หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

Your Choice


When we wake up in the morning,
we have two simple choices.

Go back to sleep and dream,
or wake up and chase those dreams.

Choice is yours...

ที่มา: mail forward

Are You Busy? No Time?


When you keep saying you are busy,
then you are never free.

When you keep saying you have no time, 
then you will never have time.

When you keep saying that you will do it tomorrow,
then your tomorrow will never come.

ที่มา: mail forward

Who you are?


Never explain yourself to any one.

Because the person who likes you doesn't need it, 
and the person who dislikes you won't believe it.


ที่มา: mail forward

What Makes Best Relationship?


Don't let someone become a priority in your life,
When you are just an option in their life...

Relationships work best when they are balanced.

ที่มา: mail forward

It's Never Too Late To Change


We make them cry who care for us.
We cry for those who never care for us.
And we care for those who will never cry for us.

This is the truth of life., its strange but true.
Once you realize this, its never too late to change.

ที่มา: mail forward

Think Twice, Act Wise


Don't make promise when you are in joy.
Don't reply when you are sad.
Don't take decision when you are angry.

Think twice..., act wise.


ที่มา: mail forward

What time like?


Time is like a river.
You can not touch the same water twice,
because the flow that has passed will never pass again.

Enjoy every moment of life...


ที่มา: mail forward

Do You Forget to Live?


First I was dying to finish my high school and start college
And then I was dying to finish college and start working
Then I was dying to marry and have children.  
And then I was dying for my children to grow old enough 
so I could go back to work.
But then I was dying to retire. And now I'm dying.
And suddenly I realized I forgot to live.

Please don't let this happen to you.
Appreciate your current situation and enjoy each day.


ที่มา: mail forward

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

เชอรี่พันธุ์ดี


เรื่องมีอยู่ว่า
มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา
ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแล
เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ดีนี้
และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ ใสปุ๋ย ดูแลมันอย่างดี เป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว

อยู่มาวันหนึ่งขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน
ลูกชายชื่อจอร์จซึ่งได้ขวานเล็ก ๆ อันใหม่มา ด้วยความซนก็ฟันนู่นฟันนี่
แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้า ต้นเชอรี่ค่อย ๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้น เหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว

เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดังว่า

"จอร์จ มานี่ซิ " จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ
คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า "จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้"
จอร์จก้มหน้า แต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า
"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับว่า ผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"

คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" ….
จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ
คุณพ่อก็เข้ามาในห้องและถามจอร์จว่า
"ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ"
จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ
ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"
แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอาย

แล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า
"จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป  แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูกของพ่อซื่อสัตย์และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง  ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"

จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้ และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมา
จนแม้กระทั่งในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน
ฟังแล้วประทับใจในวิธีการสอนของคุณพ่อ แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของ แต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนด้วยถ้อยคำที่ทำให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต  ถ้าคุณพ่อทำโทษแรงๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ได้…..

ในชีวิตมีสักครั้งไหม ที่เราจะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่
แทนที่จะมัวแต่เสียดายสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน....

ปรัชญาชีวิตกับหินก้อนใหญ่

วิทยากรที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารเวลาผู้หนึ่ง 
บรรยายให้กับนักศึกษาฟัง 
ท่านวิทยากรหอบเอาโถแก้วและ
ก้อนหินใหญ่น้อยมาวางไว้ที่หน้าชั้นเรียน 
แล้วจึงเริ่มกระบวนการสอน..

เริ่มต้นด้วยการใส่หินลงไปในโหลแก้ว
โดยใส่หินก้อนใหญ่ลงไปจำนวนหนึ่ง
แล้วก็ถามผู้ที่เข้าฟังว่าโถนี้เต็มหรือยัง 

นักศึกษาก็บอกว่ายังไม่เต็ม 
วิทยากรจึงให้ผู้ฟังลองใส่หินก้อนเล็กๆ ลงไปอีกหลายก้อน
แต่ยังมีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างหิน 
จึงเททรายใส่ลงไป 
และเพื่อให้มั่นใจว่าโหลเต็มจริงๆ 
สุดท้ายจึงเทน้ำใส่ลงไปจนต็มโหล 

