หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิดการใช้ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิดการใช้ชีวิต แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

อย่ากวน (เรื่องมาก) กับคนแก่

เพิ่งอ่านเจอเมื่อเช้า คุณยายคนนี้ยื่นบัตรของเธอให้พนักงานธนาคารที่เคาท์เตอร์แล้วบอกว่า "ฉันต้องการถอนเงิน 10 ดอลลาร์” 

พนักงานสาวบอกกับคุณยายว่า “ถอนเงินน้อยกว่า 100 ดอลลาร์ ต้องใช้ตู้เอทีเอ็มค่ะ จะเบิกตรงนี้ไม่ได้"

คุณยายงง ไม่เข้าใจเหตุผล เจ้าหน้าที่คืนบัตรให้แล้วบอกคุณยายอย่างไม่สบอารมณ์ว่า“ก็มันเป็นกฎ ถ้าไม่มีอะไรมาก คุณยายออกไปเถอะ เรามีลูกค้าคนอื่นรอคิวใช้บริการอยู่"

คุณยายเงียบไปสองสามวินาที แล้วยื่นบัตรกลับมาให้พนักงานอีกครั้ง พร้อมบอกว่า "งั้นขอความกรุณาช่วยถอนเงินทั้งหมดในบัญชีให้ฉันด้วยค่ะ"

พนักงานธนาคารทำหน้าประหลาดใจ เมื่อตรวจสอบยอดเงินในบัญชีคุณยายแล้วพบตัวเลขน่าทึ่ง เธอพยักหน้า เอนตัวลงและบอกคุณยายด้วยน้ำเสียงความเคารพนบนอบว่า “คุณยายมีเงินในบัญชีทั้งหมด 1,300,000 ดอลลาร์ แต่ตอนนี้ธนาคารเราไม่มีเงินสดมากขนาดนั้น คุณยายช่วยนัดเวลาและกลับมาเบิกใหม่ในวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ"

คุณยายจึงถามว่า ถ้าจะถอนออกมาทันทีตอนนี้ จะถอนเงินได้เท่าไร 

พนักงานตอบว่า "ไม่เกิน 3,000 ดอลล่าร์ค่ะ"

คุณยายบอก "งั้นช่วยถอนเงินให้ฉันที  3,000 ดอลลาร์ตอนนี้เลย"

พนักงานจัดการถอนเงิน และส่งมอบเงิน 3,000 ดอลลาร์ให้คุณยายพร้อมส่งยิ้มเปี่ยมไมตรีจิต

คุณยายหยิบเงิน 10 ดอลลาร์ใส่กระเป๋า แล้วยื่นเงิน 2,990 ดอลลาร์คืนให้พนักงาน แล้วบอกว่า "ช่วยฝากคืนเข้าบัญชีเดิมให้ฉันด้วย" 

คนเอาเรื่องนี้มาเล่าบอกว่า อย่ากวนตีน (เรื่องมาก) กับคนแก่ เพราะพวกแก่ๆ นั่นน่ะใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตเพื่อเรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหาต่างๆ มาอย่างช่ำชองและโชกโชน พร้อมรับมือทุกรูปแบบ น้อยมากที่จะพลาดท่าเสียที

เอาจริง หากต้องเอาชนะคะคานในปัญหาต่างๆ คนรุ่นหลังอาจจะตามไม่ทัน สู้ความเก๋าไม่ไหว โดยเฉพาะการหาช่องว่างในกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่คนรุ่นหลังไม่สามารถอดทนทำได้

Cr: ปราย พันแสง

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชัยชนะที่ยั่งยืน


สตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับและนักสร้างหนังชื่อดังแห่งฮอลลีวู้ด เล่าว่าเมื่ออายุ ๑๓ ปีชีวิตของเขาเหมือนตกอยู่ในนรก เพราะที่โรงเรียนมีอันธพาลวัย ๑๕ คนหนึ่งชอบทำร้ายเขา ทั้งทุบตีและขว้างปาระเบิดไข่เน่าใส่เขา เขาทนสภาพนี้อยู่นาน 

แล้ววันหนึ่งเขาก็เข้าไปหาอันธพาลคนนั้นและพูดว่า

“เธอรู้ไหม ฉันกำลังถ่ายทำหนังเรื่องสู้กับนาซี เธออยากเล่นบทพระเอกไหม ?” 

