หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มหาเศรษฐีที่เกือบตาย แต่รอดได้เพราะพลังบุญ


ผมชักเริ่มสงสัยขึ้นทุกทีแล้วครับ ว่าตกลงแล้ว การที่คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญ นั่นเพราะเรามีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างเหนียวแน่น หรือแท้ที่จริงเราถูกปลูกฝังความเชื่ออะไรบางอย่างภายใต้จิตสำนึกของเรา ภาพลักษณ์ของการทำบุญเท่าที่เรานึกออกคือ การทำบุญเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หลายครั้งมันอยู่ในรูปแบบการเสียสละ แต่ในหลายๆครั้ง การทำบุญถูกนำไปใช้ในรูปแบบของการลงทุน ทำด้วยทรัพย์จำนวนเท่านี้ และขอพรด้วยจำนวนเท่านั้น การทำบุญที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา คือความสบายใจที่เกิดขึ้นทั้งก่อน ขณะ และหลังทำบุญ ถ้าหวังมากกว่านี้น่าจะเรียกว่าเป็นความโลภได้

และถ้าคุณได้เคยอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องอิทธิฤทธิ์ของบุญ แล้วก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นจะเชื่อก็ดูเหมือนงมงาย ครั้นจะไม่เชื่อก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกศาสนา เพราะมีแต่คนการันตีๆเอาว่าทำบุญแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่ไม่มีใครสามารถเอาหลักฐานมาตั้งให้เห็นและจับต้องได้ ทั้งที่ชีวิตนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี แล้วเราจะเลือกที่จะเชื่อเรื่องของการทำบุญได้อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด โดยที่เราสามารถจับต้องได้ มีหลักการและเหตุผล ไม่งมงาย รวมไปถึงสามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยา

ฉะนั้น เรื่องราวในวันนี้ ผมจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ ที่ได้อานิสงค์จากการทำบุญในปัจจุบันชาติจริง โดยที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่น่าจะมีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม เรียกได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนทำบุญที่ไม่ได้ตั้งความเชื่อพื้นฐานเรื่องการทำบุญเหมือนชาวพุทธเลยด้วยซ้ำ ชีวิตการทำบุญของเขา เริ่มต้นจากศูนย์

เขาชื่อว่า John d Rockefeller ผู้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil

ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมขอเล่าง่ายๆ ว่าเขาเป็นอภิมหาเศรษฐีโครตรวย รวยโครตๆ รวยจนน่าตกใจ เนื่องจากเขาเป็นคนรวยมาก นิสัยของเขาจึงร้ายมากเช่นกัน เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ วิตกจริต ชอบเป็นทุกข์ และไม่ยอมปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเลยแม้แต่เรื่องเดียว ด้วยความเครียดต่างๆ นานา แต่ความที่เขาใช้ชีวิตอย่างไม่ปล่อยวาง ในตอนที่เขามีอายุครึ่งค่อนคน ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ

ความเครียดทำให้สุขภาพเขาทรุดโทรม  หัวล้าน เขารับประทานอาหารแทบไม่ได้ ต้องทานอาหารที่ไม่มีใครอยากทานคือ "นมคน" เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เขาคือมหาเศรษฐีที่น่าอนาจที่สุดคนหนึ่ง เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของเขา ทำให้เขาหาคนที่เข้าใจเขาได้ยากมาก

ความเครียดทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เขานอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย เมื่อถึงขีดสุดของสุขภาพทั้งกายและใจ แพทย์ลงความเห็นให้เขาเลิกใช้ชีวิตของเขากับธุรกิจ ถ้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย ความตายจะมาเยือนเขาอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถมอบให้ได้คือคำแนะนำให้เขา "วางมือ" และลองเดาสิครับ ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร

เขาตัดสินใจ แขวนนวม ภาระและหน้าที่ทุกอย่างถูกวางไว้ตรงนั้นเพื่อรักษาชีวิต แต่ถึงเขาวางมือจากการทำงานของเขาก็จริง อุปนิสัยของเขาที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต มันจะหายไปง่ายๆ เชียวหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนขี้ระแวง ชอบวิตกกังวล และอมทุกข์ซะขนาดนั้น

ต่อให้แพทย์ให้คำแนะนำที่ดีก็จริง แต่ในทัศนะความเห็นของแพทย์ที่รักษาตัวเขาก็ลงความเห็นว่าเขาจะสามารถมีชีวิตได้อีกประมาณ 2 ปี หมายถึงเขาอาจจะต้องตายลงด้วยโรคสารพัดที่รุมเร้าอันมาจากนิสัยของเขาเองภายในวัย 54 ปีเท่านั้น

ระหว่างที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคของเขาที่เขาไม่ต้องการ เขามีเวลามากพอที่จะทำให้เขาเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองทีละเล็กละน้อย การปล่อยวางจากธุรกิจของเขาทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น  และความผ่อนคลายนั้นมั้ง ที่ทำให้เขาเริ่มคำนึงถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต และเขาอยากแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่แล้ว เขาเริ่มนึกถึงคนอื่น เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ จึงจะสามารถสร้างความสุขให้กับคนทั้งโลกได้

และด้วยความรู้สึกตรงนี้เอง ที่ทำให้เขาเริ่มบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสาธารณกุศล

ในหนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวของเขาได้กล่าวถึงขนาดที่ว่า แหล่งที่รับบริจาคปฏิเสธที่จะรับเงินของเขา เพราะชื่อเสียงของเขาที่มีแต่เรื่องเสียๆ ทั้งนั้น ซึ่งเขาไม่สนใจ เขายังคงบริจาคต่อไป

เขาช่วยเหลือมหาวิทยาลัยในประเทศยากจนให้รอดพ้นจากการถูกยึด บริจาคเงินหลายล้านเหรียญเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ปฏิรูปกิจกรรมการเรียนการสอน ผลก็คือมหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เหมือนเดิม เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาบริจาคต่อไป

เขาตั้งมูลนิธิของเขาขึ้นมา ชื่อมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บให้กับคนทั้งโลก

มาเข้าคำถามสำคัญ เขาได้รับอะไรจากการบริจาค สิ่งที่คนทั่วไปเห็นได้ชัดเลย คือเขาไม่มีนิสัยขี้กังวล หวาดระแวง อมทุกข์ เครียด และนอนไม่หลับอีกต่อไป ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งวันที่ธุรกิจของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือถึงวันล่มสลาย เขาก็ยังคงสามารถมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน ไม่ยี่ะต่อเรื่องราวที่สามารถทำให้เขาทุกข์อีกต่อไป

เข้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเอาชนะความทุกข์ของเขา...

แพทย์ที่รักษาเขาเคยพยากรณ์ไว้ว่าเขาไม่น่าจะมีอายุเกิน 54 ปี แล้วรู้ไหมครับ เขาเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่

98 ปีครับ !!! จากคนใกล้ตายด้วยโรคร้ายในวัยกลางคน กลับเป็นคนที่มีอายุยาวนานถึง 98 ปี !!!

แล้วถามว่าภาพลักษณ์ของเขาที่ยังคนตราตรึงอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ก็ลองไปค้นหาใน Google ดูสิครับ ว่าเขามีคนให้ร้ายกับยกย่องอย่างไหนมากกว่า

นี่คือเรื่องน่าเหลือเชื่อ และพิสูจน์ได้ว่าอานิสงค์ของการทำบุญนั้นสามารถปรากฏได้ในปัจจุบัน ณ ชาติ จริงๆ เขาตายไปแล้ว เรายังไม่ตาย เราจะลองเริ่มช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนกันซักทีดีไหมครับ

เครดิต: http://www.thaiseoboard.com