วิทยากรท่านนั้นถามว่า 
"จากขวดโหลนี้คุณเห็นอะไรบ้าง?"
มีคนตอบว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"
อีกคนตอบว่า "เราหาเวลาเพิ่มได้เสมอหากว่ามีความตั้งใจจริง"

วิทยากรบอกว่า ผิด 
ขวดโหลนี้แสดงให้พวกคุณเห็นว่า 
"หากไม่เอาหินก้อนใหญ่ใส่เข้าไปตั้งแต่แรก 
ก็จะไม่ทางเอามันใส่เข้าไปได้เลย 
เหมือนชีวิตคนเราต้องเอาเรื่องใหญ่ๆ ก่อนแล้ว 
ค่อยเติมให้เต็มด้วยเรื่องรองๆ ลงมาตามลำดับ"

"อะไรคือหินก้อนใหญ่ในชีวิตของเรา?
...การใช้เวลากับคนที่เรารัก? 
ความเชื่อ ความศรัทธา ความหวังและความฝัน? 
การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม?

...ก่อนนอนคืนนี้ไปคิดซะ แล้วเอาหินก้อนใหญ่ใส่ไว้ก่อน"

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

คู่มือเลี้ยงแม่

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด
นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้
ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆ
ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรา
มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน
เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ
เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ
พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง
คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ
"มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว"
ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย
เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก
โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ
มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ
เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม
คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ
เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น
ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ
ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ
ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ
บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้
เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ
สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน
แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย
ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ
ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ
เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น
วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที
ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย
ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง
พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย
พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ
เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้
มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ
ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน
ดีนะ ว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ
ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม
เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ ใช่มั้ย
เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน
คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ
ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ
ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ
แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วย ว่าเราจะไปทำอะไร
อยากเป็นอะไร
แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย พวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา
อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า
เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย
นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที
ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ
วันที่เราย้ายออกมาน่ะ
มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ
แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ
ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย
เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้
เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ
แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ บอกไม่ค่อยสบาย
เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ
นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว
อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้
ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ
...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...
อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้
ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป
เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้
ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ
อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ
วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง
หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ
ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้
ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้
ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว
วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า
ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ
ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น
คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ
ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น
แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด
...ผู้หญิงคนนั้น
นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...
เก็บมาให้คิด

จากคอลัมน์ แกว่งเท้าหาเสี้ยน โดย พิง ลำพระเพลิง
มติชน 10 มิถุนายน 2544

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

แครอท ไข่ และกาแฟ

วันหนึ่งลูกสาวพร่ำบนถึงชีวิตอันแสนลำเค็ญให้พ่อฟังว่า เธอกำลังรู้สึกอับจนปัญญาที่จะจัดการกับชีวิตและอยากยอมแพ้เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการแข่งขัน ประหนึ่งว่าเมื่อสางปัญหาหนึ่งเสร็จสิ้น อีกปัญหาหนึ่งก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นพ่อครัวจึงเดินนำเธอเข้าไปในครัว จัดแจงต้มน้ำในหม้อสามใบด้วยไฟแรงจนน้ำเดือด เขาใส่แครอทในหม้อใบแรก วางไข่ลงในหม้อใบที่สอง และตักกาแฟลงไปในหม้อใบสุดท้าย แล้วปล่อยให้มันต้มไปเรื่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายเลย

ฝ่ายลูกสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิดและหมดความอดทน ทั้งยังสงสัยว่าพ่อกำลังทำอะไร ยี่สิบนาทีผ่านไป เขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักแครอทขึ้นมาวางไว้ในชาม นำไข่วางไว้ในชามอีกใบหนึ่ง และตักกาแฟไว้ในชามสุดท้าย แล้วหันไปถามลูกว่า

"ลูกเห็นอะไรบ้าง"
"แครอท ไข่ กาแฟ" เธอตอบ

เขาจึงขอร้องให้เธอสัมผัสแครอท เธอจึงรู้ว่ามันนิ่ม แล้วเขาก็ให้ลูกสาวตอกไข่ เมื่อเธอแกะเปลือกไข่ออก ก็พบว่าไข่นั้นได้ต้มจนสุกแล้ว ท้ายที่สุดเขาให้ลูกสาวลองจิบกาแฟดู เธอยิ้มและลิ้มรสอันหอมกรุ่นนั้น แล้วค่อยๆถามว่า "นี่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ"

