หน้าเว็บ

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องของหมีฟ้ากับลูกนก

หมีฟ้า เจอลูกนกถูกทิ้ง
หมีฟ้าจึงเอาลูกนกมาดูแล

แล้วเป็นพ่อให้ลูกนก

เมื่อถึงเวลา ลูกนกต้องฝึกบิน
ลูกนกถามหมีฟ้า พ่อจ๋าหนูจะบินได้อย่างไร

หมีฟ้าบอกไปว่า เดี๋ยวพ่อบินให้ดู

หมีฟ้ากระโดดจากยอดไม้แล้วกระพือแขนเร็วๆ เพื่อให้ลอยขึ้น
แต่ทุกครั้ง หมีฟ้าก็จะหล่นลงพื้น ด้วยความหนักของตัว

หมีฟ้าทำแบบนี้ทุกวัน ให้ลูกนกดู
แล้วบอกลูกนก ให้กระพือปีกแรงๆตาม

พ่อไม่เห็นบินได้เลย
ลูกนกถาม

เพราะพ่ออ้วนไง แต่ลูกบินได้นะ
ลองทำดูสิ หมีฟ้าบอกลูกนก

พ่อเธอไม่มีทางบินได้หรอก เพราะพ่อเธอไม่ใช่นก
ต้นไม้กระซิบบอกลูกนก

ถ้าพ่อบินไม่ได้ พ่อจะทำอย่างนั้นทุกวันทำไม
ลูกนกถามต้นไม้

"วันไหนเธอมีคนที่เธอรักสุดหัวใจ
เธอจะเข้าใจเอง" ต้นไม้ตอบ

ลูกนกมองหมีฟ้าที่ตัวเต็มไปด้วยแผล
แล้วถามว่า พ่อบินไม่ได้ พ่อจะพยายามบินทำไม

หมีฟ้ายิ้มแล้วลูบหัวลูกนกเบาๆ
พร้อมบอกว่า

" การพยายามทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก
มันไม่มีขีดจำกัดหรอก มันทำได้ทุกอย่าง
พ่ออยากให้หนูบินได้
เพื่อที่สักวันหนูโตขึ้น จะได้บินออกไปดูโลกกว้าง
บินออกไปเห็นอะไรใหม่ๆ
บินออกไปหากิน และเจอคนดีๆที่พร้อมจะเคียงข้างหนู
พ่อรักหนูนะ "

ลูกนกไม่ตอบอะไร
ปล่อยตัวลงไป กระพือปีกให้แรง
แล้วก็บินออกไปสู้ท้องฟ้ากว้างใหญ่

มีเพียงหมีฟ้าที่มองจากต้นไม้ต้นนั้น
ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและน้ำตาจากความใจหาย
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปไหน
เขาไม่รู้ว่าลูกนกจะบินไปหาใคร
แต่เขารู้ว่า ลูกนกบินได้แล้ว เขาก็สุขใจ

ตะวันกำลังลับลา
หมีฟ้านั่งเช็ดแผลตัวเอง
พร้อมกับมองเงาฝูงนกที่บินตรงขอบฟ้า
แล้วหวังว่าจะมีลูกที่เขารักบินอยู่ในนั้น
ก่อนหลับตาไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สุขใจ

............

ไม่ทันได้หลับสนิท ก็มีอะไรแผ่นใหญ่ๆมาห่มไว้
หมีฟ้าลืมตา เห็นลูกนกกำลังบินคาบใบไม้มาห่มให้
พร้อมกับอาหารและหญ้าสมุนไพรไว้ให้ใส่แผล
ลูกนกบินลงบนไหล่หมีฟ้าอย่างเบาๆ
แล้วกระซิบที่หูไปว่า
" หนูก็รักพ่อนะ "

(^^)ชอบบทความนี้มากอ่านแล้วน้ำตาซืมทุปครั้ง

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รอให้พร้อม สายไปหรือเปล่า

ต้นไม้แก่ ขอฝนจากเมฆก้อนน้อย
เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า

น้ำฝนมีอยู่น้อย กลัวว่ามันคงจะไม่พอให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

วันต่อมา
เมฆก้อนน้อยก็ยังคงบอกเช่นเดิม
มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้

เมฆก้อนน้อยจึงเดินทาง และพยายามสะสมฝน
เพื่อที่จะให้มันมากพอ พอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ

เมื่อมีปริมาณมากพอ
เมฆน้อยจึงกลับมา

แต่สิ่งที่พบข้างหน้า
มีเพียงซากต้นไม้แก่ที่ตายแล้ว

เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้แล้วถามว่าทำไม ความพยายามของฉัน ไม่มีค่าเลยเหรอ

ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้จึงได้แหงนหน้าแล้วบอกเมฆน้อยไปว่า

" การที่เราจะให้อะไรแก่ใครสักคนที่เรารัก มันไม่ต้องรอให้มากพอ หรือรอความพร้อมอะไรหรอก
ให้เท่าที่มี ก็ทำให้คนรับชื่นหัวใจได้
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี
แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไขนะ

อย่าไปรอให้รวย ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
อย่าไปรอให้พร้อม ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
เพราะคนที่เรารัก อาจไม่มีเวลามากพอที่รอเรา "

แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป
เขาฝากบอกเธอไว้ว่า ถ้าเห็นเธอผ่านมา
ให้บอกเธอว่า เขารักเธอ

เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตาออกมาเป็นเม็ดฝนอย่างไม่ขาดสาย
ให้กับต้นไม้ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็นอีกต่อไป ตลอดกาล

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นิสัย 7 ข้อที่คนหันมาเริ่มทำ “ธุรกิจ” ของตัวเองมีร่วมกัน!


“The best way to predict the future is to create it” – Peter Drucker

คำพูดนี้ คงโดนใจใครหลายๆ คน ที่ทั้งชีวิตทำงานประจำ หรือชีวิตที่แขวนอยู่บนความไม่แน่นอน ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะโดนไล่ออกเมื่อไหร่ ครั้นจะออกมาเปิดธุรกิจตัวเองทั้งที่ใจอยากจนใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้า แต่สิ่งหนึ่งที่คุณแน่ใจก็คือ คุณอยากให้ชีวิตของคุณ และคนที่คุณรัก มั่นคงกว่านี้ อยากให้อนาคตของคุณเป็นสิ่งที่คุณบอกได้ คุณวางได้ เพราะฉะนั้น ดังคำกล่าวข้างต้น วิธีเดียวคือ คุณต้องกำหนดมันเอง วาดอนาคตมันขึ้นมา ในช่วงแรกแน่นอนล่ะ ว่าอาจจะเหมือนกับคุณกำลังวาดวิมานในอากาศ แต่รับรอง ถ้าคุณรู้จักที่จะคิด รู้จักที่จะเรียนรู้ คุณไปรอดแน่ๆ

ซึ่งในที่นี้ การวาดอนาคตของคุณคือการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร สิ่งแรกที่สุดคือ คุณต้องเรียนรู้ เพราะไม่มีใครหรอก ที่เก่งมาตั้งแต่เกิด หากคุณตั้งธงไว้ว่า คุณรู้ทุกอย่าง คิดว่าตัวเองทำอะไรก็ได้ละก็ คุณแพ้ตั้งแต่ต้นแล้ว คุณจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่ 0 เรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และไม่ทำผิดซ้ำสองอีก! ส่วนคำแนะนำต่อมานั้น วันนี้ Kiitdoo ขอเอานิสัย 7 ข้อ ที่คนที่คิดจะเริ่มเป็นเจ้าของ “ธุรกิจ” มาฝากกัน ไปดูกันเลย

1. “กะตือรือร้น”
สิ่งนี้จำเป็นมาก เพราะทุกครั้งที่คุณล้อมเหลว ความกะตือรือร้น และความคิดบวก จะทำให้คุณกลับมาสู้ใหม่ได้เร็วที่สุด และทุกครั้งที่คุณขายอะไรก็ตาม ความกะตือรือร้น ความมั่นใจ มันจะสื่อออกมาในแววตาของคุณ ว่าสินค้าของคุณนั่นแหละ ที่เจ๋งที่สุดแล้ว

 2. “ตั้งเป้า ให้ทุกสิ่งที่ทำ”
ทุกอย่างที่ทำต้องมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ว่าคุณทำเพื่ออะไร ถึงสุดท้ายมันจะเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค คุณจะได้รู้สาเหตุของมัน และคราวหน้าคุณจะไม่ทำพลาดอีก

3. “มุ่งมั่น”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำว่า “ยอมแพ้” จะไม่อยู่ในพจนานุกรมของคุณ คุณพร้อมสู้ต่อเสมอ และผลักดันลิมิตของความอดทน และความสามารถของคุณไปเรื่อยๆ นี่แหละคือตัวจริง!