ทีแรกอันธพาลหัวเราะใส่เขา แต่ในที่สุดก็ตกลง สปีลเบิร์กเล่าว่า หลังจากถ่ายทำวีดีโอเสร็จ อันธพาลคนนั้นได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขา

การที่สปีลเบิร์กให้การยอมรับเขาและเปิดโอกาสให้เขาได้เป็นพระเอก มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนเขาจาก “ศัตรู” ให้กลายเป็นมิตรได้ เพราะลึก ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้รับความยอมรับ สปีลเบิร์กชนะใจเขาด้วยการยื่นไมตรีให้แทนที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูหรือยอมจำนนต่ออำนาจบาตรใหญ่ของเขา

น้ำใจไมตรีไม่เพียงแปรเปลี่ยนความขัดแย้งให้คลี่คลายไปในทางที่ดีเท่านั้น หากยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ด้วย

นักธุรกิจไทยผู้หนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งไปเรียนหนังสือในเมืองบอสตันว่า เธอเคยถูกคนผิวดำล็อกคอและเอามีดจี้ขณะรอสัญญาณไฟเขียวบนเกาะหน้ามหาวิทยาลัย เมื่อโจรพบว่าในกระเป๋าของเธอมีเงินแค่ ๒๐ ดอลลาร์ ก็ไม่พอใจ เขาขุ่นเคืองหนักขึ้นเมื่อพบว่าเธอไม่มีนาฬิกา แหวนและกำไลเลยสักอย่าง เขาจึงถามเธอว่า 

“เป็นคนเอเชียมาเรียนที่นี่ได้ก็ต้องรวยไม่ใช่หรือ ?” 

เธอตอบว่า 

“สำหรับฉันน่ะไม่ใช่ เพราะได้ทุนมา”

แล้วโจรก็ย้อนกลับมาถามถึงเงิน ๒๐ ดอลลาร์ว่าจะเอาไปทำอะไร เธอตอบว่า เอาไปซื้อไข่ เขาถามเธอว่าเอาไข่ไปทำอะไร 

“เอาไปต้มกินได้ทั้งอาทิตย์” 

เธอตอบตามความจริงเพราะตอนนั้นการเงินฝืดเคือง

ระหว่างที่โต้ตอบกันอยู่นั้น ยามหน้ามหาวิทยาลัยเห็นผิดสังเกต จึงยกหูโทรศัพท์เรียกตำรวจ เธอมองเห็นพอดีก็เลยโบกมือว่า

“ไม่ต้อง ๆ เราเป็นเพื่อนกัน” 

โจรได้ยินเช่นนั้นก็งง ถามว่า
“คุณรู้จักกับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

“ก็เมื่อกี้ไง” เธอตอบ

โจรเปลี่ยนท่าทีไปทันที หลังจากสนทนาพักใหญ่ โจรไม่เพียงแต่จะคืนเงินให้เธอ หากยังพาเธอไปซื้อไข่และซื้ออาหาร ๓ ถุงใหญ่ พร้อมทั้งหิ้วมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัย แล้วยังแถมเงินอีก ๕๐ ดอลลาร์

เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะวันรุ่งขึ้นเธอนำเงิน ๕๐ ดอลลาร์นั้นไปซื้อเครื่องปรุงอาหารไทย แล้วไปเยี่ยมบ้านเขาเพื่อทำต้มยำกุ้งให้กินกันทั้งครอบครัว นับแต่นั้นทั้งสองฝ่ายก็ไปมาหาสู่กัน เธอเล่าว่าทุกวันนี้หากมีธุระไปบอสตันก็จะไปแวะเยี่ยมครอบครัวนี้ทุกครั้ง

น้ำใจไมตรีและความดีนั้นมีพลังที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี และเปลี่ยนภัยคุกคามให้เป็นสะพานสานมิตรภาพได้ 

ใช่หรือไม่ว่าการกำจัดศัตรูที่ดีที่สุดก็คือการเปลี่ยนเขามาเป็นมิตรนั่นเอง นี้คือชัยชนะที่ให้ผลยั่งยืนกว่าชัยชนะด้วยกำลังที่เหนือกว่า 

พลังของน้ำใจไมตรีและความดีนั้นอยู่ที่การดึงเอาคุณธรรมและความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งออกมาแม้จะซ่อนเร้นหรืออยู่ลึกเพียงใดก็ตาม 

ในทางตรงกันข้ามการใช้พละกำลังและความรุนแรงมีแต่จะดึงเอาความโกรธเกลียดและคุณสมบัติทางลบของคู่กรณีออกมาปะทะกัน ผลก็คือความขัดแย้งลุกลามจนกลายเป็นความรุนแรง หรือทำให้ความรุนแรงไต่ระดับจนยากแก่การระงับ 

เวรไม่อาจระงับด้วยการจองเวรก็เพราะเหตุนี้

พระไพศาล วิสาโล

Hatred does not cease by hatred, but only by love; this is the eternal rule.
Gautama Buddha, The Dhammapada: The Sayings of the Buddha

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

นิทานสอนใจ "เรื่องคนที่ไม่ถูกนินทา"