พ่ออธิบายว่า เราได้กระทำต่อสามสิ่งนี้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน นั่นคือ น้ำเดือด แต่ผลลัพธ์มันกลับแตกต่างกัน จากเดิมแครอทดูแข็งๆ และไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พอผ่านการต้มมันกลับนิ่มและดูอ่อนปวกเปียก ไข่ซึ่งดูบอบบาง มีเพียงเปลือกบางๆ คอยห่อหุ้มของเหลวภายใน แต่น้ำเดือดทำให้ของเหลวนั้นกลับแข็งขึ้น ขณะที่กาแฟกลับมีลักษณะเฉพาะตัวตลอดกาล เมื่อมาเจอน้ำเดือด น้ำต่างหากที่แปรเปลี่ยนไป

แล้วลูกล่ะเป็นอะไร พ่อถามลูกสาว เมื่อความทุกข์มาเยือน ลูกจะเตรียมรับมืออย่างไร ลูกเป็นแครอท ไข่ หรือ กาแฟ

แล้วคุณล่ะ?

แครอทนั้นดูแข็งโป๊กแต่เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากนานาก็จะเฉา อ่อนแอ และสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังไป

หรือจะเป็นไข่ซึ่งดูสามารถปรับสภาพได้ในตอนแรก จิตใจอันอ่อนไหวของคุณจะเป็นอย่างไรหลังจากที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การแตกแยก การหย่าร้าง หรือการไล่ออกจากงาน หัวใจของคุณหยาบกร้าน และแข็งกระด้างขึ้นหรือเปล่า แม้เปลือกภายนอกของคุณยังคงเดิม หากหัวใจและจิตวิญญาณของคุณเล่า มันปวดร้าวและได้แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง

หรือคุณเหมือนเมล็ดกาแฟ เมื่อเจอน้ำเดือดอันนำมาซึ่งความเจ็บปวด แต่ ณ อุณหภูมิสูงสุด 100 องศาเซลเซียส กาแฟกลับมีรสชาติดีขึ้นยามนั้น หากคุณเป็นดั่งกาแฟ เมื่อถึงภาวะที่เลวร้ายที่สุด นอกจากคุณจะสามารถจัดการชีวิตตนเองได้แล้ว คุณยังสามารถทำสิ่งรอบข้างให้ดีขึ้นได้ด้วย

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

รอยตะปู กับ คำขอโทษ


กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังแสดงสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก บิดาของเขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่ง และบอกกับเขาว่า

"ทุกครั้งที่เจ้าโมโหหรือรู้สึกโกรธใครสักคน
ก็ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้าน"

หนึ่งวันผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าที่รั้วหลังบ้านถึง 38 ตัว และก็ตอกลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง และน้อยลง ทั้งนี้เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ให้โกรธนั้น ง่ายกว่าการตอกตะปูเยอะเลย และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา 
พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายของเขาว่า

"ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ลูกต้องพิสูจน์ให้พ่อเห็น
โดยทุกๆ ครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" 

วันเวลาผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว
จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3
จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด
เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า
"ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!"

พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน
และบอกกับลูกว่า
"ทำได้ดีมากลูกพ่อ ตอนนี้เจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ
เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิมอย่างที่มันเคยเป็น ...

จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์
สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้ใช้คำพูด ว่า "ขอโทษ" สักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น

กับ "เพื่อน" .. เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จ เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ ... 
แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ " ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบหากันให้ยืนยาวนั้น เราจะต้องประคองสติไว้ให้มั่น หากทำอะไรโดยใช้อารมณ์เป็นใหญ่แล้ว อาจเกิดผลเสียที่ไม่สามารถแก้ไขให้เหมือนเดิมได้ "มิตรภาพ" กว่าจะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องใช้เวลาและความจริงใจเป็นเครื่องพิสูจน์ มิตรภาพที่เกิดจากความจริงใจ ย่อมไม่สั่นคลอนง่ายๆ เพียงเพราะอารมณ์ แต่จะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเราจะรักษามิตรภาพที่มีต่อกันไว้ โดยไม่ให้มีอะไรมาทำให้เป็นรอยด่างพร้อย จงมีสติอยู่กับปัจจุบันเสมอ และเราจะสามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้อย่างมั่นคง 

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณมองโลกในแง่ไหน???