4. “มีความสุข”
อย่าหาแต่เงิน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ความสุข” ลองหาดูว่าความสุขในชีวิตคุณคืออะไร เพราะถ้าคุณไม่มีความสุข จำไว้ว่า นั่นคือจุดที่คุณ ไม่ให้ความสุขกลับไปยังโลกใบนี้เลย สิ่งเดียวที่คุณส่งออกไปคือความทุกข์ และนั่นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น

5. “ฟังให้มาก”
จำไว้ว่า บางทีมันเป็นเรื่องยากเสมอที่เราจะมองหาข้อผิดพลาดของตัวเอง เพราะฉะนั้น การฟังเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้คุณได้รับฟังข้อผิดพลาดที่คนอื่นมองเข้ามาในตัวคุณ หรือธุรกิจของคุณ เพื่อที่คุณจะได้แก้ไขต่อไป

6. “พึ่งตัวเองดีที่สุด”
อาจจะเป็นเรื่องจริงที่ว่า หากเรามีที่พึ่งพามากๆ ก็ทำให้เราไม่ล้มเหลวหรอก แต่นั่นก็ไม่เรียกว่าความมั่นคงหรอกนะ เพราะไม่มีใครให้คุณพึ่งพาได้ตลอดหรอก พึ่งตัวเองน่ะ ดีที่สุดละ

7. “ไว้ใจ”
เป็นข้อสุดท้าย แต่สำคัญที่สุด เพราะคุณจะไม่มีทางสำเร็จได้ ถ้าคุณไม่ “ไว้ใจ” หรือเชื่อใจว่าคุณ หรือทีมของคุณมีความสามารถมากพอที่จะไปถึงจุดนั้นได้ ถึงแม้ว่าจะล้มเหลวมาแล้ว หลายต่อหลายครั้งนั่นเอง

H/T: Elitedaily

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ปรัชญาจากถ้วยกาแฟ


ณ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง บรรดาศิษย์เก่าที่จบจากสถาบันนี้ แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพ มีชื่อเสียงในวงสังคม ตามวงการต่างๆ มากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และที่กระท่อนกระแท่น ยังดิ้นรนอยู่ในหน้าที่การงานก็เยอะ

วันนี้ เนื่องในวาระที่อาจารย์พ่อซึ่งเป็นที่เคารพของศิษย์เก่าทุกคน จเกษียณอายุ...บรรดาศิษย์เก่า จึงถือเป็นโอกาสดี ที่จะกลับไปเยี่ยมสถาบัน เพื่อเลี้ยงสังสรรค์และรำลึกถึงอาจารย์พ่อ

หลังจากกินเลี้ยงกันมาได้พักใหญ่ วงสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นการบ่นพร่ำเกี่ยวกับความเครียด ในการทำงานและปัญหาชีวิต

แต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกันออกไป มากบ้างน้อยบ้าง อาจารย์พ่อฟังปัญหาของลูกศิษย์ทุกคนอย่างตั้งใจ รับฟังโดยไม่มีคำวิจารณ์ หรือนำเสนอความเห็นของอาจารย์เลยแม้แต่น้อย

เมื่อฟังปัญหาของลูกศิษย์จบทุกคน อาจารย์พ่อเสนอเลี้ยงกาแฟกลุ่มลูกศิษย์เก่า ท่านเดินเข้าไปในครัวและออกมาพร้อมกับกาแฟเหยือกโตและถ้วยกาแฟแบบต่างๆ บ้างเป็นถ้วยกระเบื้อง บ้างเป็นถ้วยพลาสติก และบ้างก็ทำด้วยแก้ว มีถ้วยกาแฟหลายใบที่เป็นแบบพื้นๆ ธรรมดาๆ...บางใบสวยวิจิตรสูงค่า

"เอ้า-อาจารย์ชงกาแฟใส่เหยือกมาให้แล้ว พวกเธอจัดการรินใส่แก้วดื่มกันเองนะ"

บรรดาลูกศิษย์ มองถ้วยกาแฟหลากหลาย ด้วยความสนใจ แล้วพากันเลือกถ้วยกาแฟพร้อมๆ กับรินกาแฟออกมาจากเหยือกใส่ถ้วยที่ต่างกันออกไป

เมื่อลูกศิษย์ทุกคนต่างมีถ้วยกาแฟในมือกันทุกคน แล้วอาจารย์พ่อ กล่าวว่า
“ลองดูถ้วยกาแฟในมือของพวกเธอ กับถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่ในถาดซึ่งไม่มีคนเลือกสิ สังเกตุกันรึเปล่า...ถ้วยสวยๆ แพงๆ ถูกเลือกไปหมด เหลือไว้แต่ถ้วยแบบธรรมดาราคาถูก...เป็นเรื่องปกติ ที่พวกเรามักจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดโดยลืมคิดถึงความต้องการที่แท้จริงของเรา...และนี่คือที่มาของความเครียดและปัญหาทั้งหลายในชีวิต

ความจริงวันนี้สิ่งที่พวกเราต้องการแท้จริงคือ กาแฟ ไม่ใช่ ถ้วยกาแฟ แต่จิตสำนึกกลับ นำพาเราไปเลือกที่ถ้วย มิหนำซ้ำยังคอยชำเลืองมองถ้วยของคนอื่นๆ อีกด้วย...

หากชีวิตคือกาแฟ หน้าที่การงาน ตำแหน่งต่างๆ ในสังคม ก็คือ ถ้วยกาแฟ ซึ่งมันก็เป็นเพียงเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ช่วยหยิบจับหรือประคองชีวิตของเรา มันไม่ได้ทำให้เนื้อหาจริงๆ ของชีวิตเปลี่ยนไป

บางครั้ง….การมัวเพ่งที่ถ้วยใส่กาแฟ มันก็จะทำให้เราลืมใส่ใจกับรสชาติของตัวกาแฟ ถ้ารู้จักชีวิตที่แท้จริง…สิ่งของ หรือตำแหน่งหน้าที่ มันก็แค่ส่วนเคลือบ ไม่ใช่เนื้อหาหรือแก่นแท้ที่สำคัญของชีวิตเลย

ชีวิตไม่ได้ต้องการถ้วยกาแฟ แต่ที่ชีวิตต้องการคือ 'รสชาติกาแฟ' เท่านั้นเอง...

Cr. Forwarded Line

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รักของแม่

ตอนที่อายุ 18 ปี ความเกเรทำให้เขาทำร้ายคนอื่นบาดเจ็บสาหัส จึงถูกพิพากษาจำคุก 6 ปี ตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้าคุก ก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย แม่เป็นหม้าย เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยความทุกข์ยากลำบาก นึกไม่ถึงว่าเขากำลังจบมัธยมปลาย จะมาก่อเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ได้ เขาทำให้แม่เสียใจ และเขาก็เข้าใจดี แม่โกรธเขาก็สมควรแล้ว

ฤดูหนาวปีแรกในคุก เขาได้รับกล่องพัสดุข้างในบรรจุเสื้อไหมพรมตัวหนึ่ง ที่ชายเสื้อนั้นปักรูปดอกเหมยสีแดงอยู่ 1 ดอก บนดอกเหมยนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆ ข้อความว่า  “ขอให้ลูกปรับปรุงตัว ยามแม่แก่เฒ่า แม่หวังพึ่งเจ้าเลี้ยงดู” ข้อความในกระดาษแผ่นเล็กนี้ ทำให้คนก้าวร้าวนิสัยแย่อย่างเขาร้องไห้นำตานองหน้า นี่เป็นเสื้อไหมพรมที่แม่เป็นคนถักเอง เขาจำลักษณะของลายเส้นได้ แม่เคยพูดกับเขาว่า “คนเราจะต้องเอาอย่างดอกเหมย ยิ่งผจญกับความหนาวเหน็บทุกข์ยากเท่าใด ยิ่งจะทำให้ดอกเหมยผลิดอกได้งดงามมากยิ่งขึ้น”

4 ปีแล้ว แม่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเยี่ยมเขา แต่ทว่า ทุกต้นฤดูหนาว แม่จะส่งเสื้อไหมพรมและข้อความเดิมมาให้ทุกครั้ง เขาพยายามปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้ได้รับการพิจารณาลดโทษ และเมื่อปลายปีที่ 5 เขาก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก

เขาสะพายเป้เดินออกจากเรือนจำ เสื้อไหมพรม 5 ตัวคือสมบัติของเขา เมื่อเขาเดินทางมาถึงบ้าน ปรากฏว่าหน้าบ้านถูกล็อคด้วยกุญแจ และกุญแจนั้นก็ถูกสนิมกินเขรอะไปหมด ต้นหญ้าภายในบ้านก็ขึ้นสูงเกือบฟุต เขารู้สึกแปลกใจ แม่ไปไหม?

