หน้าเว็บ

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผู้ชายที่น่ารัก


สองสามวันก่อน แม่ป่วย...
ผู้หญิงใจแข็งคนนั้น ยืนกรานว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด
เธอกินยาจีน พักผ่อนอยู่บ้าน

เสียงบ่นของแม่...หายไป
กลับมีเสียงของใครอีกคนขึ้นมาแทน...เสียงของพ่อ
พ่อที่ปกติแล้วลูกๆทุกคนลงมติว่า...ดุ และ เงียบขรึม
วันนี้พ่อกลายเป็นผู้ชายขี้บ่นไปซะแล้ว...
พ่อบ่นทั้งวันและทุกวัน
เรื่องที่บ่นก็มีอยู่เรื่องเดียว...บ่นแม่
พ่อบ่นว่า แม่ไม่ยอมไปหาหมอ

แต่...คนขี้บ่นนี่แหละ
ที่ไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา
ซื้อหายาอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไข้ที่แม่ใช้ประจำมาวางไว้ให้ข้างเตียง
พ่อ...ที่ปกติชอบออกไปหากับข้าวแปลกๆข้างนอกกินเป็นกิจวัตร
บ่นว่าเบื่อกินข้าวที่บ้าน

แต่...พ่อก็สั่งเมณี่ไปซื้อกับข้าวที่ร้านโปรดของแม่มากินที่บ้าน
เพียงเพราะไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว
แม่แตะกับข้าวได้คำเดียว...เอาใจพ่อ
ทั้งๆ ที่เมณี่ก็ว่ากับข้าวอร่อยดี
แต่...พ่อกลับว่า วันนี้เชฟฝีมือตก ทำไม่อร่อย...เลยไม่ถูกปากแม่

แล้ววันนี้...แม่อาการดีขึ้น ลุกขึ้นมาเดินเหินได้นิดหน่อย
บ่น...อยากกินแครกเกอร์กับโกโก้ร้อน
แต่...ของแห้งที่บ้านหมด รวมทั้งแครกเกอร์ยี่ห้อโปรดด้วย
พ่อ...ผู้ชายที่แสดงออกตลอดเวลา...ว่าเกลียดการเดินซูเปอร์มาเก็ต
บอกลูกๆ ว่าน้ำส้มของพ่อหมด ไปซื้อกันเถอะ

พวกเราอมยิ้ม
ผู้ชายปากแข็ง...จะบอกว่าไปซื้อของให้แม่ก็ไม่ได้
ต้องอ้างยังโน้นยังงี้
แต่...แค่ย่างเท้าเข้าห้างสรรพสินค้า
คนจะซื้อน้ำส้มเดินหา...แครกเกอร์
เฮ้อ...

พ่อ...มีโรคประจำตัว...โรคหัวใจ
พ่อต้องเดินช้าๆ เพราะไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักเกินไป
แต่ในซุปเปอร์มาเก็ตวันนี้
พ่อเดิน...เข้าช่องโน้น ออกช่องนี้
เพราะแม่กินได้แต่ข้าวต้ม

ข้าวต้มซองชนิดมีกับพร้อมปรุงถูกพ่อกวาดมาทุกชนิด
เครื่องข้าวต้ม...ทั้งผักดอง ผักกระป๋อง
พ่อหยิบทุกขวดทุกกระป๋องมาอ่าน...หายี่ห้อที่แม่ชอบ
ความจริงจะสั่งเมณี่ไปหาซื้อน่าจะง่ายกว่านะ
แต่พ่อก็เลือกที่จะทำเอง
เพราะพ่อเลือกของเหล่านั้น...ด้วยความรัก
เมณี่ทำได้แค่เข็นรถตาม...

แต่แค่นี้ก็ยากแล้วนะ
เพราะเข็นตามไม่ทันสักที
ถ้าเทียบกับใจที่ไปถึงชั้นวางขวดผักดองเรียบร้อยแล้วของผู้ชายตรงหน้า
หลังที่เริ่มคุ้มงอตามวัยของพ่อ
นำอยู่ข้างหน้าหน้าลิ่วๆ

ตาของพ่อ...ที่มีไว้มองผู้หญิงคนเดียวในชีวิต
มองหาแต่สรรพสิ่งที่เหมาะกับแม่
ณ วินาทีนั้น เมณี่อิจฉา...อิจฉาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
อิจฉาแม่ตัวเอง เพราะพ่อที่ลูกๆ คุ้นเคย คือผู้ชายที่ไม่เคยแคร์ใคร...

