หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ


ลูกพ่อ...ในพื้นแผ่นดินนี้ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว  ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว..ทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน.... แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือความดีนั้น  ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือ  รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้...พ่อขอบอกลูกดังนี้

1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต

2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม

3. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง  พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน  ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน

4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือ ให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า 'ชั่งมัน'

พ่อ 6/10/2547...

ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินธร....

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

จะเลือกสุข หรือ เลือกทุกข์


ขณะที่กำลังกินอาหารเช้าด้วยความเร่งรีบ ลูกสาววัย ๑๐ ขวบเผลอทำแก้วตกแตก นมนองพื้น พ่อจึงต่อว่าลูกอย่างรุนแรง ลูกสาวถึงกับหน้าเสีย แก้ตัวได้ไม่กี่คำก็ร้องไห้เมื่อถูกพ่อโต้กลับมา แม่เห็นเช่นนั้นจึงต่อว่าสามีว่าทำไมใช้อารมณ์กับลูก สามีจึงหันมาโต้เถียงกับภรรยา ปะทะคารมพักใหญ่ก็นึกได้ว่าสายแล้ว สามีรีบไปเอากระเป๋าเอกสารจากห้องทำงาน แล้วพาลูกขึ้นรถไปด้วยกัน

เป็นเพราะเขาออกจากบ้านช้ากว่าปกติ จึงเจอรถติดเป็นแพยาวเหยียด ผลก็คือไปส่งลูกสาวสาย ส่วนเขาเองก็ถึงที่ทำงานช้า ร้ายกว่านั้นก็คือในการประชุมนัดสำคัญเช้านั้น เขาลืมหยิบเอกสารชิ้นสำคัญใส่กระเป๋าตอนออกจากบ้าน การเจรจากับลูกค้าจึงไม่ประสบผล เขาถูกเจ้านายต่อว่า จึงหัวเสียและหงุดหงิดใส่เพื่อนตลอดวัน

ด้วยความที่อารมณ์ค้างมาจากที่ทำงาน จึงขับรถเฉี่ยวชนขณะกลับบ้าน เสียเวลาไปอีกร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน พอเห็นหน้าภรรยากับลูกสาวเขาก็โวยวายใส่ทั้งสองคนว่าเป็นสาเหตุทำให้เขาไปทำงานสายจนเสียงานเสียการ

คืนนั้นเขากับภรรยาจึงโต้เถียงกันต่อ ส่วนลูกสาวก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องด้วยความรู้สึกกดดัน กว่าความสงบจะกลับคืนมาสู่บ้านนี้ก็ดึกแล้ว แต่ใจของทั้งสามคนยังคงร้อนรุ่มตลอดทั้งคืน

ใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยตนเองอดไม่ได้ที่จะคิดว่าวันนั้นเป็นวันที่เขา “ซวย” อย่างยิ่ง แต่ถ้าพิจารณาให้ดีมันไม่ใช่เป็นเรื่องของคราวเคราะห์แต่อย่างใด เหตุการณ์ย่ำแย่ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่โดยมีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารเช้านั้น

ดูเหมือนว่าการที่ลูกสาวทำแก้วตกแตกด้วยความเผอเรอนั้นคือจุดปะทุที่ทำให้สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ตามมามากมาย แต่ความจริงแล้วจุดสำคัญอยู่ตรงที่พ่อคุมอารมณ์ไม่อยู่ต่างหากจนเผลอตัวพูดรุนแรงใส่ลูก

พ่ออดไม่ได้ที่จะโทษความซุ่มซ่ามของลูกสาวว่าเป็นสาเหตุของความ “ซวย”ทั้งมวลที่เกิดกับเขาในวันนั้น แต่ที่จริงหากพ่อไม่โมโหใส่ลูก เหตุการณ์ต่าง ๆ ในวันนั้นก็จะไม่เป็นอย่างที่ได้พรรณนาข้างต้น

เราลองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารอีกครั้ง เมื่อลูกทำแก้วน้ำแตก ถ้าหากว่าพ่อตั้งสติได้ทัน ก็จะคุมอารมณ์และคำพูดได้อยู่ แทนที่จะด่าว่าลูก ก็สอนให้ลูกระมัดระวังมากขึ้น การโต้เถียงกับภรรยาก็จะไม่เกิดขึ้น ทำให้มีเวลาเตรียมตัวไปทำงาน โดยไม่ลืมหยิบเอกสารสำคัญใส่กระเป๋าไปด้วย เนื่องจากเขาออกจากบ้านตรงเวลา จึงไม่เจอรถติด สามารถส่งลูกและถึงที่ทำงานตามเวลา เมื่อเข้าประชุมเขาก็มีเอกสารมาแสดงครบครัน การประชุมนัดสำคัญจึงจบลงด้วยดี เขาได้รับคำชมจากเจ้านาย วันนั้นเขาจึงทำงานด้วยความสบายใจ รู้สึกโปร่งโล่ง งานจึงออกมาดี เย็นนั้นเขาขับรถถึงบ้านอย่างราบรื่น เจอหน้าภรรยากับลูกสาวก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คืนนั้นทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุข

เห็นได้ว่าปฏิกิริยาของพ่อเมื่อเห็นลูกทำแก้วแตก สามารถจะนำไปสู่เหตุการณ์สองแบบที่ตรงข้ามกัน เหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่ปัญหาและความทุกข์ อีกเหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่ความราบรื่นและความสุข

จุดที่เป็นขั้วต่อหรือทางแยกนั้นก็คือ ภาวะจิตใจของพ่อเมื่อเห็นแก้วแตก กล่าวคือเป็นภาวะที่มีสติหรือถูกอารมณ์ครอบงำ

ตัวอย่างดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า แม้ประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรามีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์นั้นอย่างไร หากเราตอบโต้หรือแสดงออกอย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ชักนำไป ก็จะลงเอยด้วยดี และเป็นปัจจัยไปสู่สิ่งดี ๆ ตามมาอีกมากมาย

ในทางตรงข้ามหากเราขาดสติ กระทำด้วยความวู่วามฉุนเฉียว ก็อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ตามมาเป็นทอด ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพราะเรา “โชคร้าย” หรือวันนั้นฤกษ์ไม่ดี แต่เป็นผลจากการกระทำของเราเอง

เหตุร้ายในชีวิตบางครั้งก็มีจุดเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ในที่สุด จุดเล็ก ๆ นั้นก็คือการกระทำที่ขาดสติของเรานั้นเอง แต่หากเรามีสติเสียแต่ตอนนั้น ก็จะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ดีงาม และสร้างความสุขให้แก่เรา

ที่มา: พระไพศาล วิสาโล

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

อย่ายอมแพ้ ... อายลา


มีลาตัวหนึ่ง ตกลงไปในหลุมลึก เจ้าของคิดดูแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จะช่วยมันขึ้นมาไม่คุ้ม ก็เลยจากมันไป ทิ้งให้มันอยู่อย่างนั้นอย่างเดียวดาย ทุกวันยังมีคนทิ้งขยะลงไปในหลุมอีก ลาโม่โหมาก โกรธตัวเองที่ทำไมโชคร้าย ตกลงมาในหลุม เจ้าของก็ทิ้งมันไป ตายยังไม่ให้มันตายสบายหน่อย แต่ละวันยังมีขยะโยนลงมาข้างตัวมันมากมาย 

แต่วันหนึ่งลามันคิดขึ้นได้ มันตัดสินใจเปลี่ยนทัศนคติในการดำเนินชีวิตของมัน มันจะเหยียบขยะไว้ใต้ตีนมันทุกวัน แทนที่จะให้ขยะถมทับตัวมัน และหาเศษอาหารจากขยะปะทังชีวิตของมันให้อยู่รอด วันเวลาผ่านไป ขยะหนุนสูงจนมันหลุดพ้นจากปากหลุม ขึ้นมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งหนึ่ง 