เมื่อเขาเข้าไปถามเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านต่างมองเขาด้วยความประหลาดใจ ต่างก็ถามเขาว่ายังอีกปีหนึ่งไม่ใช่เหรอ? เขาส่ายหน้าถามไปว่า
“แม่ผมล่ะ?”
เพื่อนบ้านก้มหน้าแล้วก็บอกกับเขาว่า
“แม่เธอตายไปแล้ว!”
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม เป็นไปได้ยังไง! แม่ของเขาอายุเพิ่งสี่สิบกว่าเอง จะตายได้ยังไง? เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาเขาเพิ่งได้รับเสื้อกันหนาวของแม่อยู่เลย

เพื่อนบ้านจึงพาเขาไปที่หลุมฝังศพ เขาคุกเข่าร้องไห้เหมือนคนเสียสติ เพื่อนบ้านเล่าว่าหลังจากที่เขาทำร้ายคนอื่นจนบาดเจ็บสาหัส แม่ของเขาต้องไปกู้เงินจากเพื่อนบ้านเพื่อทำการรักษาคนบาดเจ็บนั้น เมื่อเขาถูกจำคุก แม่จึงย้ายไปรับจ้างในโรงงานประทัดที่ห่างจากบ้านประมาณ 100 กิโล นานๆ ถึงจะกลับมาที ส่วนเสื้อไหมพรมที่แม่ส่งไปให้เขานั้น แม่ฝากเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันเป็นผู้ส่งให้ และเมื่อตรุษจีนปีที่แล้ว โรงงานประทัดมีออเดอร์เป็นจำนวนมาก จึงให้พนักงานทำโอที แต่โชคร้ายโรงงานระเบิด คนงานต่างถิ่นที่ทำโอทีสิบกว่าคนหนึ่งในนั้นก็คือแม่ของเขารวมทั้งเจ้าของโรงงานและลูกหลานเสียชีวิตทั้งหมดในเหตุการณ์ครั้งนั้น

พูดถึงตรงนี้ เพื่อนบ้านก็ถอนหายใจ
“ยังมีเสื้อไหมพรมค้างอยู่ที่บ้านฉันอีกหนึ่งตัว เตรียมส่งให้เธอปีนี้!”
เขาตีอกชกตัวร้องไห้ไม่หยุดต่อหน้าหลุมฝังศพแม่ เขาเป็นคนทำให้แม่ตาย เขาเป็นลูกอกตัญญู เขาสมควรตกนรก วันรุ่งขึ้น เขาขายบ้านแล้วก็นำสมบัติคือเสื้อไหมพรม 6 ตัว ติดตัวแล้วจากไป

4 ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมือง และแต่งเด็กสาวคนหนึ่งเป็นภรรยา ร้านของเขากิจการดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาหารอร่อยราคาย่อมเยา อีกทั้งความอ่อนน้อมและความกระตือรือร้นของผู้เป็นภรรยาในการต้อนรับแขก

เพราะไม่ได้จ้างคนงาน เขาจึงต้องตื่นประมาณตีสี่เพื่อไปซื้อของมาทำอาหาร สองสามีภรรยาแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุข อยู่มาวันหนึ่ง หญิงชราหลังคุ้มงอเดินขากระเพลกลากซาเล้งเข้ามาทำมือทำไม้ขอรับจ้างเป็นคนจ่ายตลาดแทนเขา หญิงชรารับประกันความสดใหม่ของผักและอื่นๆ อีกทั้งให้ราคาต่ำกว่าท้องตลาด หญิงชราคนนี้เป็นใบ้ บนใบหน้ามีแผลเหมือนถูกไฟคลอกมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารและเวทนามาก

ภรรยาของเขาไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกสงสารคนแก่ แต่เขาไม่สนใจความเห็นของภรรยา เขาตกลงให้หญิงชราเป็นผู้จ่ายตลาดแทนเขา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขารู้สึกถูกชะตากับหญิงใบ้คนนี้เป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะลักษณะของนางเหมือนกับแม่ของเขามาก

หญิงใบ้เป็นคนมีสัจจะ ผักและอาหารอื่นๆ ที่นางจัดซื้อหามาให้ทั้งสวยและสดมาก ทุกเช้าประมาณ 6 โมง นางจะลากซาเล้งพร้อมกับผักเต็มลำมาส่งให้ชายหนุ่มที่ร้าน บ่อยครั้งที่เขาขอเลี้ยงบะหมี่หญิงชรา นางกินค่อนข้างช้า ดูเหมือนนางจะเป็นสุขอย่างมาก

เขารู้สึกสงสารนางจับใจ บอกกับหญิงชราว่า
“ยายมากินบะหมี่ได้ทุกวันนะ ผมเลี้ยงเอง”
เมื่อหญิงชรากินเสร็จก็ยิ้มแล้วเดินกระเพลกๆ ออกจากร้านไป
เขามองตามหญิงชรา ไม่รู้ทำไม เขาเห็นภาพของแม่ทาบอยู่บนร่างของนาง ทำให้เราร้องไห้ตัวโยกด้วยความสะเทือนใจ

ผ่านไป 2 ปีแล้ว จากร้านอาหารเล็กๆ ตอนนี้ร้านของเขากลายเป็นภัตตาคาร 4 ชั้น และด้วยเงินที่สะสมมาหลายปี เขาสามารถซื้อบ้านใหม่ได้อีกหลังหนึ่ง หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนก็คือ คนส่งผักยังเป็นหญิงใบ้คนเดิมอยู่

เช้าวันหนึ่ง เขายืนรอผักอยู่หน้าภัตตาคาร รอเป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นหญิงชราเอาผักมาส่ง เขาไม่เคยสอบถามเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ของนางเลย แล้วจะติดต่อได้ที่ไหน? ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงหญิงชรา
เมื่อไม่เห็นเงาของหญิงชราว่าจะมาส่งผักได้เหมือนเดิม เขาจึงสั่งลูกน้องออกไปซื้อผักที่ตลาด ผ่านไป 2 ชั่วโมง คนงานก็กลับมาจากตลาดพร้อมกับผักและอาหารอื่นๆ เมื่อเขาตรวจสอบดู คุณภาพของผักไม่ได้ครึ่งของหญิงชราที่จัดหามาให้เขาเลย ผักที่หญิงชรานำมาส่งรู้สึกได้เลยว่าถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี  แต่จากวันนั้นเป็นต้นมา หญิงชราก็ไม่ได้มาส่งผักเหมือนเดิมอีกแล้ว

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ วันนั้นเป็นวันตรุษจีนพอดี ในขณะที่เขากำลังห่อเกี๊ยว เขาก็เอ่ยกับภรรยาว่าอยากจะเอาไปให้หญิงใบ้สักชามหนึ่ง และอยากจะไปดูด้วยว่านางเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เห็นนางมาส่งผักตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง? ภรรยาเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดมา เมื่อทำเกี๊ยวเสร็จ เขาก็ยกชามเกี๊ยวใส่ตะกร้าออกจากบ้านเพื่อไปสอบถามถึงหญิงใบ้ที่เดินขากระเพลกกับชาวบ้านในตลาด และเขาก็ทราบว่า หญิงใบ้คนนั้นอาศัยอยู่บ้านเช่าห่างจากภัตตาคารของเขาเพียง 2 ซอยเท่านั้น

เมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านเช่าของนาง เขาเคาะประตูเรียกตั้งนาน ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตู เขาจึงถือวิสาสะผลักประตูเดินเข้าไปในบ้าน ในบ้านแคบๆ มืดๆ นั้น หญิงชรานอนอยู่บนเตียงสภาพหนังหุ้มกระดูก เมื่อหญิงชราเห็นเป็นเขาก็ตกใจ พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่นางก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีแรง

เขาเอาชามเกี๊ยววางไว้ที่หัวเตียงและก็ถามว่า
“ยายเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า?”
หญิงชราเอาแต่ขยับปากเหมือนอยากจะบอกอะไรกับเขา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา
เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟที่หัวเตียงแล้วเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งลงข้างๆ แทน อยู่ๆ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรูปสองสามใบที่ติดอยู่ผนังห้อง เขาตกตะลึง อ้าปากค้างชาวาบไปทั้งตัว มันเป็นภาพถ่ายของเขากับแม่! ภาพถ่ายเมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ 10 ขวบ และตอนอายุ 17 ปี
ที่มุมห้องมีห่อผ้าเก่าๆ ห่อหนึ่ง บนห่อผ้านั้นมีรูปดอกเหมยไหมพรมติดอยู่