กับลูกๆ...เรารู้...พ่อรัก
เพราะพ่อแสดงออกกับเราเสมอ
หากกับแม่...พวกเราเพิ่งรู้...พ่อห่วงแม่มากมาย
คงเพราะปกติเราเห็นแต่แม่ที่คอยดูแลพ่อ
โรคประจำตัวพ่อเยอะแยะนี่นา

แม่...ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง
อึด...ในสายตาพวกเรา
ยามเมื่อได้รับการดูแลจากพ่อ
ดูเหมือนจะซึ้งไม่ต่างจากเรา
คนซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดยี่สิบห้าปี
ดูแลกันและกันยามป่วยไข้
คงไม่มีอะไรน่าชื่นใจไปกว่านี้แล้วมั้ง

เมณี่หันมามองรอบตัว
สักวันข้างหน้า...ยามเมื่อชีวิตได้ผ่านวันเวลา
ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศก
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยืนข้างๆ เมณี่
ดูแล...ยามที่เมณี่ป่วยไข้

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่จำได้
กับแค่แครกเกอร์ยี่ห้อโปรดของเมณี่
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยอมเดินฝ่าฝูงคนพลุกพล่านที่ตัวเองแสนเกลียด
เพียงเพื่อเครื่องกระป๋อง...
ที่อยากจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆ เพื่อคนอันเป็นที่รัก
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ส่งยาอมแก้เจ็บคอให้เมณี่
พร้อมกับบอกว่า
'คราวก่อนเจ็บคอ กินแล้วหาย นี่ยังเหลือ เอาไปกินสิ'
ทั้งๆ ที่ยาอมหลอดนั้น มันยังไม่ได้แกะ!!!
ผู้ชายที่เก็ก...รักษาฟอร์มแม้แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ
ผู้ชายอาไร้...น่ารักชะมัด

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หยุดและคิด



คำพูดที่ขัดแย้งกันแต่เป็นความเป็นจริงในช่วงเวลาของเราคือ
เราสร้างตึกที่สูงขึ้น แต่วัดที่เตี้ยลง
เรามีทางด่วนที่กว้างมากขึ้น แต่มีทัศนคติที่แคบลง
เราใช้จ่ายมากขึ้น แต่เรามีน้อยลง
เราซื้อมากขึ้น แต่เรามีความสุขกับของนั้นน้อยลง

เรามีบ้านที่ใหญ่มากขึ้น แต่มีครอบครัวที่เล็กลง
เราสะดวกสะบายมากขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง
เรามีการศึกษามากขึ้น แต่มีสามัญสำนึกน้อยลง
เรามีความรู้มากขึ้น แต่มีการตัดสินน้อยลง

เรามีผู้ชำนาญการมากขึ้น แต่ก็มีปัญหามากขึ้น
เรามียามากขึ้น แต่ความ"อยู่ดี"น้อยลง
เราเพิ่มพูนสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ แต่ลดค่าของมันลงไป
เราพูดมาก แทบจะไม่ให้ความรัก และก็เกลียดกันบ่อยเกินไป

เราเรียนรู้ว่าจะหาเลี้ยงชีวิตอย่างไร
แต่เราไม่ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร
เราทำให้การมีชีวิตยาวนานขึ้น แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง
เราเดินทางไปกลับถึงพระจันทร์ แต่เรามีปัญญาแค่จะเดินข้ามถนนไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน
เราชนะปัจจัยภายนอก แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใน

เราทำให้อากาศสะอาดขึ้น แต่เราทำให้วิญญาณของเราสกปรก
เราสลายอะตอม แต่ไม่ใช่ความลำเอียง
เรามีเงินเดือนมากขึ้น แต่ศีลธรรมน้อยลง
เรามีปริมาณมากขึ้น แต่คุณภาพน้อยลง

ยังมีช่วงเวลาของชายที่สูงใหญ่ แต่ไม่มีลักษณะเฉพาะตัว
มีกำไรมากมาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้คน
ยังมีช่วงเวลาที่โลกสงบสุข แต่ยังมีสงครามภายใน
มีกิจกรรมมากขึ้น แต่สนุกน้อยลง

