หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องปริญญา 2 ใบ


เหตุการณ์จริง ที่เตือนสติ แนะนำให้อ่านครับ ใช้เวลาไม่กี่นาที คุณได้กำไรชีวิตมากมายเลย อย่าลืมแชร์สิ่งดีๆเหล่านี้ให้แก่คนที่คุณรักนะครับ...ขอบคุณครับ (^_^)~

ที่เมืองไทยหลายปีก่อนแล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง 

วันหนึ่งแกพักผ่อน หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลูกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย 

จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้ แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

 ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า พ่อผมเคยบอกว่า ... เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ 

1...ปริญญาใบที่หนึ่ง .... "ปริญญาวิชาชีพ" เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ 

2...แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" .. ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้ แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย ...นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ... 

ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์ มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต หนึ่งปริญญาวิชาชีพ เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี 

เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า.. ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต.. 

สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ และก็ชีวิตของเรา หากบุญกุศลอันใดจะเกิดได้จากการเผยแพร่เรื่องราว ผู้บันทึกก็ขอให้กุศลผลบุญนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเพื่อปัญญาของเพื่อนผู้ร่วมวัฏฏะทุกท่าน และขอให้ ดร.อภิวัฒน์ ไม่ว่าจะไปอยู่ภพไหนหนใดก็ขอให้มีปัญญาเท่าทันต้นเหตุแห่งทุกข์เช่นที่ท่าน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเตือนสติผู้อื่นไว้... ...

ขอขอบพระคุณในข้อคิดดีดี..

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาของเจ้านกน้อย.....!!!!

นกแก้วตัวน้อยตัวหนึ่งกำลังหงุดหงิดเป็นอย่างมากกับจะงอยปากของตัวเอง

"แม่ฮะ ผมเกลียดจะงอยปากโง่ๆ ของตัวเองจัง"

"ทำไมล่ะลูก?" แม่ถาม

"ก็จะงอยปากนกแก้วอย่างเราไม่เห็นสวยเหมือนพวกนกช้อนหอย นกกระทุง นกเหยี่ยวหรือนกกระจิบเลยฮะ"

"ก็จริงอยู่นะลูก แต่แม่เชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลของมันที่เป็นแบบนั้น ถ้าหนูอยากรู้คำตอบลองไปปรึกษาคุณลุงคอว์สิจ๊ะ คุณลุงมีอายุมากที่สุดและฉลาดที่สุดในเขตของพวกเราเลยนะ"

เจ้านกแก้วตัวน้อยไม่รอช้า มันรีบบินตรงขึ้นไปหาคุณลุงคอว์ของมันทันที

"คุณลุงฮะ ผมมีปัญหามาปรึกษาฮะ ผมไม่ชอบจะงอยปากของตัวเองเลย มันสวยสู้นกอื่นๆ ไม่ได้เลยฮะ"

ลุงคอว์เงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบกลับมาว่า

"จริงอย่างเจ้าพูดนั่นแหละ จะงอยของพวกเรามันสวยสู้ใครไม่ได้แต่บอกลุงหน่อยซิว่าเธอเคยอยากกินหนอนบ้างไหม"

"อึ๋ยยยย ไม่ฮะ ผมเกลียดหนอน" นกแก้วน้อยทำท่าขยะแขยง

"นั่นอาหารโปรดของนกช้อนหอยเขาเลยนะ.. แล้วเธอคิดจะกินปลาบ้างหรือเปล่าล่ะ"

"ถ้าเลือกได้ ผมจะไม่กินฮะเพราะมันเป็นการทำร้ายเพื่อนๆ ของผม"

"นั่นก็ของโปรดนกกระทุง แล้วเธอพอจะกินกระต่ายหรือหนูเป็นบ้างไหมล่ะ" ลุงคอว์ถามต่อ

"ไม่ฮะ ผมไม่มีวันทำร้ายเพื่อนๆ ของผมแน่นอน"

"นกเหยี่ยวเห็นสัตว์พวกนั้นไม่ได้เลยนะ พวกนกเหยี่ยวชอบมาก.. แล้วเมล็ดพืชเล็กๆ อย่างทานตะวันล่ะ"