เขาหันกลับมามองหญิงชราด้วยความตะลึง ถามออกไปว่ายายเป็นใครกัน?
หญิงชราก็ตกตะลึงไม่ต่างจากเขา สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมาว่า
“ลูกแม่!”
เสียงเรียกว่า “ลูกแม่” นั้น เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เขาช๊อกไปครู่หนึ่ง หญิงชราคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้ คนส่งผักให้เขาเป็นเวลา 2 ปีคนนี้ ที่แท้เป็นแม่ของเขาเองหรือ! เขารีบคุกเขากอดแม่ไว้แน่น สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้เสียงระงม ไม่รู้ว่าเสียงร้องไห้นั้นดังเป็นเวลานานเท่าไหร่ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลไฟไหม้ของแม่
“เพื่อนบ้านพาผมไปกราบหลุมศพของแม่ บอกว่าแม่ตายไปแล้ว ผมจึงขายบ้านย้ายมาอยู่ที่นี่”

แม่ของเขาปาดน้ำตา บอกกับเขาว่านางเป็นผู้สั่งให้เพื่อนบ้านบอกกับเขาอย่างนั้น  ในวันที่โรงงานประทัดระเบิด นางรอดชีวิตออกมาได้ แต่ใบหน้าก็ถูกไฟครอกจนเสียโฉม เมื่อเห็นสภาพความน่าเกลียดของตัวเอง อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ยากจน หากวันหนึ่งลูกชายออกจากคุกมา กลัวว่าจะไม่มีใครยอมแต่งงานกับลูกชายของนาง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของลูก นางจึงบอกกับเพื่อนบ้านว่าให้บอกลูกชายของนางว่า นางได้ตายไปแล้ว เพื่อให้ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของลูกอย่างชอบธรรม จะได้นำไปตั้งตัวสร้างครอบครัวใหม่ได้

เมื่อลูกชายของนางขายบ้านจากไปแล้ว นางจึงได้กลับไปสอบถามเพื่อนบ้านจึงรู้ว่าลูกชายมาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมือง นางจึงเข้ามาเป็นคนเก็บขยะขายประทังชีวิต ใช้เวลาตามหาลูกชายถึง 4 ปี จึงได้เจอกับร้านอาหารของลูกชาย นางดีใจจบแทบจะเป็นบ้า แต่เมื่อเห็นลูกชายและลูกสะใภ้ทำงานด้วยความลำบาก จึงขันอาสารับเป็นผู้จ่ายตลาดให้ เพื่อแบ่งเบาภาระของลูก ทำมาก็ 2 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ขาของนางไม่มีแรง ไม่สามารถลุกเดินเหินได้เหมือนเดิมอีกต่อไป จึงไม่สามารถช่วยลูกชายได้อีกแล้ว
เขาฟังไปร้องไห้ไป ไม่รอให้แม่พูดจบ เขาลุกขึ้นไปหยิบห่อผ้าและอุ้มแม่เดินกลับไปที่บ้าน

เขาอุ้มแม่เดินมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงบ้านของตัวเอง แม่พูดกับเขามากมาย แม่บอกว่า วันที่เขาเข้าคุกแม่เกือบจะตาย แต่ก็แข็งใจรอให้ลูกออกจากคุกก่อน แม่ยังตายตอนนี้ไม่ได้จึงกัดฟันอยู่ต่อ เมื่อลูกออกจากคุกมา เห็นลูกยังไม่มีครอบครัว แม่ก็คิดว่าแม่ยังตายไม่ได้ เมื่อเห็นลูกมีครอบครัว มีกิจการงานที่ดี แต่ยังไม่มีหลาน ยังไงแม่ก็ตายไม่ได้ ถึงตรงนี้ นางพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข

เขาก็ได้พูดกับแม่ถึงเรื่องราวของเขามากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกความจริงกับแม่ก็คือ คนที่เขาชกต่อยด้วยจนบาดเจ็บสาหัสนั้น เป็นเพราะชายคนนั้นใช้วาจาอันแสนหยาบคายพูดดูถูกแม่ของเขา เขาไม่กลัวหากใครจะมาชกต่อยหรือทำร้ายเขา เขาทนได้ แต่เขาทนไม่ได้ที่ชายคนนั้นดูถูกแม่ของเขาด้วยวาจาที่แสนต่ำช้าอย่างนั้น

แม่อยู่กับเขาได้ 3 วันก็สิ้นใจ คุณหมอบอกกับเขาว่า “โรคมะเร็งกระดูกที่แม่คุณเป็น น่าจะเสียชีวิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่ที่ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อจนถึงตอนนี้ นี่ถือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ดังนั้น คุณไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก ท่านได้อยู่กับคุณนานแล้ว”
“แม่ของผมเป็นโรคมะเร็งกระดูก!”  เขาอุทานออกไปด้วยความตกใจ

เมื่อเขาแกะห่อผ้าของแม่ ข้างในมีเสื้อไหมพรมถูกพับไว้อย่างดีอยู่หลายผืน มีเสื้อตัวเล็กที่เขียนกำกับว่า “หลาน” อีกผืนหนึ่งเขียนว่า “ลูกสะใภ้” และอีกผืนหนึ่งที่เขียนว่า “ลูกแม่”
ที่ชายเสื้อของทุกตัว จะมีรูปดอกเหมยที่ปักด้วยด้ายไหมพรมสีแดงอยู่
ใต้ห่อผ้านั้น มีใบรับรองแพทย์ของแม่ที่เขียนว่า “มะเร็งกระดูก” วันเวลา เป็นช่วงปีที่ 2 ที่เขาติดคุก
เขายืนตัวสั่น เหมือนมีมีดปลายแหลมหลายเล่มเสียบแทงไปที่หัวใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
...................
ร้อยพันความดีงาม ความกตัญญูมาเป็นอันดับหนึ่ง
ความรักของพ่อแม่คือสัจธรรมอันแท้จริง ความกตัญญูของบุตรธิดาก็ควรเป็นสัจธรรมอันแท้จริงเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 วิธีการสร้าง Passive income ออนไลน์ ช่วยให้เราสร้างรายได้ แม้ยามหลับใหล


การมี Passive Income หรือ รายได้รายรับที่เข้ามาโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย คือ สิ่งที่ทุกคนต้องการ ใครๆก็อยากมีเงินหลั่งไหลเข้ามาแม้ในยามหลับ ที่จะทำให้มีกิน มีใช้ มีเวลามากมายในชีวิตที่จะทำสิ่งที่รักแทนที่จะหมดเวลาทั้งวันไปกับงานกองโต และนี่ก็คือหนึ่งในบทความที่จะช่วยแนะนำ 10 วิธีการสร้าง Passive income ออนไลน์ เพื่อให้คุณได้มีโอกาสเข้าใกล้อิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้

เราจะสร้าง Passive income ออนไลน์ได้อย่างไร

ธุรกิจใดๆ ก็ตามที่มีผู้คนจำนวนมากอยากเข้าร่วม ก็ย่อมมีปริมาณคู่แข่งมากขึ้นไปด้วย ความสำเร็จของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปร่วมวงด้วยหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเตรียมตัวพร้อมหรือยัง เพราะ Passive income ในช่วงแรกนั้นไม่ต่างจาก Active income เท่าใดนัก ต้องอาศัยการลงทุน ลงแรงเช่นกัน ซึ่งคนที่ไม่เข้าใจอาจท้อได้ เราจึงควรศึกษาให้ดี เพราะไม่มีธุรกิจไหนในโลกที่เราแค่นอนรับเงินสบายๆ โดยที่ไม่ได้ลงทุนหรือลงแรงอะไรเลย มิฉะนั้นคนก็คงแห่ไปทำกันหมดแล้ว

หลังจากที่เริ่มมีรายได้เข้ามาบ้าง อย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะเราควรใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้ในการตรวจสอบงานของเราและเริ่มลงทุนลงแรงต่อไปเพื่อให้งานของเราดียิ่งขึ้น เพราะการจะมี Passive income ไม่ใช่แค่การทำสิ่งใดให้เสร็จและไปลั้ลลาต่อได้ แต่มันคือการเปลี่ยนตัวเองจากคนที่ทำงานเพื่อเงินเป็น “นักลงทุน” เพราะการจะมี Passive income ให้คนอิจฉา เราจำเป็นต้องทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เช่น การลงทุนในด้านการเงิน และการลงแรง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการทำธุรกิจอสังหาฯ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะลงทุนก้อนใหญ่ แต่ในโลกของการสร้าง Passive income ออนไลน์นี้ เราอาจต้องใช้ทั้งเงินและระยะเวลาพอประมาณ