เรื่องเล่าของมุมมองที่แตกต่าง อันทำให้การมองโลกต่างกัน 
สุขทุกข์ต่างกันอยู่ที่ความคิดเรานั่นเอง 

เรื่องแรก

มีบริษัททำรองเท้าแห่งหนึ่งคิดจะไปบุกเบิกการค้าที่ตลาดแอฟริกา
จึงได้ส่งพนักงานฝ่ายการตลาดสองคนไปตรวจสอบว่า ตลาดที่แอฟริกาเป็นอย่างไรบ้าง หลายเดือนผ่านไป
พนักงานการตลาดทั้งสองคนก็กลับมา และเขียนรายงานมาส่ง แต่ทั้งสองคนกลับมีทัศนคติที่ไม่เหมือนกัน รายงานการตลาดจึงนำเสนอต่อบริษัทอย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
พนักงาน ก บอกว่า  
"ไม่มีหวังเลยครับ คนแอฟริกาไม่สวมใส่รองเท้ากันเลยสักคน"
พนักงาน ข บอกว่า 
"น่าจะไปได้สวยทีเดียวที่เราจะไปบุกเบิกที่แอฟริกา เพราะคนที่นั่นยังไม่มีรองเท้าใส่กันเลย"

เรื่องที่สอง

มีหญิงชราคนหนึ่ง เวลาฝนตกเธอก็ร้องไห้
อากาศดีเธอก็ร้องไห้ ชายหนุ่มคนหนึ่งแปลกใจจึงถามหญิงชราผู้นี้ว่า
 "เหตุใด เวลาฝนตกยายก็ร้องไห้ อากาศดีก็ร้องไห้?"

หญิงชราตอบว่า "เพราะป้ามีลูกชาย 2 คน ลูกชายคนโตขายน้ำแข็ง
ลูกชายคนเล็กขายร่ม เวลาที่อากาศดี ป้าจะคิดถึงลูกชายคนเล็กว่าต้องขายร่มได้ไม่ดีแน่นอน
และเวลาที่ฝนตกป้าก็คิดถึงลูกชายคนโต น้ำแข็งของเขาต้องขายไม่ดีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นทุกๆ วัน ป้าจึงได้กลุ้มใจและทุกข์ใจอยู่อย่างนี้"

ชายหนุ่มจึงบอกกับหญิงชราผู้นี้ว่า
"ยาย...ยายคิดผิดแล้วล่ะ!! ที่จริงแล้วทุกๆ วัน
ยายต้องดีใจถึงจะถูก วันไหนที่ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง ยายต้องดีใจกับลูกชายคนโตสิ ที่น้ำแข็งขายดิบขายดี  ถ้าวันไหนฝนตก ยายก็ต้องดีใจไปกับลูกชายคนเล็กด้วย ที่ร่มเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า"

พอหญิงชราได้ฟังดังนั้น เหมือนกับได้ตื่นขึ้นจากความฝัน
ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร
หญิงชราผู้นี้ได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข

บทสรุป


การที่คนเราจะมองโลกในแง่ดีหรือแง่ร้าย แท้จริงแล้วอยู่ที่จิตใจเราเองทั้งสิ้น เปรียบเหมือนมีน้ำอยู่แก้วหนึ่ง ถ้าดื่มไปแล้วครึ่งแก้ว คนที่มองโลกในแง่ร้าย ก็คงคิดว่า "หมดไปแล้วตั้งครึ่งแก้วเหลือแค่ครึ่งแก้วเท่านั้นเอง"  แต่ถ้าคนที่มองโลกในแง่ดีจะคิดว่า "ยังดีนะ ที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว"

แล้วท่านทั้งหลายล่ะ!! มองโลกในแง่ไหน???
ความสุขหรือความทุกข์อยู่ที่ท่านเลือกมอง

ยามเมื่อ "ยางลบกับดินสอ" ต้องจากกัน

เรื่องเล่านี้มีอยู่ว่า ...

มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่ง
มียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่ง
ดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้น 
ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน

หน้าที่ของดินสอก็คือเขียน มันจึงเขียนทุกอย่างตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบ
หน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลา

เวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมา 
จนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า "เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว"
ยางลบจึงถามว่า "ทำไมล่ะ?"
ดินสอตอบกลับไปว่า "ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลย"
ยางลบจึงเถียงว่า "เราทำตามหน้าที่ของเรา เราไม่ผิด"
... ทั้งคู่จึงแยกทางกัน

เมื่อดินสอแยกทางกับยางลบ 
มันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมัน 
แต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิด
ข้อความสวยๆ ที่มันเคยเขียน ก็สกปรก มีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมด 
มันคิดถึงยางลบจับใจ

ฝ่ายยางลบพอแยกทางเดินกับดินสอ 
มันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป 
พอเวลาผ่านไปมันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า
เพราะไม่มีอะไรให้ลบ มันคิดถึงดินสอจับใจ

ทั้งคู่จึงกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลง เขียนแต่สิ่งทีดี ส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิดเท่านั้น

ถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำ 
ดินสอในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี
แต่พอเวลาเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น

ส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืม 
ยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี 
แต่ทุกครั้งที่ลืม ตัวมันก็จะสกปรก
แต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดี หรือคือการให้อภัยนั่นเอง

ฉะนั้น เปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพ 
คือการจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง
มิตรภาพก็จะคงอยู่นานแสนนาน

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

กุหลาบแดง...เพื่อเธอชั่วนิรันดร์

กุหลาบแดงคือดอกไม้สุดโปรดของเธอ
และเธอก็ชื่อโรส ซึ่งหมายถึงกุหลาบด้วย
ทุกปีสามีของเธอจะส่งดอกกุหลาบผูกโบว์น่ารักให้
แม้กระทั่งปีที่เขาตายจากไป
เธอก็ยังได้รับดอกกุหลาบซึ่งมาส่งที่หน้าบ้าน การ์ดที่แนบมาเขียนไว้ว่า “ที่รักของผม”
เหมือนกับหลาย ๆ ปีก่อนหน้านี้ แต่ละปีที่เขาส่งดอกกุหลาบให้เธอ
เขาจะเขียนว่า ปีนี้ผมรักคุณมากกว่าที่ผมเคยรักเมื่อปีก่อน
เพราะความรักของผมเติบโดขึ้นทุกปีที่ผ่านไป”

เธอรู้ว่านี่คือกุหลาบช่อสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้รับ
เธอคิดว่าเขาคงสั่งดอกไม้ล่วงหน้าก่อนถึงวันวาเลนไทน์
โดยที่เขาไม่รู้ว่าเขาจะจากไป เขามักจะทำอะไรเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ
เพื่อที่จะได้ไม่พลาดแม้ว่าเขาจะงานยุ่งแค่ไหนก็ตาม
เธอต้ดก้านกุหลาบ แล้วจัดมันลงในแจกันสุดพิเศษ
วางไว้ข้างภาพถ่ายใบหน้าเปื้อนยิ้มของสามีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโปรดของเขา
เนิ่นนานนับชั่วโมง จ้องมองภาพถ่ายของเขา ที่มีดอกกุหลาบอยู่ด้านข้าง

หนึ่งปีผ่านไป
มันยากมากสำหรับการที่ต้องอยู่คนเดียว
โชคชะตาบันดาลให้เธอต้องกลายเป็นคนอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
แล้วกริ่งประตูก็ดังขึ้นเหมือนวันวาเลนไทน์ปีก่อนๆ
เมื่อเธอเปิดประตูก็พบกุหลาบแดงวางอยู่ที่หน้าประตู
เธอนำมันเข้ามาในบ้าน และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้รับ
ในที่สุดเธอก็กดโทรศัพท์ไปที่ร้านดอกไม้
เมื่อเจ้าของร้านมารับสาย เธอจึงถามเขาว่า
ทำไมถึงมีคนส่งดอกไม้ให้เธอ
ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด

“ผมทราบว่าสามีของ คุณจากคุณไปเมื่อปีที่แล้ว”
เจ้าของร้านตอบ “และผมก็รู้ว่าคุณต้องโทรมา
และอยากรู้ว่าใครส่งดอกไม้ไปให้ ดอกไม้ที่คุณ
ได้รับวันนี้ชำระเงินล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วครับสามีคุณเป็นคนสั่ง
ดอกไม้โดยเตรียมการไว้ล่วงหน้า ผมยังมีคำสั่งซื้อดอกไม้จาก
เขาเก็บเอาไว้ในแฟ้มอีกผมได้รับคำสั่งให้ส่งดอกไม้ให้คุณทุกปี

ยังมีอีกเรื่องนะครับที่ผมคิดว่าคุณควรจะทราบ เขาเขียนการ์ด
พิเศษเอาไว้ให้คุณใบหนึ่งเมื่อหลายปีที่แล้ว
และเขาต้องการให้ผมส่งการ์ดนี้แก่คุณ
ในปีถัดจากปีที่เขาจากคุณไปแล้ว”

เธอกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านดอกไม้แล้ววางโทรศัพท์
น้ำตาไหลอาบแก้ม
นิ้วของเธอสั่นระริกขณะเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนั้น
บนการ์ดมีลายมือของเขาที่เขียนถึงเธอ
แล้วเธอก็เริ่มอ่านมันอย่างเงียบ ๆ
ในการ์ดเขียนว่า

“หวัดดีจ้ะที่รัก ถึงตอนนี้ผมได้จากคุณไปหนึ่งปีแล้ว
หวังว่ามันคงไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเกินไปในการต่อสู้กับปีที่ผ่านมานะ
ผมรู้ว่าคุณคงรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวด
ถ้าเป็นผมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากคุณ
ความรักของเราสองคนทำให้ทุกสิ่งในชีวิตดูงดงามไปหมด
ผมรักคุณมากเกินกว่าที่จะบรรยายได้คุณคือภรรยาที่สมบูรณ์แบบ
คุณเป็นทั้งเพื่อนและคนรัก
คุณเติมชีวิตผมให้เต็ม
ผมรู้ว่ามันเพิ่งผ่านไปได้แค่ปีเดียวแต่ผมไม่อยากให้คุณตกอยู่ในความเศร้า
ผมอยากให้คุณมีความสุขแม้กระทั่งเวลาที่คุณหลั่งน้ำตา
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจะยังคงส่งดอกไม้ให้คุณต่อจากนี้อีกหลายปี
เมื่อคุณได้รับดอกกุหลาบผมอยากให้คุณนึก
ถึงความสุขตลอดระยะเวลาที่เราได้รักกัน ผมรักคุณเสมอ
และรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
แต่ที่รัก คุณต้องต่อสู้ต่อไป
ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้โปรดมองหาความสุข
ตลอดวันเวลาที่คุณยังมีชีวิตอยู่
ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย หากหวังว่าคุณคงไปถึงมันได้สักวัน
กุหลาบจะส่งถึงคุณทุกปี
และจะหยุดส่งก็ต่อเมื่อคนที่มาส่งดอกไม้เคาะประตูแล้ว
ไม่มีใครมาเปิดรับ
เขาจะมาส่งห้าครั้งในวันนั้นเผื่อว่าคุณจะออกไปธุระข้างนอก
หากครบห้าครั้งแล้วยังมอบดอกกุกลาบ
ให้คุณไม่ได้เขาจะรู้เองว่าต้องนำดอกไม้ไปยังสถานที่ที่ผมสั่งเอาไว้
ดอกกุหลาบจะวางลงบนที่ที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน อีกครั้งชั่วนิรันดร์
.