อย่าท้อถอยกับความไม่สมหวังของชีวิต อย่าน้อยใจที่ผู้ชายของคุณรวยสู้ของคนอื่นไม่ได้ อย่าน้อยใจที่ผู้หญิงของคุณไม่สวยพอ อย่าน้อยใจที่คุณไม่มีพ่อที่ดีคนหนึ่ง อย่าน้อยใจที่งานของคุณไม่ดี เงินเดือนน้อย อย่าน้อยใจที่ความสามารถของคุณไม่มีใครค้นพบ ชีวิตความเป็นจริงมีหลาย ๆ เรื่องที่ไม่สมหวัง ต่อให้ในชีวิตคุณ ๆ ได้รับแต่ขยะ คุณก็สามารถเหยียบขยะไว้ใต้ตีนคุณ แล้วขึ้นสู่จุดสูงสุดในโลก ในโลกนี้ ไม่มีใครสนใจว่าคุณจะขึ้นมาได้เพราะเหยียบอยู่บนบ่าของยักษ์ หรือบนกองขยะ จะขึ้นมาได้เพราะวิธีอะไร แต่สนใจว่าคุณขึ้นมาถึงระดับหนึ่งหรือเปล่าเท่านั้น ความจริง ถ้าขึ้นมาได้จากกองขยะควรจะถูกยกย่องซะมากกว่า


วัยหนุ่มสาวไม่มีล้มเหลว ดูเจ้าลาเป็นตัวอย่าง แค่เริ่มต้นใหม่ ชีวิตก็เปลี่ยน


ชีวิตคนเราก็แค่นี้ ไม่มีอะไรที่คุณจะต้องไปเสียใจ ถือซะว่าเป็นขยะที่อยู่ใต้ตีนคุณ ให้มันเป็นบันใดเพื่อขึ้นสู่ที่สูงให้คุณ ถ้าคุณรู้สึกว่านิทานนี้มีค่า ให้แชร์ให้เพื่อน ๆ ที่กำลังท่อแท้ อ่านด้วย ความจริง อุปสรรค์และความผิดหวังที่คุณพบเห็นทุกวันนี้ ก็คือขยะและบันไดที่จะทำให้คุณขึ้นสู่ที่สูงของชีวิตคุณในอนาคต เพราะฉะนั้น ในวัยหนุ่มสาว พบความผิดหวังและความลำบากในชีวิตบ้าง จึงเป็นเรื่องจำเป็น พวกนี้จะเป็นทรัพย์ของคุณในอนาคต

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าความรัก


เรื่องที่หลายคนเคยอ่าน แต่ยังอ่านได้ซ้ำและซึ้งเสมอ

"ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
'ผมขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน
' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่ '

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...
ฉันถามเขาว่า
'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ  เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'
ฉันถาม
'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ...'
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....
ฉันบอกกับน้องว่า
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
'พี่สาวของผมครับ' .....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า
'ซัมซุง'

ประธานอี บย็อง-ช็อล
เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ อี บย็อง-ช็อล เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453ในจังหวัดอึย-เรียง มนฑลคยองซังนัมอี ได้ก่อตั้งบริษัทการค้าซัมซุงขึ้นในปี พ.ศ. 2481 ในเมืองแทกู หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งบรัษัทซัมซุงโปรดักส์ บริษัทสิ่งทอ และ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์นานับประการให้กับประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงกลายเป็นต้นแบบทีมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงธุรกิจในยุคสมัยนั้น ในปี พ.ศ. 2504 เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักธุรกิจ นี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ของผู้เคยเป็นคนบริหาร Samsung

เมียผม เธอไม่ได้ทำงาน


สามีบ่นกับนักจิตวิทยาสำหรับความรู้สึกเหนื่อย ... เหนื่อยและเหนื่อย .... เค้ารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมที่เค้าต้องมาทำงานคนเดียวเลี้ยงครอบครัว หาเงินเลี้ยงลูกและภรรยา เค้าคิดว่าภรรยาของเขาแย่มากที่ 'ไม่ทำงาน'

ต่อไปนี้เป็นคำถามและคำตอบระหว่างสามี และนักจิตวิทยา

นักจิตวิทยา: ตอนนี้คุณทำงานอาชีพอะไร?
สามี: ผมทำงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีในธนาคาร

นักจิตวิทยา: ภรรยาของคุณ?
สามี: เธอไม่ทำงาน เธอเป็นแค่แม่บ้าน

นักจิตวิทยา: ใครทำอาหารเช้าสำหรับครอบครัวของคุณในตอนเช้า?
สามี: ภรรยาของผมเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: เวลากี่โมงที่ภรรยาของคุณตื่นขึ้นมาสำหรับทำอาหารเช้า?
สามี: เธอตื่นประมาณ ตี5 เพราะเธอต้องทำความสะอาดบ้านก่อนที่จะทำอาหารเช้า

นักจิตวิทยา: ใครพาลูกๆของคุณไปโรงเรียน?
สามี: ภรรยาของผมเป็นคนพาลูกๆไปโรงเรียนเพราะเธอไม่ได้ทำงาน

นักจิตวิทยา: หลังจากพาเด็กๆไปโรงเรียนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วใช่มั้ย?
สามี: เธอเดินไปจ่ายตลาดแล้วก็กลับบ้านเพื่อทำอาหารและทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า คุณก็ทราบว่าเธอไม่ได้ไปทำงาน

นักจิตวิทยา: ตอนเย็นหลังจากที่คุณกลับจากออฟฟิต เมื่อมาถึงบ้านคุณทำอะไรบ้าง ?
สามี: ไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าผมเหนื่อยเนื่องจากต้องทำงานตลอดทั้งวันในที่ทำงาน

นักจิตวิทยา: แล้วภรรยาของคุณทำอะไรล่ะ?
สามี: เธอเตรียมอาหารให้ผมและลูกๆ และล้างจาน ล้างครัว ทำความสะอาดบ้าน พาเด็กๆอาบน้ำ แล้วพาลูกๆเข้านอน เธอเล่านิทานจนลูกๆหลับ เสร็จแล้วเธอก็ไปเตรียมเสื้อผ้าให้ผมและลูกๆ มาแขวนเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

นักจิตวิทยา: เธอเข้านอนกี่โมง
สามี: ผมไม่ทราบผมหลับก่อนประมาณ 5 ทุ่ม ในขณะที่เธอยังทำงานบ้านอยู่

นักจิตวิทยา: จากเรื่องที่เราคุยกันคุณยังคิดว่าเธอไม่ได้ทำงานอีกมั๊ย?

นักจิตวิทยา: กิจวัตรประจำวันของภรรยาของคุณเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ถึงดึกดื่นในเวลากลางคืน นี่หรือที่คุณเรียกว่า 'ไม่ทำงาน'?!

นักจิตวิทยา: ใช่เป็นแม่บ้านไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองการศึกษา ไม่ต้องทำงานในตำแหน่งสูง แต่หน้าที่ ของพวกเขาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!

นักจิตวิทยา: คุณควรขอบคุณภรรยาของคุณ เพราะการเสียสละของเขา คุณต้องระลึกไว้เสมอว่า เราต้องเข้าใจและชื่นชมบทบาท ของกันและกัน การทำความเข้าใจและเห็นคุณค่า ซึ่งกันและกัน นั่นจะทำให้คุณอยู่ร่วมกันมีความสุข


วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความสอนใจ คุณ "กำ" อะไรอยู่ ?


ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่งมี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบ กำลังน่ารักเลยทีเดียว เจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูก ไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันราคาแพงมากนำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน

ทันใดนั้นเจ้าหนูก้อทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่าง แต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่าเจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องใช้ไม้ตายคือ "ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน" เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู เมื่อมาพบเข้าต่างก็พยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่าง ๆ น้ำมันก็แล้ว น้ำสบู่ก็แล้ว ทำอีท่าไหนก็ไม่ออก จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้ง เพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้ เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่ก็พบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น

ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า "หนูกำอะไรอยู่จ๊ะลูก ?" เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง "ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ"

"แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก?" ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย

"มันเป็นสตางค์ครับ" เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อย ๆ แบมือออกอย่างทนุถนอม ปรากฏว่าในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้ ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพัน ๆ เท่า

แล้วคุณล่ะ...ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง "กำ" อะไรไว้ในชีวิตบ้าง เงิน ? ชื่อเสียง ? หน้าตาทางสังคม ? ทิฐิ ?

แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง เวลา, ครอบครัว, พ่อแม่, คนที่รักเรา