The Quest for Change

การสร้างรายได้ Passive ประกอบไปด้วย 3 ข้อ ดังนี้

  • ต้นแบบธุรกิจ
  • กลุ่ม Niche
  • ตลาดที่มุ่งหมาย

เมื่อเรารู้เป้าหมายของเราแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะนำเอาไอเดียธุรกิจมาปรับใช้ ทดสอบ และทำซ้ำจนกระทั่งเราประสบความสำเร็จกับรายได้ที่เราต้องการ

ไอเดียการสร้าง Passive income ทางอินเตอร์เน็ต

1. สร้าง Affiliate บล็อก

คือการสร้างบล็อกหรือเว็บไซต์สำหรับโปรโมทโปรแกรม Affiliate ที่ต้องการ ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายในการสร้างรายได้ passive income ออนไลน์

สร้าง Affiliate บล็อก

เราสามารถสมัครเป็น affiliate ของบริษัทชั้นนำที่ได้รับความนิยมสูง เช่น Clickbank, Amazon ฯลฯ โดยเราสามารถเลือกสินค้าหมวดที่เราสนใจเป็นพิเศษหรือหมวดใดก็ได้มาทำการโปรโมท เราควรมีความรู้เรื่องการทำวิจัยคีย์เวิร์ดเพื่อที่บล็อกของเราจะได้ทำอันดับได้ดียิ่งขึ้น เพราะคีย์เวิร์ดที่ดีและบทความที่ดีจะช่วยดึงทราฟฟิคให้เข้ามาในบล็อกของเรา เมื่อมีทราฟฟิคมากขึ้น โอกาสสร้างรายได้ก็มากยิ่งขึ้น

เราสามารถทำบล็อกมากที่สุดเท่าที่เราต้องการ โดยอาจเริ่มทำทีละบล็อกหรือทำทีละหลายบล็อก ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน ความถี่ของการอัพเดทบทความก็มีความสำคัญต่อการทำอันดับเว็บ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เราจะเริ่มมีรายได้เข้ามามากขึ้น และเราสามารถทำบล็อกได้มากเท่าที่เราต้องการ แล้วแต่ว่าเราต้องการรายได้มากน้อยแค่ไหน

2. ใช้หลัก Email marketing

วิธีนี้เป็นที่นิยมมายาวนานและยังใช้ได้ผลอยู่ โดยเริ่มแรกเราต้องรู้ว่าตลาดของเราอยู่ที่ไหน เพื่อที่เราจะได้จัดหาสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น สินค้า หนังสืออีบุ้ค ฯลฯ เพื่อมาเสนอให้คนที่เข้ามาเว็บไซต์ของเราฟรีๆ เพื่อแลกกับอีเมลของเขา และเราจะใช้อีเมลของคนเหล่านี้ในการทำการตลาดต่อไป

ใช้หลัก Email marketing

การใช้ Auto-responder หรือ ตัวตอบรับแบบอัตโนมัติ เช่น Aweber ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดี เพราะมันจะส่งลิงค์ดาวน์โหลดให้กับคนที่กดสมัครรับข่าวสารกับเว็บไซต์เราอย่างอัตโนมัติ โดยระยะเวลาในการสะสมอีเมล มาร์เกตติ้ง อาจจะใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน แล้วแต่ว่าเราสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามากด subscribe รับข่าวสารจากเราได้มากเท่าใด แต่หลังจากที่เรามีจำนวนอีเมลพอประมาณแล้ว เราสามารถใช้ประโยชน์จากอีเมลเหล่านี้ได้โดยการขายสินค้าหรือข้อเสนอให้พวกเขา โดยเทคนิคที่สำคัญคือ อย่าสักแต่ว่าขายมั่วไปหมด ให้เน้นเสนอสินค้าหรือบริการที่เราเชื่อมั่นและรู้ว่าดีจริงๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้สัมผัสได้ถึงความจริงใจของเรา เน้นน้อยๆ แต่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพดีกว่า วิธีนี้จะทำให้กลุ่มคนใน mailing list ของเราให้ความไว้วางใจและเชื่อถือเรา ซึ่งก็จะมีบางคนที่กดสั่งซื้อสินค้าของเรา และเราจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากตรงนี้

สิ่งที่ควรจำเอาไว้ให้ดีถ้าต้องการสร้าง mailing list ให้ได้มากและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ คือ อย่าเน้นขายสินค้าอย่างเดียว แต่จงเน้นการใส่ใจรักษาฐานอีเมลของพวกเขาเอาไว้ ด้วยการเขียนบทความหรือแนะนำข้อเสนอที่น่าจะมีประโยชน์กับพวกเขาให้ฟรีบ้าง เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้จะเอาจากเขาอย่างเดียว แต่เราต้องการจะให้สิ่งดีๆกับเขาด้วย เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกว่าเขาได้รับประโยชน์มากในการเป็นหนึ่งใน mailing list ของเราและไม่กดยกเลิกการติดตามข่าวสารจากเราไปเสียก่อน

3. สร้างกลุ่มสมาชิก

ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี เราจะสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามารวมกลุ่มกับเราได้ และถ้าข้อมูลที่เรามีโดดเด่นและมีประโยชน์มากๆ คนเหล่านี้มักเต็มใจอย่างยิ่งที่จะจ่ายเงินให้เราเพื่อข้อมูลเหล่านั้น

แหล่งข้อมูลหรือเว็บไซต์ของเราควรเน้นที่คุณภาพ มีประโยชน์และคุ้มค่าสำหรับเงินที่พวกเขาต้องจ่าย สำหรับคนที่เขียนไม่เก่งหรือไม่มีเวลาในการสร้างสรรค์บทความคุณภาพ ทางเลือกที่ดีคือการจ้างมืออาชีพให้จัดการส่วนนี้ เพราะถ้าเราอยากมี Passive income จริงๆ เราก็แค่ใช้เงินทำงานให้เราเท่านั้นเอง

ยกตัวอย่างบุคคลที่กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านจากวิธีนี้ คือ Timothy Sykes เขาสามารถทำรายได้ Passive income ถึงเดือนละ 125,000 เหรียญสหรัฐฯ จากการเก็บค่าสมาชิกในเว็บไซต์สอนการเทรดหุ้นของเขา

4. ขายสินค้าออนไลน์

การซื้อขายสินค้าออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายในประเทศหรือทั่วโลก การซื้อขายก็สามารถทำได้ง่ายดายเพียงแค่คลิก

เว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลกคือ Ebay.com ที่หลายคนสามารถสร้าง Passive income จนร่ำรวยมาได้นักต่อนัก มีคนไทยหลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการขายสินค้าผ่านอีเบย์ ซึ่งถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะขายอะไร ลองนำสิ่งของที่ไม่ใช้แล้วในบ้านมาขายดูสิ เพราะบางครั้ง ขยะสำหรับคนๆหนึ่งคือขุมทรัพย์สำหรับคนอีกคนหนึ่ง

ถ้าคุณไม่ชอบอีเบย์ การลงสินค้าขายใน Facebook หรือ Instagram ก็เป็นอีกหนทางที่ฟรีและได้รับความนิยมสูง มีผู้คนมากมายหลายล้านคนซื้อสินค้าผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และหลายคนก็สามารถร่ำรวยได้จากวิธีนี้ ดังนั้น มันก็คุ้มที่จะลองดูเหมือนกันนะ

5. เป็นพ่อค้าคนกลาง

ธุรกิจซื้อมาขายไปก็สามารถเป็นแหล่ง Passive Income ของเราได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรารู้จักสินค้าหรือบริการที่มีราคาต่ำ เช่น การเขียนหรืองานดีไซน์ หรือเรารู้จักผู้คนที่สามารถขายสินค้าหรือบริการให้เราได้ในราคาต่ำกว่าตลาดได้ เราก็สามารถนำข้อดีนี้มาเป็นแหล่งรายได้ของเราได้เช่นกัน โดยการนำสินค้าหรือบริการนั้นไปขายต่อทำกำไร ซึ่งเราจะสามารถใช้วิธีนี้เป็น Passive income ได้ เพราะเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย และบางคนที่จับตลาดถูกก็สามารถร่ำรวยได้เช่นกัน

6. หาสปอนเซอร์สำหรับบทความหรือคอลัมน์

วิธีนี้สามารถทำเงินได้ดีเช่นกัน เพราะว่าบางหมวดหมู่ของบล็อกหรือเว็บไซต์เป็นที่นิยมมากๆ ยกตัวอย่าง บล็อกเกอร์ในประเทศไทยที่มีรายได้จากการเขียนบล็อกโฆษณาสินค้าจากสปอนเซอร์ ซึ่งถ้ายิ่งบล็อกเกอร์ดังและมีคนติดตามเยอะเท่าไหร่ จำนวนเงินก็ยิ่งเยอะมากขึ้นเท่านั้น