หน้าที่ของนาฬิกา

ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง
มีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้น
เข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจ
ในหน้าที่ของพวกตนที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรง
แก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด

วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบาง
รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเอง
ที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในขณะที่ในวันหนึ่งๆ เจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลย
เจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า

"ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ
ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้า
พวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย
ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที"

เมื่อได้ฟังดังนั้น .......
เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
"โอ๊ะ.........โอ!! โถๆ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย
เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ?
เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิ อ้วนอุ้ย อ้ายและยังตัวสั้นเตี้ย
แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหาก ข้าต้องแบกหัวหนักๆ นี้ไว้ตลอดเวลาเลย
กว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหนๆ
แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน"

เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า
"เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่า
ข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
และมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ"

"ไม่จริง พวกเจ้าโกหก ไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยาก
บอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ
ข้าจะได้พักผ่อนเสียที"

เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง
เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กัน
โดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาว
ขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาที
ส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อนๆ เดินตามหน้าที่ใหม่
มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไร
เพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น

ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
ก็เกิดความประหลาดใจมากที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ

กึก...กึก..........กึก........
เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา
"โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?" เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น

"แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่
ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้"

เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
"เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน
นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะ
แต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ ที่พวกเรา
จะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง
โดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม"
เจ้าเข็มยาวบอก

"ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป"
เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด
แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสาม
ก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม
เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขา
สามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้ว
เขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้น
ไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิม

เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงาม
ตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข

จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
เป็นการสรรค์สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิต

เอวัง

คุณค่าของมีดโกนหนวด

กาลครั้งหนึ่ง มีมีดโกนหนวดสวยอันหนึ่งทำงานอยู่ในร้านตัดผม
วันหนึ่งไม่มีลูกค้าเลย มันจึงออกจากด้ามไปผึ่งแดด
เมื่อมันเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนใบมีดราวกับกระจก
มันมีความรู้สึกภูมิใจในประกายของมันมาก

ดังนั้น เมื่อมันหวนคิดถึงอดีตที่เป็นเพียงมีดโกนหนวด จึงรำพันว่า
"วันหนึ่ง ข้าจะกลับไปในร้านที่ข้าเพิ่งจะออกมาหยก ๆ ไหมนะ" ไม่แน่ ๆ!
พระผู้เป็นเจ้าคงไม่โปรดแน่เลยที่ความงามเจิดจ้า
จะกลับไปโกนหนวดที่ฟอกสบู่แล้วของผู้คนหยาบคายน่าเกลียดเหล่านั้น!
ข้าไม่อยากทำงานเป็นเครื่องจักรกลเช่นนั้นอีกต่อไป
รูปร่างที่งดงามของข้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเหล่านี้หรือ ไม่ใช่แน่!
ด้วยเหตุนี้ "ข้าจะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ
เพื่อลิ้มรสชาติชีวิตพักผ่อนแสนสงบ"

พูดจบ มีดโกนหนวดก็แอบซ่อนตัวอย่างดีเพื่อหลบสายตาคนอื่น ๆ
หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่ง มันอยากออกไปสูดอากาศจึงออกจากที่ซ่อน
แต่กว่าจะออกได้ก็ลำบากลำบนเต็มที
เมื่อมันมองดูตัวเอง มันก็งุนงงเป็นที่สุด ช่างน่าแปลกใจอะไรอย่างนี้
มันผิดหูผิดตาเสียจนเหมือนกันเลื่อยขึ้นสนิม
และใบมีดของมันก็ไม่สะท้อนความงดงามของพระอาทิตย์อีกต่อไป

มันสำนึกผิดอย่างขมขื่น แต่ไร้ประโยชน์ที่จะเสียใจกับความงามที่หายไป
มันร้องไห้กับความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้แล้วนี้ พร้อมกับพูดว่า
"อนิจจา! คมมีดที่เสียไปน่าจะได้ใช้งานที่ร้านตัดผมมากกว่า!
ความบางเฉียบของคมมีดข้ากลายเป็นอะไรไป
ใบมีดที่เจิดจ้าของข้าอยู่ที่ไหน
ตอนนี้ข้าถูกสนิมกินจนกร่อน ดูน่าเกลียดน่าชัง
ความทุกข์ของข้าไม่มีทางแก้ได้"

คนขี้เกียจก็เหมือนกับมีดโกนนี้ ไม่ทำงาน เอาแต่เพ้อฝัน
จึงสูญเสียรูปร่างและความคมไป
สนิมนั้นคือความเขลาและความเกียจคร้าน

เอวัง