฉันไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอในการทำงานชิ้นนั้น หรือเพราะสภาพตลาดเปลี่ยนไปจากเดิม...”

คนที่กูเกิลชอบคือ คนทำงานที่มีความรักงาน ทุ่มเท พร้อมจะถกแถลงอย่างเผ็ดร้อนเพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง แต่หากมีข้อมูลใหม่ที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน เขาหรือเธอก็จะยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่ออาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป และพร้อมจะถอยให้ข้อเท็จจริงใหม่ได้กำหนดทิศทางของเรื่องนั้น ๆ

เรียกว่าไม่ใช่ประเภทหัวชนฝา, ดื้อรั้น, ไม่ยอมฟังความเห็นคนอื่น หรือพิจารณาข้อเท็จจริงจากคนอื่นเลย

คนดีคนเก่งที่ทำงานได้ผลจริงคือ คนที่มี “อัตตาใหญ่” และ “อัตตาย่อย” ในคนคนเดียว

เขาสรุปว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจริงได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ปริญญาบัตรไม่ได้เป็นใบรับรองความสามารถจะทำงานได้ทุกอย่าง

โลกแห่งความเป็นจริงจะยอมรับก็เฉพาะคนที่รู้จักใช้สิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ให้ได้ผลทางปฏิบัติเท่านั้น

และโลกก็ไม่สนใจว่าคุณเรียนรู้มาจากไหนหรือเรียนมาอย่างไร ขอให้รู้จริงและพร้อมจะเรียนรู้ใหม่ ๆ เป็นพอ

หรือจะพูดให้กระจ่างชัดก็คือ กูเกิลบอกว่าคนที่เขาจ้างมาทำงานจะต้องมี soft skills เยอะเช่น ความเป็นผู้นำ, ความถ่อมตน, ความสามารถในการประสานงานกับผู้อื่น, ความสามารถ และพร้อมจะปรับตัวและรักการเรียนรู้และเรียนใหม่

โลกที่ปรับเปลี่ยนเพราะเทคโนโลยีตลอดเวลา ต้องการให้มหาวิทยาลัยผลิตคนที่มีคุณสมบัติเยี่ยงนี้นี่เอง

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"ปริศนา ธูป 1 ดอก ..."


งานบำเพ็ญกุศลผู้วายชนม์ที่วัดชลประทาน การสวดพระอภิธรรมของวัดชลประทานสมัยนี้ ยังคงเป็นเหมือนกับสมัยที่หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ มีชีวิต...

นั่นคือ งานสวดพระอภิธรรมต้องมีเทศนาธรรมแขกเหรื่อที่มาร่วมงานศพ ต้องสวดมนต์รับศีล ฟังเทศน์ ก่อนจะฟังสวดพระอภิธรรม

พระท่านเทศน์ด้วยคำถามว่า
รู้ไหมว่าทำไม...ต้องจุดธูป 3 ดอกหน้าพระพุทธ
หลายคนคงบอกว่าเพื่อบูชา
พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

......ผิดค่ะ
ความจริงแล้วธูปทั้ง 3 ดอก จุดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
หรือ พระพุทธเพียงอย่างเดียว
เพียงแต่ 3 ดอก ที่จุดขึ้นนั้นก็เพื่อ
บูชาพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิกุลหรือพระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า

= บูชาพระปัญญาคุณ เพราะพระพุทธองค์ทรงรู้แจ้ง
เห็นจริงด้วยพระองค์เอง

= บูชาพระบริสุทธิคุณ เพราะหมดจดสิ้นโลภ โกรธ หลง

= บูชาพระมหากรุณาธิคุณ เพราะมีเมตตาสั่งสอน
ให้ผู้อื่นรู้แจ้งเห็นจริง

แล้วธูป 1 ดอกที่จุดหน้าศพล่ะ?......ไม่ต้องรอคำตอบ

พระท่านได้เฉลยว่า ธูป 1 ดอก  หมายความถึง...ชีวิตของคน...แต่ละคนมี 1 ชีวิตเท่ากัน
ธูปส่วนที่ถูกเผา หมายถึง ...ช่วงเวลาที่...ดำเนินชีวิตมาแล้ว ส่วนธูปที่เหลือ คือ....ช่วงเวลาที่เหลืออยู่

พระท่านยังว่า เมื่ออยู่หน้าศพ ก็ให้ระลึกไว้ 3 อย่าง

หนึ่งคือ เอวัง ภาวี หมายถึง ต่อไปเราก็ต้องเป็นแบบนี้

หนึ่งคือ เอวัง ธัมโม สิ่งนี้คือธรรมชาติ

และ อีกหนึ่งคือ เอวัง อะนาติโต ทุกชีวิตไม่สามารถ
หนีสิ่งนี้พ้น

พระท่านบอกว่า งานสวดศพเขาเรียกว่างานบำเพ็ญกุศล ไม่ใช่...งานบุญ

เพราะ การทำบุญนั้น พอทำแล้วใจพองโต เช่น ทำดี ได้บุญ ใจเป็นสุข
แต่ทำกุศลนั้น ทำแล้วได้ปัญญา

ท่านพุทธทาส สอนความแตกต่างระหว่าง "บุญ" กับ "กุศล" เอาไว้ สรุปว่า
= บุญ คือ การพอใจ
= ส่วนกุศล คือ ความฉลาดที่จะไม่ติดยึดกับความพอใจ

การจัดงานศพจึงเป็นงานบำเพ็ญกุศล คือ สร้างเสริมปัญญา...ให้แก่ผู้มาร่วมงาน ทำให้รู้ว่า
ชีวิต...มีเท่านี้ ช่วงชีวิต...ก็แค่นี้ และ สุดท้ายของชีวิต....ก็แบบนี้

ดังนั้น ใครที่โกรธกัน ใครที่เกลียดกัน ใครที่มัวแต่คิดจะฆ่าฟันทำลายล้าง น่าจะลองทบทวนใหม่

ใครที่ซึมเศร้า ใครกำลังคิดสั้น ใครท้อแท้-หดหู่ ก็น่าจะทบทวนตัวเองอีกครั้ง

ทบทวนหวนนึกถึง...ธูป 1 ดอก ที่หมายถึงชีวิต 1 ชีวิต

ทบทวนถึง...ธูปที่เผาไหม้ อันหมายถึงเวลา....ที่ชีวิตใช้ไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ทบทวนแล้วน่าจะแลเห็นว่า... ชีวิตนั้น....แสนสั้น การอยู่ร่วมกันของคนแต่ละคน...ก็แสนสั้น หากมัวแต่เกลียดกัน โกรธกัน ฆ่าฟันทำลายล้างกัน ทำให้จิตใจมัวหมอง เท่ากับว่า...กำลังทำให้ชีวิต...เสียโอกาส

เสียโอกาสที่จะได้....ทำบุญ คือ ทำแล้วฟูใจ พอใจ สบายใจ
และเสียโอกาสที่จะได้.....กุศล คือ ได้วิชา ได้ความรู้ ได้ปัญญา

สาระดีๆ..ที่ควรอ่านและบันทึกไว้.....เวลาของชีวิตเรา เหลือไม่เยอะนัก เหมือน " ธูป ส่วนที่เหลือ "