สำหรับบล็อกเกอร์บางคนที่ไม่อยากเขียนอวยสินค้าเกินจริง ก็สามารถแปะป้ายโฆษณาหรือโลโก้สินค้าของสปอนเซอร์ไว้หน้าบทความก็ได้ เป็นอีกวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากแสดงความจริงใจต่อผู้เข้าชมบล็อก

7. ขายมันสมองของเรา

หมายถึงการนำเอาความรู้ที่เรามีมากลั่นกรองจนออกมาเป็นสินค้าหรือบริการ เช่น ขายอีบุ้คของตัวเอง เป็นต้น ซึ่งสินค้าแนวนี้ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากความรู้ของเรา นำมาเผยแพร่แก่คนที่เขาต้องการ ซึ่งวิธีนี้ดีมากๆตรงที่ขั้นแรก เราอาจต้องใช้เวลาและทุนทรัพย์สำหรับการสร้างสินค้าหรือบริการของเราขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง แต่หลังจากที่มันพร้อมจัดจำหน่ายแล้ว ข้อดีคือความสามารถขายได้ด้วยตัวเอง และรายได้ก็เป็นของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้สินค้าของเราให้เป็นแหล่ง Passive income ได้โดยการแบ่งเปอเซนต์ให้กับคนที่ขายสินค้าให้เรา เหมือนกับเรามีโปรแกรม Affiliate เป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าทุกอย่างไปได้สวย เราก็สามารถรับทรัพย์ได้แม้กระทั่งตอนหลับหรือกำลังพักผ่อนอยู่กับครอบครัว

8. ธุรกิจเครือข่าย หรือ MLM

หลายคนอาจแขยงและอคติกับธุรกิจเครือข่าย แต่ถ้าพูดกันตามความจริง นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถสร้าง Passive Income ได้เช่นกัน โดยใช้เงินลงทุนน้อย แต่ถ้าสำเร็จก็คุ้มค่ามากทีเดียว

คุณคงเคยอ่านหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ซึ่งผู้เขียนคือ Robert Kiyosaki ได้กล่าวไว้ว่าธุรกิจเครือข่ายสามารถทำให้เราร่ำรวยและมีรายได้ Passive Income ได้จริงๆ แต่ในปัจจุบันที่มีธุรกิจแนวนี้มาก และบางบริษัทก็เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่และผิดกฎหมาย เราจึงควรศึกษาแผนธุรกิจและหลักการจ่ายเงินให้ดีก่อนตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย

9. ขายโฆษณา

วิธีนี้ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับการสร้าง Passive income ออนไลน์ ซึ่งเว็บไซต์ควรมีคุณภาพและสามารถดึงทราฟฟิคได้อย่างล้นหลามโดยที่เราไม่จำเป็นต้องยุ่งกับมันมาก มันอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างเว็บไซต์คุณภาพแนวนี้ แต่มันก็สามารถเป็นไปได้

ในระยะแรกเริ่ม เราอาจทำเงินไม่ได้เลย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราเริ่มทำไปเรื่อยๆ รายได้จะเริ่มหลั่งไหลมา จนกระทั่งเราสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้จากเว็บไซต์ของเรา

10. บริการกู้ยืมเงินออนไลน์

วิธีนี้มีความเสี่ยงและผลตอบแทนงาม การปล่อยเงินกู้ทางอินเตอร์เน็ตเป็นอีกวิธีที่ช่วยสร้างรายได้ Passive โดยเน้นการปล่อยเงินกู้แก่ผู้ที่ไม่มีเครดิต

เราเปรียบวิธีนี้ได้เหมือนการลงทุนอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใดนัก เพราะมีความเสี่ยง อาจผิดกฎหมาย หรือกลัวโดนโกง แต่ถ้าเราศึกษาดีๆและทำให้ถูกต้องเป็นกิจจะลักษณะที่สุด เราก็สามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้อย่างมากทีเดียว

นี่คือ 10 วิธีการสร้างรายได้ passive income ทางอินเตอร์เน็ตที่น่าสนใจและทำรายได้ได้จริง บางคนก็ทำรายได้ได้มาก บางคนก็ได้น้อย ซึ่งบทความนี้เป็นแค่แนวทางเท่านั้น ส่วนวิธีการทำให้สำเร็จนั้นทุกคนก็ต้องศึกษาและทดลองทำเอาเอง

http://www.pocketidea.com/business_sales-and-marketing/10-วิธีการสร้าง-passive-income/

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เงินทองของส่วนตัว ทรัพยากรของส่วนรวม นะจ๊ะ


"Money is yours but resources belong to the society"

"‪#‎เงินทองเป็นของคุณก็จริงแต่ทรัพยากรนั้นเป็นสมบัติของส่วนรวมนะ‬... "

(เรื่องดีๆ จากเมล์ ไม่ทราบชื่อคนแต่ง )..

เยอรมันเป็นประเทศซึ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไปไกลแล้ว ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำอย่างเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีเมนส์ เป็นต้น ปั๊มพ์ที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตขึ้นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของประเทศนี้

ในประเทศซึ่งมีการพัฒนาไปไกลเช่นนี้ คนส่วนใหญ่คงคิดว่า...

ประชาชนชาวเยอรมันคงใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย อย่างน้อยนั่นเป็นความรู้สึกของผม ก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานที่นั่น...เมื่อผมเดินทางถึงฮัมบรูก เพื่อนร่วมชาติซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นจัดให้มีการเลี้ยงต้อนรับผมที่ภัตตาคาร

ขณะที่เราเดินเข้าไปในภัตตาคาร เราพบว่าโต๊ะจำนวนมากว่างอยู่ มีโต๊ะหนึ่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ บนโต๊ะของทั้งคู่ มีอาหารอยู่เพียงสองจาน และเบียร์อีกสองกระป๋อง ผมคิดสงสัยอยู่ในใจว่า อาหารมื้อง่ายๆ อย่างนี้ จะทำให้เกิดบรรยากาศโรแมนติคขึ้นได้อย่างไร และสาวน้อยคนนี้จะเลิกคบกับไอ้หนุ่มขี้เหนียวคนนั้นหรือไม่ มีหญิงสูงอายุอีกสองสามคนนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง เมื่อคนเสิร์ฟนำอาหารมาบริการ เขาจะทำการแบ่งอาหารให้กับลูกค้าเหล่านั้น และทุกคนจะกินอาหารจนหมดสิ้น ไม่มีเศษเหลืออยู่บนจานให้เห็น

พวกเราไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนเหล่านั้นมากนัก เพราะเรากำลังนั่งรออาหารหลายจานที่ได้สั่งไปแล้วด้วยความหิวโหย อาหารเสิร์ฟออกได้รวดเร็วดี คงเป็นเพราะภัตตาคารมีแขกน้อย เราใช้เวลาในการกินอาหารเย็นมื้อนั้นไม่นาน เพราะเรายังมีกิจกรรมอื่นรออยู่ ขณะที่เราลุกออกจากโต๊ะ ยังมีอาหารเหลือคาจานอยู่อีกราวหนึ่งในสาม

ขณะที่เดินออกจากภัตตาคาร เราได้ยินเสียงใครร้องทักให้หยุด เราหันมอง เห็นเป็นหญิงสูงอายุกลุ่มนั้นกำลังพูดกับเจ้าของภัตตาคารด้วยภาษาเยอรมัน เมื่อเขาเริ่มพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ เราจึงเข้าใจที่เขาไม่พอใจการกินทิ้งกินขว้างของพวกเรา เราออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เขาเข้ามายุ่มย่ามเกินกว่าเหตุ

"พวกเราจ่ายค่าอาหารแล้ว มันไม่ใช่กงการอะไรของพวกคุณสักหน่อย"

เพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อ กุย ( Gui) ตอกหน้าหญิงสูงอายุเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นโกรธกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นหยิบมือถือขึ้นมา ต่อสายถึงใครบางคน ไม่นานช้า ชายในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่องค์กรสวัสดิการสังคม (Social Security organization) ก็มาปรากฏกาย ภายหลังจากฟังความจนรู้เรื่องว่าอะไรขึ้น