มีอาหารหลากชนิดมากขึ้น แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร
ยังมีช่วงเวลาที่คนแต่งงานกันมากขึ้น แต่ก็มีการหย่าร้างกันมากขึ้น
มีบ้านที่สวยงาม แต่ก็มีบ้านแตกสาแหรกขาด
มันคือช่วงเวลาที่มีอะไรมากมายโชว์อยู่ตรงหน้าต่าง 
แต่ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเก็บสต๊อกเลย
คือเวลาที่เทคโนโลยีสามารถนำจดหมายฉบับนี้มาสู่ท่านได้

"สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับผู้ที่มองโลกในแง่ดี"

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แด่ทุกคนที่กำลังมีความรัก หรือกำลังได้รับความรัก


1. I love you not because of who you are, but because of who I am when I am with you.
ฉันรักคุณไม่ใช่เพราะความเป็นคุณ แต่ฉันรักคุณเพราะความเป็นฉัน เมื่อฉันอยู่กับเธอ

2. No man is worth your tears, and the one who is, won't make you cry.
ไม่มีผู้ชายคนใดมีค่าพอที่จะทำให้คุณเสียน้ำตา และผู้ชายที่มีค่าพอ ก็จะไม่ทำให้คุณร้องไห้

3. Just because someone doesn't love you the way you want them to, doesn't mean they don't love you with all they have.
การที่ใครบางคนไม่ได้รักคุณอย่างที่คุณต้องการ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่รักคุณเลย

4. They say love hides behind every corner, then I must be walking in circles.
มีคนบอกว่า ความรักถูกซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ดังนั้น ฉันก็ควรจะตามหารักเป็นวงกลมซินะ

5. A true friend is someone who reaches for your hand and touches your heart.
เพื่อนที่แท้จริงคือใครบางที่แค่เอื้อมมาจับมือเราก็สามารถสัมผัสใจเราได้

6. The worst way to miss someone is to be sitting right beside them, knowing you can't have them.
ความคิดถึงที่เลวร้ายที่สุด คือการที่ได้นั่งข้างๆ เขาโดยรับรู้ว่า คุณไม่สามารถครอบครองเขาได้

7. Never frown, even when your are sad, because you never know who is falling in love with your smile.
อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมด แม้เมื่อคุณเศร้า เพราะคุณอาจจะไม่รู้ว่า มีใครบางคนประทับใจกับรอยยิ้มของคุณแค่ไหน

8. To the world you may be one person, but to one person you may be the world.
สำหรับโลกใบนี้ คุณอาจจะเป็นเพียงใครคนหนึ่ง แต่สำหรับใครคนหนึ่ง คุณอาจจะเป็นโลกทั้งใบของเขา

9. Don't waste your time on someone, who isn't willing to waste their time on you.
อย่าเสียเวลาของคุณกับใครที่เขาไม่ยินดีที่จะเสียเวลากับคุณ

10. Maybe God wants us to meet a few wrong people before meeting the right one, so that when we finally meet the person, we will know how to be grateful! .
พระเจ้าอาจจะต้องการให้คุณพบกับคนที่ทำให้คุณเสียใจบ้าง ก่อนที่คุณจะพบคนที่ทำให้คุณสุขใจ
เพื่อที่ว่า เมื่อคุณพบเขาคนนั้นแล้ว คุณจะได้รับรู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร

11. Don't cry because it is over, smile because it happened.
อย่าร้องไห้กับช่วงเวลาที่จบลง แต่จงยิ้ม เพราะช่วงเวลานั้นได้เกิดขึ้นกับคุณ

12. There's always going to be people that hurt you, so what you have to do is keep on trusting and just be more careful about who you trust next time around.
ไม่แปลกหรอกนะที่คุณจะเจ็บปวดเพราะใครบางคน ดังนั้น สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ อย่ากลัวที่จะเชื่อใจใคร เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังกับคนที่จะเชื่อใจครั้งต่อไป

13. Make yourself a better person and know who you are before you try and know someone else and expect them to know you.
ทำตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น และรู้จักตัวเองว่าตัวเองเป็นอย่างไร ก่อนที่คุณจะพยายามรู้จักผู้อื่น และต้องการให้ผู้อื่นรู้จักคุณ

14. Don't try so hard, the best things come when you least expect them to.
อย่าพยายามมากเกินไป เพราะสิ่งที่ดีที่สุดมันจะได้มาอย่างไม่คาดหวัง

15. "People are like stained glass windows. They sparkle and shine when the sun is out, but when the darkness sets in, their true beauty is revealed only if there is a light from within. "
คนเรามันก็เหมือนกับกระจกสี ที่มักจะส่งแสงระยิบระยับล้อหลอกกับแสงอาทิตย์ แต่เมื่อความมืดคลืบคลานมาเยือน ก็สามารถแสดงความงามที่แท้จริงที่สะท้อนออกมาจากภายใน