วันหนึ่ง มี ตา กับหลานชาย ต้องเดินทางไกล ไปหาญาติที่อยู่ต่างเมือง โดยมีม้าเป็นพาหนะไว้เดินทาง ทั้งหมดจะต้องผ่านเมืองต่างๆ แต่ระหว่างทาง ด้วยความกตัญญูของหลานชาย เห็นตาผู้ชรา จึงขอให้ตา นั่งบนหลังม้า เพราะความเป็นห่วงเป็นใย

แต่เมื่อเข้ามาในเมืองหนึ่ง ชาวบ้านต่าง ซุบซิบนินทาว่า “ต๊าย ดูสิ เป็นผู้ใหญ่ซะปล่าว ทำเป็นสำออย ใช้แรงงานเด็ก ตัวเองสะบายเลยนะ” เมื่อ ตา ได้ยินเช่นนั้น จึงไม่อยากให้เป็นที่นินทาของใคร จึงบอกให้หลานชาย ขึ้นมาขี่ม้าแทน 

จนมาถึงอีกเมืองหนึ่ง ชาวบ้านเมืองนี้ก็ นินทา ว่าร้ายหลานชายว่า “ดู ดู๊ ดู ดู มันทำ ทำไม ถึงทำกับตาแก่ๆได้” เมื่อหลานได้ยินเช่นนั้น จึงให้ตาขึ้นมาขี่ม้าด้วยอีกคน พร้อมพูดว่า “ดูซิ ว่าจะมีใครนินทาพวกเราอะไรอีกไหม”

ต่อมา เมื่อมาถึงอีกเมืองหนึ่ง ก็ไม่พ้นการโดนนินทาของชาวบ้าน “โถ ๆ ๆ เจ้าม้าช่างน่าสงสาร ทำไมเจ้านายของแกถึงใจร้าย ใจดำ ใช้งานหนักเกินไปจริงๆ” ทั้งคู่ จึงตัดปัญหา ลงจากหลังม้า และย่างเท้าเดินไปแทน 

แต่แล้ว ก็ต้องมาผ่านเมือง อีกเมืองหนึ่ง คราวนี้ ชาวบ้านไม่ได้นินทาอย่างเดียว กลับหัวเราะเยาะใส่ด้วย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดู ตา กับ หลาน คู่นั้นสิ โง่จริงๆ มีม้าแต่กลับไม่ขี่ เดินจูงอยู่นั่นแหละ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครไม่ถูกนินทา เพราะต่อให้เราทำสิ่งที่ดีแค่ไหน คนที่ไม่ชอบเรา เค้าก็จะนินทาเราอยู่ดี 

ดังนั้น เมื่อเราได้กระทำความดีแล้ว จงตั้งใจทำต่อไป อย่าเอาคำ "ไม่ดี" ของคน "ไม่ดี" มาใส่ใจ เพราะจะทำให้ใจเรารู้สึก " ไม่ดี "

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริง.....!!!!

ชายคนหนึ่งเคยมีชีวิตที่สะดวกสบาย เขาเคยมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถขับหลายคัน มีบริวารมากมายรายล้อม ปรนเปรอชีวิตตนเองด้วยความหรูหราฟู่ฟ่าตลอดมา บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ธุรกิจที่เคยสร้างกำไรอย่างงามของเขาล้มละลายหมดสิ้น ชายคนนี้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว นอกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ สุดที่รักเพียงคนเดียว

เมื่อแรกที่ต้องสูญเสียสมบัตินอกกายไป ชายผู้นี้คิดจะฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นความอับอายและหลีกหนีความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่เขาไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเขาเงื้อมีดขึ้นเพื่อปลิดชีวิตตนเอง ใบหน้าน้อยๆ น่าเอ็นดูของลูกสาววัยห้าขวบก็ปรากฏขึ้นในจิตใจ แม่ของเด็กตายจากไปนานแล้ว ลูกสาวมีเพียงเขาเป็นที่พึ่งสุดท้าย หากเขาเป็นอะไรไปแล้วลูกจะอยู่กับใคร ด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมานี้ ทำให้เขาทิ้งมีดในมือทันทีและไม่คิดฆ่าตัวตายอีก แต่ก็ใช้ชีวิตด้วยความหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

วันหนึ่งลูกสาวของเขากลับมาจากโรงเรียน เธอวิ่งเข้ามาหาพ่อแล้วโอบกอดด้วยความรักใคร่ พ่อของเด็กกอดตอบและฝืนยิ้มให้ลูกสาวอย่างยากเย็น

"พ่อยิ้มแบบนี้ทุกวันเลย พ่อยิ้มแบบนี้ลูกไม่ชอบ สู้ไม่ยิ้มเลยยังจะดีเสียกว่า" เด็กหญิงบอกกับพ่อเธอพลางใช้มือน้อย ๆ บีบปากผู้เป็นพ่อเบา ๆ