"นั่นของโปรดของผมเลยฮะลุง" พูดแล้วเจ้านกแก้วตัวน้อยก็พลันหิวขึ้นมาทันที

"งั้นเอานี่ไปกิน ลุงพอจะมีเมล็ดทานตะวันเหลืออยู่บ้าง" ขณะที่เจ้านกแก้วตัวน้อยกำลังแทะเมล็ดทานตะวันอย่างมีความสุข ลุงคอว์ก็พูดขึ้นว่า

"ลองคิดดู ถ้าเธอมีจะงอยแบบนกช้อนหอย นกกระทุง หรือนกเหยี่ยวพวกนั้น เธอจะมีโอกาสได้แทะเมล็ดทานตะวันของโปรดเธอไหม"

นั่นแหละเจ้าหนูน้อย ที่ลุงอยากจะบอกก็คือ เราทุกคนล้วนถูกออกแบบมาให้เป็นตัวของตัวเอง ทั้งความถนัด ทักษะหรือความสามารถบางอย่าง อย่ามัวไปอิจฉาคนอื่นอยู่เลย เธอจงมั่นใจในสิ่งที่ตนเองเป็น ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี พยายามค้นหาให้ได้ว่าอะไรที่เธอเก่ง อะไรที่เธอมีความสามารถและชอบทำมากที่สุด

จำไว้นะเจ้าหนู คนทุกคนถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะ อย่าได้กังวลว่าทำไมเราถึงไม่เก่งเรื่องโน้นเรื่องนี้เหมือนคนอื่น เพราะคนอื่นก็มีบางอย่างที่ไม่เก่งเท่าเราเช่นกัน

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตจริงกับยางลบ

ชีวิตจริงกับยางลบ เอาไว้สอนลูกกันนะครับ

สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่าเวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่

รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ

เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ

และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง

เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด

ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ

การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง

ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้

ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง

เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แก้เชือกไม่ได้ ก็แก้ปัญหาไม่เป็น

ตอนเด็ก ๆ  ฉันเคยหัวเสียกับเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง  ยิ่งแก้ยิ่งอารมณ์เสีย ฉันร้องห่มร้องไห้ โทษดินฟ้าอากาศ แล้วคิดว่าทำไมฉันต้องทนกับเจ้าเชือกไร้สาระพวกนี้ด้วย เลยใช้มีดตัด ๆ ตัดจนเชือกขาดเป็นชิ้น ๆ (สะใจจริง)

พอหายโมโห ฉันนั่งมองกองเชือกขาด ๆ  ที่ไร้ประโยชน์  (โถช่างน่าสงสารจริง ๆ ทั้งตัวเองและเชือก)

แต่แล้วครั้งต่อมา พอเชือกพันกันอีก ฉันก็ใช้มีดตัดมันอีกอย่างไม่คิดอะไร

จนวันหนึ่ง...ฉันเห็นแม่นั่งแก้เชือก ที่พันกันกองโต มันยุ่งชนิดที่ว่า ชาตินี้คงไม่สามารถกลับมาเป็นเส้นตรงได้เหมือนเดิม

ฉันเห็นแม่นั่งแก้ทุกวัน วันละนิดละหน่อย พอเบื่อก็ไปทำอย่างอื่น ทิ้งกองเชือกกองไว้ แล้วก็กลับมานั่งแก้อีก จนฉันรำคาญ  และคิดว่าทำไมแม่ต้องทนกับกองเชือกไร้สาระพวกนี้ เลยบอกแม่ว่าเอามีดตัดมันออกเถอะ  นั่นแหละฉันถึงได้เข้าใจเมื่อแม่ตอบว่า...

“เวลาที่เชือกพันกัน เขาห้ามใช้มีดตัด ต้องแก้ออกให้ได้ เพราะเชือกเป็นเส้นเดียวต่อให้พันกันยุ่งแค่ไหนก็แก้ได้ ถ้าแค่เชือกพันกันแค่นี้ลูกแก้ไม่ได้ แล้วต่อไปจะแก้ปัญหาอะไรในชีวิตได้ ลูกก็จะแก้ปัญหาสุ่ม ๆ เหมือนที่ใช้มีดตัดเชือกนั่นแหละ ถ้าลูกไม่อดทนแก้เชือกด้วยมือตัวเอง ค่อย ๆ แกะวันละนิดละหน่อย แค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้ ไม่มีอะไรยากไปกว่าความอดทนของคนหรอก”
หลังจากนั้นอีก 3 วัน ฉันเห็นขดเชือกเส้นสวยเป็นระเบียบแขวนอยู่ ฉันมองอย่างทึ่ง แม่ยิ้มอย่างภูมิใจ

เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้ว่า ปัญหาของคนเรา จริง ๆ แล้วคือบทเรียนที่มีคุณค่า

เพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้างเป็นเรื่องปกติ จะได้ “ล้มเป็นลุกเป็น”
โลกสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ให้เราผ่านไปให้ได้ ฉันไม่เคยซ้ำเติมคนที่ฆ่าตัวตายว่าเขาโง่ เพียงแต่เขาก้าวผ่านปัญหาบนโลกไปไม่ได้ เขาเลยเลือกที่จะหนีไปจากโลกนี้แทน ด้วยความขาดสติ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

พอวันวัยผ่านมา ตอนนี้ฉันได้รู้ว่า ชีวิตคนเราผิดพลาดได้ ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย ไม่ว่าจะเหนื่อยจะท้อแค่ไหน อย่าหนีปัญหาไปเฉย ๆ  แค่บอกปัญหาว่าพักสักเดี๋ยว  แล้วค่อยมาเจอกันใหม่

ประสบการ์ณที่ดีจะทำให้เราเข้มแข็ง ประสบการ์ณที่ไม่ดีจะทำให้เราเข้มแข็งยิ่งกว่า

"จงเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดแล้วคุณจะเก่งขึ้น"

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คนรุ่นใหม่ทำอะไรให้แก่โลกบ้าง

มีเพื่อนฝูงส่งไลน์มาให้อ่าน พร้อมคลิปวีดิโอจาก Youku.com ของจีนที่กำลังถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียจีน เป็นสุนทรพจน์ของ นักศึกษาสาว คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เข้าประกวดสุนทรพจน์ในรายการทีวี โดย ให้พูดสั้นๆ เพียง 3 นาที ในหัวข้อใหญ่โตว่า “คนรุ่นใหม่ทำอะไรให้แก่โลกบ้าง”  คลิปนี้ อาจารย์อาร์ม ตั้งนิรันดร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กำลังทำปริญญาเอกทางกฎหมายอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แปลเป็นไทย ลองอ่านกันดูนะครับ 

“ฉันเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ทุกคนของฉันเคยพูดว่า “กฎหมายบัญญัติไว้ว่าอย่างนี้ แต่ในทางปฏิบัติในชีวิตความเป็นจริง...” ชีวิตความเป็นจริง เป็นโลกที่น่าพิศวง ในชีวิตความเป็นจริง คนซื่อๆ ที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด มักใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ส่วนคนที่มากเล่ห์เพทุบาย สุดท้ายกลับมีทั้งชื่อเสียง มีลาภสมบัติ  เพราะฉะนั้น เด็กไร้เดียงสาอย่างฉัน จึงมักมีรุ่นพี่ที่มากประสบการณ์มาตบไหล่ฉันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู และบอกฉันว่า “เด็กน้อย รอจนเธอเข้าใจโลกเสียก่อน”

สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ คนหนุ่มสาวอย่างฉัน สามารถทำอะไรให้กับโลกได้บ้าง  วันหนึ่งข้างหน้า ผู้ว่าการแบงก์ชาติ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 นักธุรกิจชั้นนำ จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 แม้กระทั่ง ประธานาธิบดี ก็จะเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 ในวันที่สังคมเป็นที่ยืนของคนที่เกิดหลังปี 1990 ฉันอยากถามเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนว่า พวกเราอยากให้สังคมเป็นเช่นไร ฉันรู้ดีว่า ไม่ใช่ทุกคนสามารถก้าวขึ้นมาฝ่าฟันพายุและคลื่นลม จนเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศชาติ ฉันและคุณ ล้วนเป็นคนเล็กๆธรรมดาๆ ภายในกลไกเครื่องจักรสังคมอันมหึมา พวกเราเป็นเพียงหมุดตะปูตัวเล็กๆ 