เขาก็สั่งปรับพวกเราเป็นเงิน 50 มาร์ค พวกเราทุกคนต่างเงียบกริบ เพื่อนซึ่งพักอยู่ในเมืองนี้หยิบเงิน 50 มาร์คส่งให้ไปพร้อมกล่าวขอโทษขอโพยซ้ำๆ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวกับเรา ด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดว่า "สั่งอาหารเท่าที่พวกคุณจะกินได้หมด เงินทองเป็นของคุณก็จริง แต่ทรัพยากรเป็นสมบัติส่วนรวม มีคนอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่อดอยากหิวโหย พวกคุณไม่มีเหตุผล ที่จะใช้ทรัพยากรอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ " 

สีหน้าพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดง เราเห็นด้วยกับคำพูดของเขาหมดหัวใจ ทัศนคติของผู้คนในประเทศร่ำรวยแห่งนี้ทำเอาพวกเราอับอายขายขี้หน้า เราต้องทบทวนพิจารณาตัวเองกันจริงๆ จังๆ ในประเด็นนี้ พวกเรามาจากประเทศด้อยพัฒนาที่มีทรัพยากรไม่อุดมสมบูรณ์นัก แต่เพื่อปกปิดปมด้อยเหล่านี้ เราจึงสั่งอาหารมามากมาย และจงใจให้เหลือในยามจัดเลี้ยงผู้อื่น บทเรียนนี้สอนเราให้คิดอย่างจริงจังเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยไม่ดีเหล่านี้เสีย เพื่อนผู้จ่ายค่าปรับถ่ายสำเนาใบเสร็จค่าปรับแล้วมอบให้กับพวกเราทุกคนพวกเราทุกคนรับเก็บไว้โดยดุษฎี และนำแปะไว้ข้างฝา เพื่อเตือนใจตลอดไปว่า เราจะไม่ทำตัวเป็น 'คางคกขึ้นวอ' อีกอย่างเด็ดขาด...

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรารับขยะใจหรือเปล่า


ลองอ่านกันนะครับ บทความยาวแต่ดีมากเลย ผู้ชายคนนึง
พอตื่นขึ้นมา เขาก็เปิดถังขยะ เอาขยะมาถูๆ ตัว
เท่านั้นยังไม่พอ เขาเดินตรงไปที่ท่อระบายน้ำ
เปิดฝาท่อ แล้วตักเอาน้ำเน่าในนั้นมาอาบ
เสร็จแล้วเขาก็ออกไปทำงาน

กลางวันเขารู้สึกตัวแห้งๆ ยังไม่รู้
ก็เลยหาน้ำถูพื้นของแม่บ้านมาราดตัวให้ชุ่ม
ตกเย็นกลับมาบ้าน
พอใกล้จะนอน เขายังเอาน้ำเน่าที่เหลือเมื่อเช้ามารดตัวอีกครั้ง...
ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับความสงสัยทุกคืนว่า
"เมื่อไหร่ตัวข้าจะหอมซะทีวะ?"

ครับ! เป็นใครก็ต้องคิดว่าไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า

ชายคนที่ผมพูดถึงไม่มีตัวตนจริงๆ หรอกครับ
แต่ถ้าผมจะบอกว่า
เราหลายคนอาจเผลอทำพฤติกรรมคล้ายๆ ผู้ชายคนนี้โดยไม่รู้ตัว
อ่ะจิงดิ?

เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดดูข่าวร้ายๆ ลบๆ ในทีวี
นั่งจิบกาแฟหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดข่าวอาชญากรรม
ขึ้นรถเปิดวิทยุ คนจัดรายการประโคมข่าวเศรษฐกิจแย่ๆ ให้ฟัง
กลางวันเรานั่งนินทาเจ้านายกับเพื่อนร่วมงาน

กลับบ้านมา เราก็หลับไปพร้อมกับละครตบตีกัน
ที่วันๆ ตัวละครไม่ต้องทำงาน คิดแต่เรื่องแย่งสามีชาวบ้าน
แล้วเราก็ได้นอนสงสัยว่า
"ทำไมไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างวะ?"

ครับ! ก็ไม่รู้สินะ ชีวิตมันจะดีได้ไง
ในเมื่อเราเอาแต่ของแย่ๆ พลังงานลบๆ เข้าไปในความคิด

จากประสบการณ์ตรงของผม
"ชั่วโมงแรก" กับ "ชั่วโมงสุดท้าย" ของวันนั้น
เป็นอะไรที่สำคัญมาก
ชั่วโมงแรกจะเป็นดังหางเสือที่กำหนดอารมณ์ของวันนั้น
ชั่วโมงสุดท้ายจะเป็นตัวสรุปเรื่องราวของทั้งวันนั้น

ถ้าเราใช้กาแฟปลุกสมอง
ถ้าเราใช้อาหารปลุกร่างกาย
เราก็ต้องใช้ "เรื่องราวดีๆ" ปลุกพลังใจครับ

ซิก ซิกล่าร์ ปรมาจารย์ด้านความสำเร็จระดับโลก
พูดเรื่องนี้ไว้ได้ดีมากครับ
เขาถามว่า "คุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้ เดินเข้ามาในบ้าน
แล้วทิ้งขยะถุงใหญ่ไว้ในห้องนั่งเล่นในบ้านเรามั้ย?"

แน่นอนว่าไม่มีใครยอม
แล้ว ซิก ซิกล่าร์ ก็ปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า
"ถ้าคุณไม่ยอมให้ใครเอาขยะมาทิ้งในบ้าน
แล้วเรื่องอะไรคุณจะยอมให้ใครก็ไม่รู้เอาขยะมาทิ้งในจิตใจ?"

อ่านหนังสือดีๆ สักนิดยามเช้า
ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อย
แล้วก้าวออกจากบ้านพร้อมคำถามดีๆ ที่จะเป็นหางเสือของวันนี้ว่า
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้างนะ?"

ถึงที่ทำงาน อยู่ให้ห่างจากคนที่ชอบจับกลุ่มกันบ่นๆๆ
ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพราะเรามาทำงาน ไม่ได้มาเล่น
กลับบ้านมาหาอะไรเบาๆ ประเทืองปัญญา ปิดท้ายวัน
แล้วหลับไปพร้อมกับเรื่องราวดีๆ ในวันนี้ที่เราต้องขอบคุณ

อยากมีสุขภาพดี
เรายังพิถีพิถันเลือกอาหารที่จะเอามาใส่ปาก
อยากมีชีวิตที่ดี
เราก็ต้องพิถีพิถันเลือกสิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในความคิดของเรา

ลองทำดูครับ
แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนแบบที่จำตัวเองในอดีตไม่ได้เลย
เอาล่ะ เริ่มด้วยคำถามนี้เลย!
"วันนี้จะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับฉันบ้าง"

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ครึ่งชีวิตกับแนวคิด 10 เรื่องของ Steve Jobs


1.เราไม่เสียใจกับเรื่องที่ได้ทำ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ตาม แต่เราจะเสียใจกับเรื่องที่ไม่ได้ทำมากกว่า

2.เราเห็นโลกในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่แบบที่มันเป็น : คนมองโลกบวก จะเห็นทุกอย่างเป็นโอกาส ชีวิตจะเต็มไปด้วยความสุข มันเป็นแบบนั้นจริงๆ


3.เราต้องทุ่มพลังไปกับเรื่องที่เราถนัดจริงๆ ให้เราเป็น expert ในเรื่องนั้น แล้วงานที่ออกมาจะชั้นหนึ่ง

4.อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ผลของมันมักจะดีเสมอ ถึงตอนแรกๆ จะดูไม่ออกก็ตาม


5.ทุกคำล้อเล่นจากเพื่อน มีความจริงครึ่งนึง เราพึ่งมาเห็นกันตอนโตๆนี่เอง

6.เวลาคือ commodity ที่มีค่ามากที่สุด


7.พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ วินัยในการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งที่แยกระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลว

8.การลงทุนในครอบครัวเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด : พ่อแม่ไม่อยู่ให้ดูแลตลอดไป ลูกก็ไม่ไร้เดียงสาตลอดไป


9.สะสมเรื่องราวให้มากกว่าสิ่งของ : เมื่อเวลายิ่งผ่านไปสิ่งของจะมีค่ากับเราน้อยลง แต่เรื่องราวจะมีค่ากับเรามากขึ้น

10.เลือกคนที่จะอยู่รอบตัวเราให้ดี เพราะยิ่งนานวันนิสัยของเราและคนเหล่านี้จะค่อยๆ กลมกลืนเข้าหากัน


วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โลกของ "ความเป็นเพื่อน"


ครั้งหนึ่ง ผมเห็นเด็ก ตอนนั้นน่าจะอายุราว 6-7 ขวบกำลังเล่นสวนน้ำบนหลังคาห้างสรรพสินค้าใหญ่ กำลังวิ่งเล่นน้ำในสระน้ำตื้นๆ

ตอนแรกเห็นแกเล่นอยู่คนเดียว พอสักพักมีเด็กวัยเดียวกันที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเข้ามาเล่นด้วย จากหนึ่งคน เป็นสอง เป็นสาม...