"ทำไมล่ะลูก" พ่อถามอย่างสงสัย

"ก็พ่อยิ้มแบบนี้แล้วหน้าของพ่อเหมือนจะร้องไห้ ลูกเลยไม่ชอบ ลูกไม่อยากให้พ่อร้องไห้" เด็กหญิงตอบ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะเยาะกับชะตากรรมของตนเอง ก่อนจะบอกลูกสาวว่า "ที่จริงแล้ว พ่อก็อยากร้องไห้เหมือนกันล่ะลูก"

"ทำไมพ่อต้องอยากร้องไห้ด้วย" เด็กหญิงขมวดคิ้ว

"แล้วลูกไม่อยากร้องไห้หรือ" พ่อของเด็กย้อนถาม

"ร้องไห้ทำไม ลูกไม่ได้เศร้าอะไรนี่ ลูกมีความสุขดีจ้ะพ่อ" เด็กหญิงตอบยิ้ม ๆ

"มีความสุขหรือ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแปลกใจ "จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพ่อทำให้ชีวิตลูกลำบากถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีห้องนอนสวย ๆ เหมือนก่อน ไม่มีที่วิ่งเล่นกว้าง ๆ ไม่มีคนขับรถไปรับไปส่งโรงเรียน ไม่มีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ไม่มีอาหารดี ๆ กิน แล้วอย่างนี้ลูกจะมีความสุขได้อย่างไรกัน"

"ลูกมีความสุขเพราะลูกมีพ่อ เมื่อก่อนตอนเราร่ำรวยนั้น พ่อไม่เคยอยู่ที่บ้านของเราเลย ตอนนี้เราไม่มีบ้านแล้ว แต่ลูกได้พ่อคืนมา ลูกถึงมีความสุขอย่างไรล่ะจ๊ะ" เด็กหญิงตอบอย่างชื่นบาน

ผู้เป็นพ่อนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบของลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "แต่พ่ออยากทำชีวิตของเราให้ดีกว่านี้ พ่ออยากให้ลูกมีอนาคต อย่างน้อยลูกก็ควรจะได้เรียนสูง ๆ"

"พ่อทำได้นี่ ไม่ยากหรอกจ้ะ สำหรับพ่อของลูก" เด็กหญิงว่าอย่างไร้เดียงสา

"พ่อ...ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พ่อไม่เหลือทุนให้กับธุรกิจใหม่อีกแล้ว พ่อละอายใจเหลือเกิน" ผู้เป็นพ่อคร่ำครวญ

"มีคุณลุงคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ โรงเรียนของหนู เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งมากแล้วใจดีด้วย เวลาใครไม่สบายใจแล้วไปหาเขา เขาก็จะช่วยให้คน ๆ นั้นสบายใจ พ่อลองไปหาเขาสิจ๊ะ" เด็กหญิงว่า

"คนทำงานเก่ง ๆ มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา เขาคงไม่มีเวลาคุยกับพ่อหรอก เพราะต้องออกไปติดต่อธุระนอกบ้านบ่อย ๆ" ผู้เป็นพ่อกล่าว

"ไม่จ้ะ คุณลุงคนนี้อยู่แต่ในบ้าน และไม่มีวันออกไปไหน" เด็กหญิงบอกพ่อของเธอ ตอนนั้นเองมีเด็กข้างห้องเช่ามาเคาะประตูเรียกให้เด็กหญิงออกไปเล่นด้วยกัน เด็กหญิงจึงเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บ ก่อนจะวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ทิ้งพ่อของเธอให้ครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าวด้วยความสนใจ

"ถ้าคนๆ นี้ทำให้เด็กห้าขวบสนใจในตัวเขาได้ และถึงกับแนะนำเราให้เราไปหา เขาก็น่าจะมีอะไรพิเศษในตัวเองอยู่เหมือนกัน งั้นเราจะลองไปดูก็ได้" ผู้เป็นพ่อคิดในใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ชายผู้นี้จึงไปเดินหาบ้านของชายดังกล่าวตามที่ลูกสาวของเขาบอก ไม่นานเขาก็เจอบ้านของคน ๆ นั้น ซึ่งดูภายนอกก็เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดธรรมดา ๆ หลังหนึ่งเท่านั้น

ชายผู้นี้รู้สึกลังเลใจ นี่ลูกสาวของเขาพูดจริงหรือล้อเขาเล่นกันแน่ คนที่ทำงานเก่งก็น่าจะอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตโอ่อ่ามิใช่หรือ