สมัยเรียนหนังสือ พ่อแม่พูดทุกวันว่า ให้ตั้งใจเรียนเป็นอันดับแรก อย่าเพิ่งสนใจอย่างอื่น พอถึงวันจบการศึกษา พวกเราก็เที่ยวเอาจดหมายสมัครงานหว่านไปทั่ว ด้วยความหวังว่าจะมีบริษัทรับเข้าทำงาน ผ่านไปไม่กี่ปี ก็ถูกกดดันให้แต่งงาน ซื้อบ้าน แล้วก็ใช้เวลาอีกประมาณ 20 ปีแรกของชีวิตการทำงาน ช่วงที่มีกำลังเต็มที่ หาเงินมาใช้หนี้  จนทำให้คนหนุ่มสาวยุ่งกับการใช้ชีวิต จนไม่เหลือความฝัน ไม่มีเวลาสนใจการเมือง ไม่มีเวลาสนใจสิ่งแวดล้อม ไม่มีเวลาสนใจชะตากรรมบ้านเมือง แล้วจะยังเหลือกำลังวังชา ทำอะไรให้แก่สังคมส่วนรวมได้อีก 

แต่ภายหลังฉันพบว่า มีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันและคุณทำได้ สิ่งนั้นคือ คนรุ่นเรา ไม่ว่าจะเดินไปในเส้นทางใด ขออย่าได้ทำชั่ว ขอแค่ อย่าเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเคยรังเกียจในสมัยเด็ก ถ้าต่อไปเราเป็นคนขายของแผงลอย ก็อย่าเอาน้ำมันทิ้งแล้วมาทอดของขาย ถ้าขายผลไม้ ก็อย่าโกงน้ำหนักตาชั่ง ถ้าเปิดโรงงาน เป็นเจ้านายคน ก็อย่ากดค่าแรงลดคุณภาพวัตถุดิบ ผลิตของด้อยคุณภาพ  คนธรรมดาหนึ่งคน ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่แสนธรรมดา ถ้าทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ ย่อมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะเราทุกคน ตั้งแต่วันที่เราเกิดมา ก็มีผลเปลี่ยนแปลงโลกฉันเป็นนักศึกษากฎหมาย ถ้าในภายภาคหน้า ฉันสามารถเป็นผู้พิพากษาที่มีความยุติธรรม สังคมเราก็จะมีผู้พิพากษาที่ดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ย่อมเป็นสังคมที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็นิดหนึ่ง 

ฉันหวังว่าทุกคนจะตระหนักว่า แม้จะมีเหตุผลอันน่าเห็นใจแสนอย่าง รองรับการทำชั่ว ตัวเราก็ต้องรักษามาตรฐานศีลธรรมของเราไว้ ด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือ เราไม่ใช่สัตว์ป่าผู้หิวโหย แต่เป็นมนุษย์ผู้รู้ผิดชอบชั่วดี เพื่อร่วมรุ่นหนุ่มสาวของฉัน พวกเราสามารถเป็นคนหนุ่มสาวที่มีคุณภาพ ตลอดชีวิตเกลียดชังความชั่ว ไม่ปล่อยตัวตามกระแสแห่งคลื่นลม ไม่รับใช้ผู้มีอำนาจอย่างหลับหูหลับตา ไม่ลืมหลักการ ไม่ลืมความเป็นมนุษย์  ฉันฝากถึงเพื่อนร่วมรุ่นที่รักทุกคน ถ้าในอนาคต มีคนพูดกับคุณว่า เธออย่าสะเออะมาเป็นนักศีลธรรม รู้จักปรับตัวเข้าสังคมบ้าง เมื่อเวลานั้น เธอก็ควรจะมีความกล้าหาญที่จะตอบว่า ก็ฉันไม่เหมือนคุณนี่ ฉันไม่ได้มาเปลี่ยนตัวเองเพื่อเข้าสังคม ฉันมามีส่วนเปลี่ยนแปลงสังคม” 

สปีชอันยอดเยี่ยมของนักศึกษาสาวจีนผู้นี้ ผมอยากให้คนไทยทุกคนได้อ่าน ถ้าคนไทยทุกคน ไม่ยอมรับเหตุผลร้อยแปดเพื่อทำชั่ว เช่น ไปช่วยเหลือคนชั่วทุจริต สังคมไทยจะสูงขึ้นอีกหลายนิ้วเลยทีเดียว ไม่ต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้. 

“ลม เปลี่ยนทิศ”
     ขออนุญาตเพิ่มเติม
       อยากให้นักศึกษา เยาวชนไทย ได้อ่านบทความ ข้อคิดดีๆเช่นนี้ และมีอุดมการณ์ทำนองนี้ ประเทศไทย จะเจริญก้าวหน้าแน่นอน ผู้เฒ่าอย่างเราคงหายห่วง อนาคตประเทศไทย ช่วยแชร์ต่อๆกันไป ถึงเด็กรุ่นใหม่