ไม่ช้าเป็นกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะให้กันสนุกสนาน พากันเล่นโน่น เล่นนี่ด้วยกัน !!!

ความเป็นเพื่อนของเด็กเกิดง่ายมาก แค่นำตัวเองเข้ามาร่วม กลุ่มก็เปิดรับ เรียบง่าย ไม่มีอื่นใด...

นึกถึงสมัยเรียนมัธยม วัยที่โลกนี้มีแต่เพื่อนเท่านั้นที่สำคัญที่สุด...

ไม่เรียบง่ายเหมือนสมัยเด็กเล็กๆ แต่ไม่มีอะไรซับซ้อน ขอเพียงมีเวลาให้กัน แค่นั้นทุกอย่างจบ อาจจะทะเลาะกันบ้าง แต่เมื่อหายโกรธก็กลับมา กอดคอเที่ยวเล่นกันได้เหมือนเดิม รักกันเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่มากกว่าความเป็นเพื่อนอีกแล้ว !!!

ยิ่งโตขึ้นความรู้สึกแบบนี้ยิ่งค่อยๆเลือนหายไป เริ่มที่จะเลือกคนที่จะมาเป็นเพื่อนมากขึ้น ตัดขาดเพื่อนเก่าบางคน มองหาใครที่จะมาเป็นเพื่อนใหม่ มีกรอบที่จะคัดสรรคนมาเป็นเพื่อนมากขึ้น อย่างน้อยมีสไตล์ชีวิตคล้ายๆกัน มีเรื่องราวที่สนอกสนใจเหมือนๆกัน หรือไม่บางคนถึงขั้นต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น !!!

โลกของเพื่อนแคบลงเรื่อยๆ มองคนที่มีสไตล์ชีวิตแตกต่าง หรือไม่มีประโยชน์ร่วม ไร้สาระ เสียเวลาที่จะคบหา...
โกรธใครสักคนก็หัวปักหัวปำ ชาตินี้ยากจะคืนดีกันได้ หรือหากเป็นเรื่องผลประโยชน์ขัดกันอาจถึงขั้นต้องล้างผลาญแตกหัก ดับดิ้นกันไปข้าง !!!

ความเป็นเพื่อนที่เรียบง่ายค่อยๆจางหายไป...

แต่เมื่อวันที่ชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยชรา เหมือนความเรียบง่ายนั้นจะกลับมาเอง...

เราจะพบเห็นเสมอว่าคนแก่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แค่นั่งกินกาแฟร้านเดียวกัน มีเรื่องคุยกันได้ครึ่งค่อนวัน เล่าถึงวันเก่าๆ เรื่องราวของลูกหลานแลกเปลี่ยนกัน...

ในสวนสาธารณะที่ไปเดินออกกำลังกาย ผู้สูงอายุต่างพูดคุยกัน ช่วยเหลือเอื้ออาทรกันโดยไม่ถือชั้นวรรณะ เอ็งจนข้ารวย ข้าเคยมีตำแหน่งใหญ่โต ส่วนเอ็งแค่คนหาเช้ากินค่ำ ไม่เอาอะไรแบบนั้นมาปิดกั้นความสัมพันธุ์อีกแล้ว !!!
เมื่อไม่มีกรอบของชีวิตเสียแล้ว ความเป็นเพื่อนก็เกิดขึ้นง่าย...

อาจจะเป็นความไม่มีกรอบที่เกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของเด็กๆ หรือกรอบถูกสลัดไปจากความเจนโลกเจนชีวิตของคนแก่...

มิตรภาพที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่มากเรื่องมากความ เกิดจากชีวิตที่ไม่มีกรอบขังตัวเองไว้ให้ห่างจากคนอื่น
ในหลักสูตรอบรมดังๆ ที่นิยมเข้าเรียนกันในปัจจุบัน จนมีการเปิดสอนกันมากมายเพื่อให้หน่วยงาน หรือบริษัทตัวเองเป็นสถาบันที่โด่งดัง ได้รับกาายอมรับนับถือ...

คอร์สแรกของการเข้าอบรวมด้วยกัน คือ "ละลายพฤติกรรม"

เอาคนที่หลากหลาย เป็นใหญ่เป็นโตจากต่างที่ต่างทาง มาเล่นเฮฮา บ้างครั้งบ้าๆ บอๆ ร่วมกัน เรียกว่า "ละลายพฤติกรรม"

คำที่มักใช้เสมอในคอร์สนี้คือ "ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน เมื่อเดินเข้ามาในนี้ จงถอดหมวกวางไว้หน้าประตู เข้ามาแล้วทุกคนเท่าเทียม ไม่มีใครเล็ก ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร !!!"

ว่าไปกิจกรรมทั้งหมดที่ทำในคอร์สนี้คือการทลายกรอบที่ทุกคนตีไว้ขังตัวเอง ให้เปิดใจออกมาต้อนรับคนอื่นเป็นเพื่อนง่ายขึ้น...

เล่นสนุกสนานเฮฮาร่วมกันได้ !!!    เหมือนเด็กๆ ถอดฟอร์มตัวเองทิ้ง

ใครถอดได้ก่อน ได้เร็ว จะกลายเป็นผู้นำกิจกรรมของกลุ่มไปโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าใหญ่โต ต่ำต้อยมาจากไหน หากยังถอดฟอร์มของตัวเองทิ้งไม่ได้ จะกลายเป็นคนที่เงอะงะตามเพื่อนไม่ทันเหมือนๆ กัน

ด้วยคอร์สละลายพฤติกรรมทำให้เปิดใจต้อนรับคนอื่นได้ง่ายๆเหมือนที่เคยมี ตอนเป็นเด็กเล็กๆ

ถ้าหลักสูตรไหน หรือผู้เรียนรุ่นใหญ่สามารถแกะกรอบของเพื่อนร่วมรุ่นได้มาก ถอดฟอร์มทิ้งเมื่ออยู่กับเพื่อนได้เสมอ...
หลักสูตรนั้น หรือรุ่นนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ !!!

ว่าไปแล้วความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของหลักสูตรแบบนี้ ที่สุดแล้วแทบไม่ได้อยู่ที่วิชาความรู้ที่เอามาอบรม แต่อยู่ทำให้คนในหลักสูตร เพื่อนร่วมรุ่น คบหาสมาคม ช่วยเหลือกันและกัน โดยไม่ถือยศถาบรรดาศักดิ์ ฐานะได้นานแค่ไหนมากกว่า...
ความสนุกสนานเฮฮากับเพื่อนร่วมรุ่นได้ เป็นสิ่งที่มีค่า เพราะเราได้ชีวิตในวัยเด็กที่เรียบง่ายกลับคืนมา...

ในรุ่นเพื่อนสมัยมัธยมบางกลุ่มก็เป็นอย่างนั้น แยกย้ายกันไปสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อเสียง บางคนสำเร็จ หลายคนล้มเหลว บางคนชีวิตเหมือนวันเก่าๆ !!!

ในงานเลี้ยงรุ่นชั้นมัธยม หากกลุ่มไหน เอาแต่ยกย่องชมเชยเพื่อนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ร่ำรวย มีหน้ามีตา ละเลยเพื่อนที่ยังเดินไปไม่ถึงฝัน จะเป็นงานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนมาร่วมน้อยลงไปเรื่อยๆ ...

แต่หากกลุ่มไหน ให้เกียรติเพื่อนเสมอกัน เพื่อนผู้ประสบความสำเร็จมีวุฒิภาวะพอ ที่จะรู้ว่าต้องถอดหมวกแห่งความยิ่งใหญ่ ทิ้งไปก่อนเข้างาน มาในฐานะ "เพื่อน" ที่เสมอๆ กัน !!!

งานเลี้ยงเพื่อนรุ่นนั้นยิ่งนานยิ่งมีเสน่ห์ เพื่อนที่จะเข้าร่วมยิ่งมากขึ้น

ทำตัวเหมือนเด็กที่ชวนกันวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ หรือเหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ชวนกันคุยเรื่องราวเก่าๆในร้านกาแฟได้มากเท่าไร !!!

ถอดกรอบที่ตัวเองตีไว้ เปิดใจรับเพื่อน โดยไม่นึกถึงประโยชน์ตัวเองได้มากเท่าไร !!!  ชีวิตในเวลาที่อยู่กับเพื่อนจะสนุกสนานเฮฮาได้มากเท่านั้น

ต่างกันที่ "ทำได้หรือไม่ แค่ไหน"