ขณะนั้นเองมีหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินมาที่รั้วหน้าบ้านแล้วถามเขาว่าต้องการพบใคร ชายผู้นี้จึงเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากลูกสาวของตนให้หญิงคนนั้นฟัง เธอฟังอย่างสงบแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูรั้วเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้านอย่างมีไมตรี

"คนที่คุณต้องการพบ คงจะหมายถึงสามีของดิฉันนะคะ" เธอบอกในขณะเดินนำเขาเข้าสู่ตัวบ้าน "กรุณานั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปบอกสามีของดิฉันให้ ไม่ทราบว่าเขากำลังทำงานอยู่รึเปล่านะค่ะ" แล้วเธอก็เดินหายไปในห้อง ๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับห้องรับแขก แต่เขาไม่ได้นั่งรอตามคำเชิญ เพราะมีบางสิ่งเบนความสนใจของเขาไปแล้ว ชายผู้นี้เดินไปจับจ้องดูสิ่งของในตู้กระจกใบหนึ่ง ซึ่งในนั้นมีเกียรติบัตรสีทองตั้งตระหง่านบอกความสามารถของเจ้าของ ชายผู้นี้ได้อ่านข้อความในเกียรติบัตรนั้นทีละคำ

"เกียรติบัตรฉบับนี้ มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแด่ตัวแทนบริษัทประกันชีวิต ซึ่งทำยอดขายประกันได้เป็นอันดับหนึ่งติดต่อมาถึงสามสมัยซ้อน"

จากนั้นเขาก็กวาดตาอ่านเกียรติบัตรฉบับอื่น ๆ อีกมากมายที่ตั้งอยู่ในตู้ใบนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นความสามารถทางการขาย และความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเจ้าของเกียรติบัตรเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

"นั่นเป็นผลงานของสามีดิฉันค่ะ" ภรรยาเจ้าของบ้านเดินมากล่าวแก่เขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม

"โปรดอภัยด้วยที่ผมทำเหมือนละลาบละล้วงมากไปสักหน่อย" ชายผู้นี้กล่าวอย่างเก้อเขิน

"ไม่ได้เป็นการละลาบละล้วงอะไรเลยค่ะ เชิญคุณเข้าไปหาสามีดิฉันเถอะ เขาอยากคุยกับคุณค่ะ"

ชายผู้นี้กล่าวคำขอบคุณแก่ภรรยาเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินเก้ ๆ กัง ๆ เข้าไปในห้องของสามีเธอ

เขาคาดว่าห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงาน ที่มีเอกสารทางธุรกิจมากมายวางสุมอยู่ แต่ไม่ใช่เลย เพราะห้องนี้เป็นเพียงห้องนอนธรรมดา ๆ และมีชายพิการคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงเท่านั้น

"เอ่อ..." ชายผู้นี้ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขารู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายพิการจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดีมากทีเดียว เขามองผู้มาเยือนแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนเชื้อเชิญให้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ เตียงเขา

"ผมได้ข่าวจากลูกสาวว่า...ไม่รู้สิ เธอบอกว่าคุณทำงานเก่งมาก เลยลองให้ผมมาขอคำปรึกษาจากคุณดู...แต่..." ชายผู้มาเยือนกล่าวอย่างติด ๆ ขัด เขาชักไม่แน่ใจ...เป็นการยากที่จะเชื่อว่า คนพิการคนนี่คือคนทำงานเก่งอย่างที่ลูกสาวของเขาว่า และยากที่จะเชื่อว่าเกียรติบัตรทั้งหมดในตู้ที่ห้องรับแขกนั้น เป็นของชายพิการคนนี้ หรือเขาจะได้ของเหล่านี้มาตอนที่ยังปกติดี...ใช่แล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละ

"ผมเป็นอย่างนี้มานานแล้วล่ะ เป็นโรคประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้" ชายพิการกล่าวเสมือนอ่านความคิดของชายผู้นี้ได้ "หลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาพบว่าขาของผมแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ แม้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต่อมาอาการแข็งทื่อก็ลุกลามมาถึงเอว ลำตัว และมือของผม จนในที่สุดผมก็เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่แต่บนเตียงอย่างที่คุณเห็นนี่แหละ"

"คุณเป็นตัวแทนขายประกันด้วยหรือ" ชายผู้นั้นถามอย่างไม่แน่ใจ

"ใช่ ผมทำงานขายประกัน หลังจากเป็นแบบนี้ผมก็ต้องออกจากที่ทำงานเก่า แล้วเริ่มทำงานขายประกัน ซึ่งผมว่าผมก็ทำได้พอใช้นะ" ชายพิการตอบยิ้ม ๆ