16. "Lucky is the man who is the first love of a woman but Luckier is the woman who is the last love of a man. "
จะเป็นสิ่งที่ดีมากเลยถ้าชายหนุ่มได้เป็นรักครั้งแรกของหญิงสาว แต่จะดีไปกว่านั้น หากหญิงสาวได้เป็นรักครั้งสุดท้ายของชายหนุ่ม

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มหาเศรษฐีที่เกือบตาย แต่รอดได้เพราะพลังบุญ


ผมชักเริ่มสงสัยขึ้นทุกทีแล้วครับ ว่าตกลงแล้ว การที่คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญ นั่นเพราะเรามีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างเหนียวแน่น หรือแท้ที่จริงเราถูกปลูกฝังความเชื่ออะไรบางอย่างภายใต้จิตสำนึกของเรา ภาพลักษณ์ของการทำบุญเท่าที่เรานึกออกคือ การทำบุญเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หลายครั้งมันอยู่ในรูปแบบการเสียสละ แต่ในหลายๆครั้ง การทำบุญถูกนำไปใช้ในรูปแบบของการลงทุน ทำด้วยทรัพย์จำนวนเท่านี้ และขอพรด้วยจำนวนเท่านั้น การทำบุญที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา คือความสบายใจที่เกิดขึ้นทั้งก่อน ขณะ และหลังทำบุญ ถ้าหวังมากกว่านี้น่าจะเรียกว่าเป็นความโลภได้

และถ้าคุณได้เคยอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องอิทธิฤทธิ์ของบุญ แล้วก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นจะเชื่อก็ดูเหมือนงมงาย ครั้นจะไม่เชื่อก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกศาสนา เพราะมีแต่คนการันตีๆเอาว่าทำบุญแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่ไม่มีใครสามารถเอาหลักฐานมาตั้งให้เห็นและจับต้องได้ ทั้งที่ชีวิตนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี แล้วเราจะเลือกที่จะเชื่อเรื่องของการทำบุญได้อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด โดยที่เราสามารถจับต้องได้ มีหลักการและเหตุผล ไม่งมงาย รวมไปถึงสามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยา

ฉะนั้น เรื่องราวในวันนี้ ผมจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ ที่ได้อานิสงค์จากการทำบุญในปัจจุบันชาติจริง โดยที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่น่าจะมีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม เรียกได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนทำบุญที่ไม่ได้ตั้งความเชื่อพื้นฐานเรื่องการทำบุญเหมือนชาวพุทธเลยด้วยซ้ำ ชีวิตการทำบุญของเขา เริ่มต้นจากศูนย์

เขาชื่อว่า John d Rockefeller ผู้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil

ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมขอเล่าง่ายๆ ว่าเขาเป็นอภิมหาเศรษฐีโครตรวย รวยโครตๆ รวยจนน่าตกใจ เนื่องจากเขาเป็นคนรวยมาก นิสัยของเขาจึงร้ายมากเช่นกัน เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ วิตกจริต ชอบเป็นทุกข์ และไม่ยอมปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเลยแม้แต่เรื่องเดียว ด้วยความเครียดต่างๆ นานา แต่ความที่เขาใช้ชีวิตอย่างไม่ปล่อยวาง ในตอนที่เขามีอายุครึ่งค่อนคน ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ

ความเครียดทำให้สุขภาพเขาทรุดโทรม  หัวล้าน เขารับประทานอาหารแทบไม่ได้ ต้องทานอาหารที่ไม่มีใครอยากทานคือ "นมคน" เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เขาคือมหาเศรษฐีที่น่าอนาจที่สุดคนหนึ่ง เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของเขา ทำให้เขาหาคนที่เข้าใจเขาได้ยากมาก

ความเครียดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เขานอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย เมื่อถึงขีดสุดของสุขภาพทั้งกายและใจ แพทย์ลงความเห็นให้เขาเลิกใช้ชีวิตของเขากับธุรกิจ ถ้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย ความตายจะมาเยือนเขาอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถมอบให้ได้คือคำแนะนำให้เขา "วางมือ" และลองเดาสิครับ ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร

เขาตัดสินใจ แขวนนวม ภาระและหน้าที่ทุกอย่างถูกวางไว้ตรงนั้นเพื่อรักษาชีวิต แต่ถึงเขาวางมือจากการทำงานของเขาก็จริง อุปนิสัยของเขาที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต มันจะหายไปง่ายๆ เชียวหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนขี้ระแวง ชอบวิตกกังวล และอมทุกข์ซะขนาดนั้น

ต่อให้แพทย์ให้คำแนะนำที่ดีก็จริง แต่ในทัศนะความเห็นของแพทย์ที่รักษาตัวเขาก็ลงความเห็นว่าเขาจะสามารถมีชีวิตได้อีกประมาณ 2 ปี หมายถึงเขาอาจจะต้องตายลงด้วยโรคสารพัดที่รุมเร้าอันมาจากนิสัยของเขาเองภายในวัย 54 ปีเท่านั้น

ระหว่างที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคของเขาที่เขาไม่ต้องการ เขามีเวลามากพอที่จะทำให้เขาเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองทีละเล็กละน้อย การปล่อยวางจากธุรกิจของเขาทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น  และความผ่อนคลายนั้นมั้ง ที่ทำให้เขาเริ่มคำนึงถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต และเขาอยากแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่แล้ว เขาเริ่มนึกถึงคนอื่น เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ จึงจะสามารถสร้างความสุขให้กับคนทั้งโลกได้

และด้วยความรู้สึกตรงนี้เอง ที่ทำให้เขาเริ่มบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสาธารณกุศล

ในหนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวของเขาได้กล่าวถึงขนาดที่ว่า แหล่งที่รับบริจาคปฏิเสธที่จะรับเงินของเขา เพราะชื่อเสียงของเขาที่มีแต่เรื่องเสียๆ ทั้งนั้น ซึ่งเขาไม่สนใจ เขายังคงบริจาคต่อไป

เขาช่วยเหลือมหาวิทยาลัยในประเทศยากจนให้รอดพ้นจากการถูกยึด บริจาคเงินหลายล้านเหรียญเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ปฏิรูปกิจกรรมการเรียนการสอน ผลก็คือมหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เหมือนเดิม เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาบริจาคต่อไป

เขาตั้งมูลนิธิของเขาขึ้นมา ชื่อมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บให้กับคนทั้งโลก

มาเข้าคำถามสำคัญ เขาได้รับอะไรจากการบริจาค สิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ชัดเลย คือเขาไม่มีนิสัยขี้กังวล หวาดระแวง อมทุกข์ เครียด และนอนไม่หลับอีกต่อไป ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งวันที่ธุรกิจของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือถึงวันล่มสลาย เขาก็ยังคงสามารถมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน ไม่ยี่ะต่อเรื่องราวที่สามารถทำให้เขาทุกข์อีกต่อไป

เข้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเอาชนะความทุกข์ของเขา...

แพทย์ที่รักษาเขาเคยพยากรณ์ไว้ว่าเขาไม่น่าจะมีอายุเกิน 54 ปี แล้วรู้ไหมครับ เขาเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่

98 ปีครับ !!! จากคนใกล้ตายด้วยโรคร้ายในวัยกลางคน กลับเป็นคนที่มีอายุยาวนานถึง 98 ปี !!!

แล้วถามว่าภาพลักษณ์ของเขาที่ยังคนตราตรึงอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ก็ลองไปค้นหาใน Google ดูสิครับ ว่าเขามีคนให้ร้ายกับยกย่องอย่างไหนมากกว่า

นี่คือเรื่องน่าเหลือเชื่อ และพิสูจน์ได้ว่าอานิสงค์ของการทำบุญนั้นสามารถปรากฏได้ในปัจจุบัน ณ ชาติ จริงๆ เขาตายไปแล้ว เรายังไม่ตาย เราจะลองเริ่มช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนกันซักทีดีไหมครับ

เครดิต: http://www.thaiseoboard.com

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รักแรกพบ


ชายหนุ่มวัย 18 คนหนึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง... มะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถเยียวยารักษาให้หายได้อีกแล้ว และก็พร้อมจะจากไปในทุกขณะ เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอด มีคุณแม่เป็นผู้ดูแล

แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันอันจำเจซ้ำซาก อยากจะออกไปนอกบ้านสักครั้ง เมื่อรับรู้ความในใจของบุตรชายเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยผู้เป็นมารดาจะไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาจึงมีโอกาสออกไปเดินเล่นละแวกบ้าน ผ่านร้านค้ามากมาย...จวบจนพบร้านขายซีดีแห่งหนึ่ง