"ไม่หรอกครับ ผมว่าคุณทำได้ดีมากทีเดียว แต่คุณขายประกันมากมายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อคุณไปไหนมาไหนไม่ได้ คงไม่มีใครมาหาคุณเพื่อขอซื้อประกันถึงบ้านหรอกนะ" ชายผู้มาเยือนถามอย่างแคลงใจ

"ดูเหมือนว่า คุณจะสงสัยในตัวผมมากทีเดียว...ถูกแล้วครับ ไม่มีใครมาหาผมถึงที่นี้หรอก และถึงแม้ผมจะไปไหนมาไหนไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องนอนมองเพดานอย่างเดียวเสียเมื่อไร ถึงผมจะพิการแต่หัวใจผมยังแข็งแรงดี ผมจึงคิดที่จะทำนั้นทำนี่แม้ว่าตัวเองจะเคลื่อนไหวไม่ได้" พูดจบชายพิการก็ทำหน้าพยักเพยิดไปทางโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง "ผมใช้โทรศัพท์นี่คุยติดต่อกับลูกค้า โดยให้ภรรยาช่วยถือหูให้ ซึ่งลูกค้าของผมก็ยินดีที่จะติดต่อกับผมด้วยวิธีนี้ เพราะฉะนั้นอะไร ๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

"ทำไมคุณต้องดิ้นรนตัวเองขนาดนี้ คุณไม่สบาย หากคุณเอาแต่นอนก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก" ชายผู้มาเยือนว่า

"ผมยังเชื่อมั่นในสมองของผม คุณคิดว่าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะกำลังกายหรือ...เปล่าเลย คนเราอยู่ได้เพราะกำลังใจ แม้จะมีแขนขาที่กำยำล่ำสันเพียงไร แต่ถ้าไร้กำลังใจ แขนขานั้นก็ไร้ความหมาย ผมเป็นอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยเสียใจ แต่ถ้าเอาแต่เสียใจก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ดังนั้นผมจึงคร้านที่จะเสียใจ ผมว่าผมสู้ดีกว่า...คุณดูกระดาษที่ติดอยู่บนหัวนอนผมสิ" ชายพิการเหลือบตามองขึ้นไปทางผนังเหนือหัวเตียงของเขา มีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่อย่างง่ายๆ

"นั่นคือคติพจน์ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมเขียนขึ้นด้วยกำลังใจของผมเอง คติพจน์ข้อแรกคือ อย่าวิตกกังวล และข้อสองคือ ถึงป่วยไข้ก็อย่าหมดกำลังใจ"

"คุณเป็นคนน่าอัศจรรย์มาก" ผู้มาเยือนกล่าวด้วยความทึ้งระคนชื่นชม

"ขอบคุณครับ แต่ผมคงต้องขอบคุณภรรยาของผมและลูกสาว ซึ่งเป็นครูอนุบาล รวมทั้งเด็ก ๆ จากโรงเรียนของเธอด้วยที่แวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อย ๆ เพราะเด็ก ๆ ได้มอบความเบิกบานให้แก่ผมเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมรู้จักลูกสาวของคุณนะ แกมาที่นี้กับลูกสาวของผมบ่อย ๆ และแม่หนูน้อยนั้นก็หน้าตาเหมือนคุณมาก คุณเป็นพ่อที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแกเป็นเด็กที่น่ารัก อยู่เพื่อแกเถอะ ขอให้ใช้ชีวิตต่อไปนี้เพื่อแก

"แต่ถ้าคุณท้อแท้ให้นึกถึงผม ตัวผมนั้นไม่เคยท้อถอยโดยเหตุที่ใช้มือไม่ได้เลย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้ทำให้ผมทำงานไม่ได้ และยิ่งลำบากมากในการติดต่อธุรกิจการงาน แต่ถ้าเราสู้ต่อไป และค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขสิ่งบกพร่องนี้ เราก็จะทำอะไรได้ตามที่ตั้งใจไว้...ถ้าคุณจำต้องเสียอะไรไปและเอาคืนกลับมาไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะ แต่อย่ายอมเสียหัวใจที่ร่าเริงเด็ดขาด เพราะหัวใจที่ร่าเริงจะไม่ยอมให้เจ้าของมันล้มเหลวหรอก เชื่อผมสิ" ชายผู้พิการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

แน่นอนว่าชายผู้นี้เดินออกจากบ้านของชายพิการด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เขายังคงไม่มีเงินทุนสำหรับเริ่มธุรกิจ แต่มีแรงสู้เพิ่มขึ้นเต็มหัวใจ ชายผู้นี้เชื่อว่าด้วยแรงใจนี้ จะทำให้เขาสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ดีขึ้นได้ ดังที่ชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงได้บอกเอาไว้นั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ในสังคมที่มนุษย์ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ เรามักจะเห็นผู้พ่ายแพ้เกิดมามากกว่าผู้ชนะเสมอ ดังนั้น หากทั้งชีวิตจะต้องพบกับความพ่ายแพ้บ้างครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร...ในเมื่อสมองและหัวใจเธอยังดีอยู่ เธอจะกลัวความพ่ายแพ้ไปทำไมกัน

สำหรับชายพิการคนนี้ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเราทุกคน หากแม้นว่าชายคนนี้ยังมีใจร่าเริงได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองพิการไร้มือไร้เท้า แล้วเราจะมีข้อแก้ตัวอันใดมาคร่ำครวญถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่กันเล่า

คุณรู้จักใครบ้างที่พร่ำบ่นเพราะเขาไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอย่างที่เขาต้องการ ใครบ้างที่หงุดหงิดอยู่นั่นแล้วเวลาที่ตนเองเป็นหวัด เวลาที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่น เวลาที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เวลาที่ไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น หรือแม้แต่เวลาที่เขาเป็นทุกข์เพราะเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดเวลา

หากรู้จักคน ๆ นั้น ก็จงเล่าเรื่องชายพิการผู้มีหัวใจร่าเริงให้เขาฟังเถิด

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แก้เชือกไม่ได้ ก็แก้ปัญหาไม่เป็น

ตอนเด็ก ๆ  ฉันเคยหัวเสียกับเชือกที่พันกันยุ่งเหยิง  ยิ่งแก้ยิ่งอารมณ์เสีย ฉันร้องห่มร้องไห้ โทษดินฟ้าอากาศ แล้วคิดว่าทำไมฉันต้องทนกับเจ้าเชือกไร้สาระพวกนี้ด้วย เลยใช้มีดตัด ๆ ตัดจนเชือกขาดเป็นชิ้น ๆ (สะใจจริง)

พอหายโมโห ฉันนั่งมองกองเชือกขาด ๆ  ที่ไร้ประโยชน์  (โถช่างน่าสงสารจริง ๆ ทั้งตัวเองและเชือก)

แต่แล้วครั้งต่อมา พอเชือกพันกันอีก ฉันก็ใช้มีดตัดมันอีกอย่างไม่คิดอะไร

จนวันหนึ่ง...ฉันเห็นแม่นั่งแก้เชือก ที่พันกันกองโต มันยุ่งชนิดที่ว่า ชาตินี้คงไม่สามารถกลับมาเป็นเส้นตรงได้เหมือนเดิม

ฉันเห็นแม่นั่งแก้ทุกวัน วันละนิดละหน่อย พอเบื่อก็ไปทำอย่างอื่น ทิ้งกองเชือกกองไว้ แล้วก็กลับมานั่งแก้อีก จนฉันรำคาญ  และคิดว่าทำไมแม่ต้องทนกับกองเชือกไร้สาระพวกนี้ เลยบอกแม่ว่าเอามีดตัดมันออกเถอะ  นั่นแหละฉันถึงได้เข้าใจเมื่อแม่ตอบว่า...

“เวลาที่เชือกพันกัน เขาห้ามใช้มีดตัด ต้องแก้ออกให้ได้ เพราะเชือกเป็นเส้นเดียวต่อให้พันกันยุ่งแค่ไหนก็แก้ได้ ถ้าแค่เชือกพันกันแค่นี้ลูกแก้ไม่ได้ แล้วต่อไปจะแก้ปัญหาอะไรในชีวิตได้ ลูกก็จะแก้ปัญหาสุ่ม ๆ เหมือนที่ใช้มีดตัดเชือกนั่นแหละ ถ้าลูกไม่อดทนแก้เชือกด้วยมือตัวเอง ค่อย ๆ แกะวันละนิดละหน่อย แค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะไปทำอะไรได้ ไม่มีอะไรยากไปกว่าความอดทนของคนหรอก”
หลังจากนั้นอีก 3 วัน ฉันเห็นขดเชือกเส้นสวยเป็นระเบียบแขวนอยู่ ฉันมองอย่างทึ่ง แม่ยิ้มอย่างภูมิใจ

เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้ว่า ปัญหาของคนเรา จริง ๆ แล้วคือบทเรียนที่มีคุณค่า

เพราะถ้าเราตั้งใจแก้มัน มีหรือจะไม่มีทางออก แพ้บ้าง ชนะบ้างเป็นเรื่องปกติ จะได้ “ล้มเป็นลุกเป็น”
โลกสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ให้เราผ่านไปให้ได้ ฉันไม่เคยซ้ำเติมคนที่ฆ่าตัวตายว่าเขาโง่ เพียงแต่เขาก้าวผ่านปัญหาบนโลกไปไม่ได้ เขาเลยเลือกที่จะหนีไปจากโลกนี้แทน ด้วยความขาดสติ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ

พอวันวัยผ่านมา ตอนนี้ฉันได้รู้ว่า ชีวิตคนเราผิดพลาดได้ ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลย ไม่ว่าจะเหนื่อยจะท้อแค่ไหน อย่าหนีปัญหาไปเฉย ๆ  แค่บอกปัญหาว่าพักสักเดี๋ยว  แล้วค่อยมาเจอกันใหม่

ประสบการ์ณที่ดีจะทำให้เราเข้มแข็ง ประสบการ์ณที่ไม่ดีจะทำให้เราเข้มแข็งยิ่งกว่า

"จงเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดแล้วคุณจะเก่งขึ้น"

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ใช้ชีวิตก่อนจะไม่มีชีวิตให้ใช้

เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหันมารักตัวเอง...

สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ

- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บ ำรุง

- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ

- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง 

- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน 

- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน

- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน

- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง

- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน

หมั่นเตือนตน: ชีวิตนี้สั้นนัก
หากเวลาของคุณยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความเหล่านี้ต่อให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจตัวเองบ้าง
ดังนั้น

- อยากกิน...กิน

- อยากเที่ยว....เที่ยว

- เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้

- สุขสบายทุกเพลา

- เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์

- เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ

- ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง เพื่อนที่ดีต่อไป

- เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ

ถ้าคุณส่งให้เพื่อนๆ แสดงว่าคุณเป็นคนรักและหวังดีกับเพื่อนคุณ ถ้าไม่ส่งแสดงว่าคุณรักแต่ตัวเองไม่คิดจะเผื่อแผ่ความสุขให้คนรอบข้างและเตือนสติเพื่อนของคุณ

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ผึ้งกับต่อ

วันหนึ่งผึ้งกับต่อได้มาพบกัน....

ต่อระบายความรู้สึกในใจที่มีมานานว่า
“ประหลาดจริงๆ เธอกับฉันก็ไม่ได้แตกต่างกัน เราต่างก็มีปีกเหมือนกัน มีท้องแหลมมนเหมือนกัน เวลามนุษย์พูดถึงเธอต่างก็รู้สึกมีความสุขเห็นเธอเป็นนางเอก พอพูดถึงฉันต่างก็รังเกียจเห็นฉันเป็นผู้ร้าย”

จากนั้นก็ระบายต่อว่า
“ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ หากจะแข่งกันจริงๆ ฉันมีเสื้อสีเหลืองห่อหุ้มร่างกายมาตั้งแต่เกิด อันเป็นพรแห่งสวรรค์ แต่เธอล่ะ! เธอถูกสวรรค์ลงโทษให้ทำงานทุกวันไม่ได้หยุด ฉันด้อยกว่าเธอตรงไหนหึ!”

“คุณต่อค่ะ สิ่งที่คุณพูดมานั้นถูกต้องแล้วค่ะ แต่ที่มนุษย์ทั้งหลายชมชอบดิฉัน ก็คงเป็นเพราะว่าดิฉันได้ให้น้ำผึ้งแก่พวกเค้านะค่ะ ดิฉันขอถามคุณหน่อยว่า คุณได้ให้อะไรกับมนุษย์บ้างคะ?” ผึ้งน้อยกล่าวออกไป

“ทำไมฉันต้องให้อะไรกับพวกมนุษย์! มนุษย์ต่างหากละที่ต้องบูชาฉันถึงจะถูก!” ต่อพูดออกไปอย่างมีโมโห

“ดิฉันคิดว่า หากคุณต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับคุณอย่างไร คุณควรปฏิบัติสิ่งนั้นกับคนอื่นก่อนนะคะ”

ผึ้งน้อยกล่าวเสร็จก็บินจากไป
.................................
มีคนมากมายที่พรั่งพร้อมในความสามารถ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าไร้ราคา ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น

คุณค่าของคนเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณ “เพียบพร้อม”หรือ “ครอบครอง”อะไร แต่อยู่ที่คุณได้ “อุทิศ”และ “ช่วยเหลือ”ผู้อื่นยังไง
หากการดำรงอยู่ของคุณ ไม่ได้มีความหมายกับชีวิตของใคร ๆ
ต่อให้คุณพรั่งพร้อมเพียงใด ก็ไร้ความหมาย

จงทำตนให้มีความหมายกับชีวิตของผู้อื่น
เพราะเราเขาจึงมีวาสนา
เพราะเราเขาจึงมีความสุข
เพราะเราเขาจึงสมบูรณ์ขึ้น
ในสังคมที่คุณอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ที่ทำงาน บริษัทห้างร้าน เพราะมี “คุณ”อยู่ จึงสมบูรณ์มากขึ้น จึงสมานมากขึ้นใช่หรือเปล่า? ฝากคิด!