เขาก็ต้องหยุดชะงัก จ้องมองเข้าไปในร้านแห่งนั้น..ที่นั่นเขาได้เห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง และในทันใดชายหนุ่มก็แจ่มชัดอย่างยิ่งว่าเธอคือรักแรกพบของเขาที่อุบัติขึ้น ณ บัดนั้น

เขาเดินเข้าไปข้างในร้าน ขณะสายตาจับจ้องอยู่แต่เธอ กระทั่งมาหยุดยื่นตรงหน้าเธอโดยไม่รู้ตัว "จะให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างคะ" เธอเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัส มันทำให้เขาอยากประทับริมฝีปากเธอในทันที เขาตอบตะกุกตะกักออกไปว่า "เอ้อ ผมอยากได้ซีดีสักแผ่นครับ"

จากนั้นก็ทำทีหันไปเลือกซีดีได้แผ่นหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้งเพื่อชำระเงิน  "คุณอยากให้ฉันห่อกระดาษด้วยมั้ยคะ" เธอถามพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยอีกหน เขาพยักหน้า เธอจึงหันหลังไปจัดการให้จนเสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม กลับมาถึงบ้านเขาจัดการเก็บแผ่นซีดีไว้ในตู้ เพราะไม่ได้สนใจบทเพลงในแผ่นซีดีแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาสนใจก็คือคนขายนั่นต่างหาก

หลังจากวันนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็แวะเวียนไปที่นั่นเป็นประจำทุกวัน ซื้อซีดีมาวันละแผ่นเสมอ พร้อมกับอนุญาตให้หญิงสาวห่อกระดาษทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อกลับมาบ้านก็เก็บมันไว้ในตู้เหมือนที่เคยปฏิบัติมา เขารู้สึกขวยเขินที่จะชวนเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งๆ ที่เบื้องลึกนั้นปรารถนาเหลือเกิน แต่ก็...ไม่กล้าพอ!

เมื่อคนเป็นแม่รับรู้ในเวลาต่อมาท่านก็คะยั้นคะยอให้ลูกชายทำตามใจปรารถนาของตน รุ่งขึ้นเขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมด ไปยังร้านนั้นอีกครั้ง ซื้อซีดีหนึ่งแผ่นเหมือนวันก่อนๆ และระหว่างที่เธอหันหลังให้นั้น  เขาก็ตัดสินใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนไว้บนโต๊ะก่อนวิ่งออกจากร้านไป  สองสามวันต่อมาคุณแม่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จึงรับสายและพูดว่า "สวัสดีค่ะ" หญิงสาวในร้านขายซีดีนั่นเองที่เป็นผู้โทรมา  เมื่อสาวน้อยถามหาคนเป็นลูกชาย ผู้เป็นแม่ก็เริ่มร่ำไห้ แล้วบอกว่า "หนูคงไม่รู้หรอกว่า...เขาเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เอง"

ถัดจากนั้นเสียงจากคนถามก็คล้ายจะถูกปลิด คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของผู้เป็นแม่ ในวันนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็เข้าไปในห้องของลูกชายเพื่อหวนระลึกถึงเขาอีกครั้ง... เริ่มด้วยการสัมผัสเสื้อผ้าที่เขาเคยสวมใส่ และทันทีที่เปิดประตูตู้ ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบซีดีที่ยังห่อกระดาษไว้ กองอยู่เต็มไปหมด คุณแม่เลือกหยิบมาแผ่นหนึ่ง นั่งลงบนเตียงและเริ่มแกะออกดู ทันใดนั้นก็มีกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งหล่นลงมา  คุณแม่หยิบมันขึ้นมาอ่าน "สวัสดีค่ะ คุณดูน่ารักจังเลย คิดอยากออกไปเที่ยวกับฉันบ้างรึเปล่า"  กระทั่งเธอแกะซีดีแผ่นถัดๆ มา ก็ยังพบกระดาษแผ่นเล็กๆ มีข้อความเช่นเดิม...

ไง....อ่านแล้วรู้สึกดีๆ กันมั่งมั้ย.....อ่านแล้วคิดได้ว่า เวลาของชีวิตแต่ละคนสั้นนัก เพราะฉะนั้น จงทำในสิ่งที่อยากซะ! ก่อนจะสายไป!!!

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เรื่องราวของช่างไม้คนหนึ่ง


มีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง
ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้าง
เกี่ยวกับความต้องการที่จะเกษียณและใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา
ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่าเขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ
แต่เขาก็ต้องการที่จะเกษียณ

นายจ้างก็บ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป
แต่ก็ได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก 1 หลัง
ช่างไม้ผู้นั้นก็ตอบตกลง ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จ
ก็พบว่ามันไม่ใช่งานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย
งานที่ออกมาก็เป็นงานแค่เปลือกนอก(จอมปลอม)
วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ
มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย

และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ของช่างผู้นี้
นายจ้างก็ได้ยื่นกุญแจให้แล้วบอกกับช่างไม้ว่า
"นี่คือบ้านของคุณ .......ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ"

เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น
ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า
น่าละอายจริงๆ
ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่
เขาก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้

เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง
ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆ วันละเล็กวันละน้อย
และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการสรรสร้างชีวิตของตนเอง
และเมื่อวันๆ หนึ่งมาถึงเราก็จะตระหนักว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด
และเมื่อถึงวันนั้นเรามักจะพูดเสมอว่าถ้าเราสามารถกลับไปได้
เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น

แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
.....เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้........

ในทุกๆวัน พวกเรากำลังตอกตะปู, ปูกระดาน
หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเองดังคำพูดที่ว่า
"ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง"
ทัศนคติ และทางเลือกต่างๆ ที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้
ก็เสมือนกับการสร้าง"บ้าน" (ชีวิต)
ที่เราจะต้องอยู่กับมันให้กับตัวเอง

.......ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด.........จงจำไว้ว่า

"จงทำงานเหมือนกับว่าเราไม่ต้องการเงินทอง"
"จงรู้สึกรักราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักเจ็บ"
"จงเต้น(ร่าเริง)ราวกับว่าไม่มีใครจ้องมองอยู่"

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

A-Z Friends เพื่อน จาก A ถึง Z


Always be homest , would you want them to lie to you?
จงซื่อสัตย์เสมอ...... คุณต้องการให้เพื่อนโกหกคุณเหรอ

Be there when they need you, or you may wind up alone
จงอยู่เคียงข้างเมื่อเขาต้องการ.....หรือคุณต้องการจะอยู่คนเดียว

Cheer them on, wi all need encouragement now and then
ให้กำลังใจ......เราทุกคนต่างก็ต้องการการสนับสนุนเป็นบางครั้ง

Don't look for their faults, even if you have none
อย่ามองหาข้อผิดพลาดของเขา.....แม้ว่าคุณจะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว

Encourage their dreams, what would we be without them?
สนับสนุนให้เขาทำตามความฝัน.......เราจะอยู่อย่างปราศจากความฝันได้อย่างไร

Forgive them, you just may do somethin wrong sometime
ให้อภัย ....คุณอาจจะเคยทำผิดพลาดในบางเวลา

Get together often, misery loves company, so does glee
เจอกันบ่อยๆ...... เมื่อมีความทุกข์ ต้องมีเพื่อนเพราะการคบค้าสมาคมทำให้เกิดความสนุกสนาน

Have faith in them, the human animal is remarkable
มีศรัทธาในเพื่อน.....การมีศรัทธาเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น

Include them, you mayneed to be included sometime
รวมเขาเข้าไปด้วย......คุณก็อาจจะต้องการถูกรวมบ้างบางครั้ง

Just be there when they need you
อยู่ข้างๆ.......เมื่อเขาต้องการคุณ

Know when they need a hug, and couldn't you use one?
รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการให้กอด...เคยกอดเพื่อนบ้างหรือยัง

Love them unconditionally, that is the only condition
รักโดยไร้ข้อแม้........นี่เป็นเพียงเงื่อนไขข้อเดียวเท่านั้น

Make them feel spicial, because aren't we all special?
ทำให้เขารู้สึกเป็นคนพิเศษ.. เพราะเราทุกคนก็เป็นคนพิเศษไม่ใช่เหรอ

Never forget them, who wants to feel forgotten
อย่าลืมเพื่อน........ ใครบ้างอยากถูกลืม

Offer to help, and know when " Nothanks" is just politeness
เสนอตัวที่จะช่วยเหลือ......และควรรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คำว่า "ไม่เป็นไร ขอบคุณ "เป็นคำพูดแค่เพื่อมารยาท

Praise them honesly and openly
ยกย่องเพื่อนอย่างจริงใจ และเปิดเผย

Quietly desagree, noisy No's make enemies
อย่าโต้แย้งอย่างโจ่งแจ้ง........การทำเช่นนั้นก่อให้เกิดศัตรู

Really listen, a friendly ear is a soothing balm
ตั้งใจรับฟัง.......การรับฟังของเพื่อนคือยารักษาอาการ

Say you're sorry, don't let them assume it
กล่าวคำขอโทษ.......อย่าปล่อยให้เพื่อนต้องสันนิษฐานเอาเอง

Talk frequently, connunication is important
พูดคุยกันบ่อยๆ ........การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ

Use good judgement
ใช้ข้อตัดสินที่ดี

Verbalsise your feelings
อธิบายความรู้สึกของคุณเป็นคำพูด

Wish them luck, hopeftlly good
อวยพรให้โชคดี ..........หวังว่าเขาจะพบแต่เรื่องดี

Xamine your motives before you "help" out
ตรวจสอบเจตนาของคุณ ก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ

Your words count, use them wisely
คำพูดของคุณมีค่า ......จงใช้อย่างชาญฉลาด

Zip your lips when they told a secret
ปิดปากให้สนิทเมื่อเพื่อนบอกความลับ

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ


วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น .... ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ.... เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย

เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิดแม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ  และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ

พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ..... หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก... หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก..... สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน !!

พ่อกลับนั่งลง ... หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง

พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า "ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ..... ต่อไปไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้มาให้ขีดเขียนบนหนังสือ แสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย.... เหมือนกับที่พี่ ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"

"ว้าว..." ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?  นานๆ ครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น  "อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง"  ซึ่งนั่นก็คือ "คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ"

ลองมองย้อนดูตัวคุณเองในแต่ละวัน เหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า....

"เดี๋ยวผมเทเองก็ได้" นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน..... เพราะอาหารมื้อนั้น ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว... แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป... ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารัก ละเอาใจใส่ผมมากเท่าใด.... อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว.....

แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก... แล้วคุณละคะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือยัง?

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดบางประการที่เติมคุณค่าให้กับชีวิตเรา

จริงอยู่ ที่มิตรภาพไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่า มันเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความทุกข์
ไม่มีใครดีใจอย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข
เมื่อนั้นคุณเรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว

อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวด
ความทรมานที่ได้ประสบผ่านไปกับอดีตด้วย
อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อใคร ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา
แต่มันทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น

อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข
ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องที่สำคัญ
จงอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ
แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุก ๆ วัน

ไม่ใช่แค่วันหยุดหรือวันเกิด
ถ้าคุณยืมมา (จงคืน)
ถ้าคุณทำพัง (จงซ่อม)
ถ้าคุณรู้แล้ว (ปล่อยมัน)
ถ้าคุณต้องการ (ร้องขอ)
ถ้าคุณใช้ (ทำให้สะอาด)
ถ้าคุณใส่ (แขวนไว้ที่เดิม)
ถ้าคุณทำผิดพลาด (แสดงความรับผิดชอบ)
ถ้าคุณเชื่อ (คุณจะประสบความสำเร็จ)
ถ้าเป็นเจ้าของ(จงปกป้อง)
ถ้ามี (จงแบ่งปัน)
ถ้าคุณรักใครสักคน (จงแสดงออก)

ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาส
ซึ่งนำพาทั้งความสุขและบทเรียนมาให้คุณ
เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
อย่างน้อยที่สุด ก็มีคนที่รักคุณอย่างจริงใจ นั่นคือ
พ่อแม่ของคุณเอง

จากคุณ : ผู้ใหญ่ลี แห่ง pantip.com

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

I กับ U อะไรสำคัญกว่ากัน


วันนี้เพื่อนน้ำใจส่ง forward mail มาให้  อ่านแล้วยิ้ม กับไอเดียดีๆ ของการเล่นคำในภาษาอังกฤษ เลยอยากเอามาแชร์ให้ผู้อ่านบล็อกของน้ำใจได้อ่านกันค่ะ  ชอบแล้วบอกต่อนะคะ

How can U "SM_LE" without "I"
How can U be "F_NE" without "I"
How can U "W_SH" without "I"
How can U be "FR_END" without "I"
"I" am very important..!
But "I" can never achieve S_CCESS without "U"..!
And that makes "U" more important than "I 

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสน่ห์ผ้าขี้ริ้ว เสน่ห์ของคน

1. ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

2. ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

3. ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

4. ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

5. ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

6. ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

7. ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

8. ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

9. ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครั้งนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง 

เราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง