หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เหรียญสองด้าน มองต่างมุม


ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่า
เพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร 
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก 
ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ 
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง 

แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล 
จากลำธารกลับสู่บ้าน 
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตก
เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม
ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง 
ซึ่งแน่นอนว่า ถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิ
จะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง 
ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก 
อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง 
มันรู้สึกโศกเศร้า 
กับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียว 
ของจุดประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้นมา 

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่า 
เป็นความล้มเหลวอันขมขื่น 
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 

'ข้ารู้สึกอับอายตัวเอง 
เป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า 
ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมา 
ตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน' 

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่า 
มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า 
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง 

เพราะข้ารู้ว่า เจ้ามีรอยแตกอยู่ 
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ 
ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า 
และทุกวันที่เราเดินกลับ ... 
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น 
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้น 
กลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว 
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ... 
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้' 

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่อง 
ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง 
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น 
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ 
และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้ 

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับ 
คนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น 
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุด 
ในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง 

มองโลกหลายๆ ด้าน 
เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มองโลกในแง่ดีกันเถอะ


จอร์รี่เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งในอเมริกา เขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ และมักจะมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่ดี เวลาที่มีใครถามเขาว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขามักจะตอบว่า "ถ้าผมสามารถเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้.....ผมอยากจะมีฝาแฝด!"

พนักงานเสริ์ฟในร้านอาหารที่เขา ทำงานอยู่หลายคนออกจากงานไปพร้อมกับเจอร์รี เมื่อเขาย้ายงานเพื่อจะได้ติดตามเขาไปจากร้าน หนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่ง...สาเหตุทั้งหมดก็มาจากการเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทัศนคติของเจอร์รี่ เขาเป็นผู้ผลักดัน...เป็นคนที่ให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอกับเรื่องแย่ๆ มา เจอร์รี่จะอยู่กับเขาเสมอ..พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้นให้ได้มองเห็นด้านดีๆ หรือสิ่งที่เราสามารถ เรียนรู้ ได้จากเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้น วันหนึ่งฉันถามเจอร์รี่ว่า "ฉันไม่เข้าใจ.....คนเราจะมองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง คุณทำได้ยังไงนะ"

เจอร์รี่ตอบว่า "ทุกๆ เช้า...ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับบอก ตัวเองว่า..ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้ ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้...หรือจะมี อารมณ์เสียตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี บางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น เราก็สามารถเลือกได้นี่นาว่าเราจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น หรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มัน...ผมมักเลือกที่จะเรียนรู้ ทุกครั้งที่มีบางคนมาติมาบ่นอะไร มีทางเลือกให้เราเลือกได้ว่าจะยอมรับเสียงเหล่า นั้นหรือว่าจะมองหาด้านดีของชีวิต ผมเลือกอย่างหลัง"

"แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ" ฉันแย้ง "ใช่...ไม่ง่ายเลย" เจอร์รี่กล่าว "ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือก เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป แล้วทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน...คุณเลือกได้ว่าจะตอบสนองกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร...คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้คนรอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณได้อย่างไร... คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้ มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร"

หลายปีต่อมา...ฉันได้ข่าวมาว่าเจอร์รี่ลืมล็อคประตูด้านหลังร้านและถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ ระหว่างที่เจอร์รี่กำลังพยายามเปิดเซฟมือของเขาสั่นเนื่องจากความตื่นเต้นทำให้เกิดพลาดโจรพวกนั้นยิงเขา โชคยังดีที่มีคนพบและนำเขาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงและการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เจอร์รี่ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมทั้งเศษกระสุนในร่างกาย

ฉันพบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น เมื่อฉันถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเขายังคงตอบว่า "ถ้าผมเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมจะเป็นฝาแฝด อยากดูแผลเป็นของผมมั้ย"

ฉันตอบปฏิเสธแต่กลับถามเขาถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกเขาหลังจากที่โจรพวกนั้นออกไป "อย่างแรกที่ผมคิดคือ ผมไม่ได้ล็อคประตูหลังของร้าน และหลังจากที่โดนยิงล้มลงบนพื้น ผมก็ยังคงจำได้ว่า.....ผมมีสองทางเลือกนี่นา...มีชีวิตต่อไปหรือว่า...ตายเสียใน ตอนนั้น...ผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป"

"คุณไม่กลัวเหรอ" ฉันถาม  เจอร์รี่เล่าต่อ "เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก พวกเขาคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมก็ได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและ พยาบาล ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขามันเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า 'เขาตายแล้ว' ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไร ผมต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรซักอย่างให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่"

"คุณทำอย่างไร" ผมรีบถาม "อืม...มีนางพยาบาลคนนึงตะโกนถามผมว่าผมแพ้อะไรหรือเปล่า ผมตอบว่า มี นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงานรอฟังคำตอบจากผมผมหายใจลึกๆ และตอบว่า 'กระสุน!' หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ ผมบอกพวกเขาว่าผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่โปรดช่วยรักษาผมอย่างคนมีชีวิต...ไม่ใช่คนตาย"

เจอร์รี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอ แต่มันก็เป็นเพราะทัศนคติต่อชีวิตอันแสนจะน่าทึ่งของเขาด้วย ฉันได้เรียนรู้จากเขาว่า ทุกๆ วันคุณมีทางเลือกของชีวิต คุณเลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดชีวิตของคุณเองก็ได้ สิ่งเดียวที่เป็นของคุณจริงๆ และไม่มีใครสามารถนำมันไปจากคุณได้ก็คือ 'ความคิดและทัศนคติ' ของคุณเอง เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสามารถใส่ใจกับมันได้อย่างอื่นในชีวิตของคุณก็จะง่ายดายมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา


สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา.....คือชีวิตเรา
สิ่งที่มีค่าที่สุดในใจเรา....คือหัวใจเรา
อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร
อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว
อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและดีที่สุดของเราไปให้ใครดูแล
เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง

อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ
อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคน ๆ เดียว
คนใจแคบเท่านั้น...ที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว
เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย
ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก
หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก
รักต่างแบบ...ปฏิบัติในหน้าที่ต่างกัน

แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่ง...
คนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีใคร
เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย...
และไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย...
ถ้าเรามั่นใจ...ว่าเราทำหน้าที่ให้รักนั้น เต็มที่แล้ว

อากาศ...ร้อนอบอ้าว
ออกมายืนคุยกับแสงแดด
อากาศหนาว...หนาวขาดใจ
ออกมาหาอุ่นไอลมหนาว
เราจะรู้ว่าร้อนหรือหนารว ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัสกับมัน

ก็เหมือนความรัก...อยากรู้ว่ารสชาดเป็นอย่างไร
ก็ต้องไปสัมผัสกับมัน...แต่อย่าทรมานตัวเอง
ด้วยการยืนตากแดดนานๆ หรือยืนต้านทานลมหนาว

ถ้ารู้ว่าร้อนนักก็หลบที่ร่ม
ถ้ารู้ว่าหนาวนัก ก็ก่อเตาผิง
ความรักจะไม่ทำร้ายเรา...แสงแดดจะทำให้เธออุ่น
ลมหนาวจะทำให้เธอหลับสบาย

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ใครเข้าที่สอง..ชนะ

หลายเดือนก่อนน้องคนหนึ่งส่งเทปมาให้ผม 2 ม้วน เป็นเทปที่อัดจากการพูดคุยของศุ บุญเลี้ยง กับแฟนๆ ของเขาในงานสัมนางานหนึ่ง ผมเปิดฟังทันทีด้วยความเพลิดเพลินในมุมมองและความคิดของชายหนุ่มที่ไฟความฝันไม่เคยมอดคนนี้ ผมรู้ว่ากิจกรรมอย่างหนึ่งในชีวิตที่ศุ บุญเลี้ยงชอบมากและเต็มใจที่จะทำอยู่เสมอ นั่นก็คือ การทำค่าย ไม่ว่าจะเป็นค่ายเด็ก หรือค่ายคนพิการ (หรือค่ายเด็กพิการ)

ในเทปมีคำพูดของเขาอยู่ตอนหนึ่งที่ผมฟังแล้วชอบมาก ศุเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาพาเด็กไปเข้าค่าย แล้วเขาให้เด็กวิ่งแข่งกัน แต่กติกาคือ ใครเข้าเส้นชัยเป็นที่สอง-ชนะ ชายหนุ่มเล่าว่า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ แทนที่จะเอาชนะกันด้วยการเป็นคนที่เร็วที่สุดที่เข้าเส้นชัย เด็กๆ กลับวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้นอย่างร่าเริง ในหมู่ผู้แข่งขันที่ไม่ต้องการเป็นที่หนึ่ง

ในชีวิตที่ผ่านมา บ่อยครั้งผมคิดว่า เราถูกปลูกฝังให้เอาชนะคะคานเพื่อขึ้นสู่การเป็นเลิศกันมาตลอด เราอยากเรียนให้ได้คะแนนดีที่สุด เราอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด เราอยากเป็นคนทำงานที่เก่งที่สุด เพื่อให้เจ้านายเห็นว่าเราเยี่ยมที่สุดในบริษัทเราอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ฯลฯ

และเมื่อตั้งเป้าอย่างนี้แล้ว เราจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุจุดหมาย โดยบ่อยครั้งที่เราหลงลืม หรือจงใจมองข้ามมันไปว่าเราได้ทำร้ายใครบ้างหรือเปล่า ผมไม่ได้ว่า การแข่งขันเป็นสิ่งที่เลวร้าย มีความดีอยู่บ้างในตัวของมันครับ อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เป็นคนเอื่อยเฉื่อย เดินหายใจไปวันๆ ผมเพียงอยากให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคน ได้หยุดคิดสักนิดว่า เราสามารถที่จะแข่งขันกันโดยไม่ต้องขัดขา ผลักหลัง หรือแอบเหยียบเท้าฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่?

ซึ่งคำตอบสำหรับคำถามนี้ ผมคิดว่าได้ครับ เราสามารถช่วยกันสร้างให้เกิดการแข่งขันอันเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีได้ แต่เรื่องสวยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อเราทุกคนคิดว่า ใครเข้าที่สอง..ชนะ

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อย่ารอให้ถึงวันพิเศษเลย มันช้าเกินไป


ชายสูงอายุผู้หนึ่งเปิดลิ้นชักตู้ของภรรยาแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งซึ่งห่อด้วยกระดาษฟางออกมา แล้วรำพึงขึ้นเบาๆ ว่า "นี่ไม่ใช่เพียงแค่อะไรสักอย่างหนึ่ง... หากแต่เป็นชุดชั้นในสตรี"  เมื่อเขาแกะกระดาษห่อออก จึงเห็นผ้าไหมสวยๆ และฝีมือการตัดเย็บที่ประณีต  “เราซื้อเมื่อครั้งไปเที่ยวนิวยอร์กด้วยกันเป็นครั้งแรกสักแปดหรือเก้าปีก่อนกระมัง เธอไม่เคยได้ใช้มันเลย เพราะตั้งใจเก็บไว้สวมในโอกาสพิเศษ...ซึ่งฉันก็คิดว่าโอกาสนั้นมาถึงแล้ว”

เขาเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน วางชุดชั้นในนั้นร่วมกับข้าวของอื่นๆ ที่เขาจะนำไปที่สุสาน... ใช่แล้ว...ภรรยาของเขาเพิ่งจากไปแล้วชายชราผู้นั้นก็หันหน้ามาที่ฉันพร้อมกับพูดว่า “โปรดอย่าเก็บสิ่งใดๆ ไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ ขอให้ถือว่าทุกๆ วันที่กำลังผ่านไปเป็นวันที่มีความหมาย”

ฉันกำลังนึกถึงคำพูดของเขา คำพูดที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันจากนั้นมา ทุกวันนี้ฉันอ่านหนังสือมากขึ้นพยายามเลิกวุ่นวายกับเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย  ฉันนั่งลงตรงระเบียงและชื่นชมทิวทัศน์ โดยไม่ใส่ใจกับวัชพืชในสวน ใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับครอบครัว เพื่อนฝูง และทำงานให้น้อยลง

ฉันเพิ่งมาเข้าใจว่าชีวิตนั้นเป็นผลพวงมาจากประสบการณ์ที่เราควรจะแสวงหาความเพลิดเพลิน มิใช่เพียงแค่การดำรงชีพไปวันๆ

ฉันจึงเลิกเก็บสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ นึกจะใช้อะไรก็หยิบออกมาใช้ ทุกวันนี้ฉันใช้แก้วคริสตัลเป็นกิจวัตร ขณะที่ใส่เสื้อคลุมตัวใหม่ไป จับจ่ายซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ก่อนหน้านี้ฉันจะใช้น้ำหอมอย่างดีเฉพาะในโอกาสสำคัญเท่านั้น... แต่ตอนนี้คำว่า "วันหน้า" ดูเหมือนจะเลือนหายไปจากฉันโดยปริยาย... อะไรก็ตามที่มีคุณค่าต่อการฟัง การชม หรือการกระทำ  ฉันเป็นอันต้องขอฟัง ชมหรือขอทำเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

ฉันไม่แน่ใจว่าภรรยาของเพื่อนชราของฉันคนนั้นจะทำอะไรบ้าง ถ้าเธอสามารถล่วงรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ชื่นชมกับวันพรุ่ง เธออาจโทรศัพท์หาพ่อแม่ ญาติๆ และเพื่อนสนิท หรือบางทีเธออาจจะโทร.หาเพื่อนเก่าๆ ที่ได้แต่คิดถึงเป็นบางครั้ง เพื่อขอโทษขอโพยเรื่องราวในอดีต...หรืออาจจะขอไปรับประทานอาหารตะวันออกที่เธอโปรดปราน

ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับฉัน...ฉันคงหัวเสียเพราะอดที่จะได้พบปะเพื่อนฝูงที่ฉันนึกว่า คงจะได้เจอะเจอกันในเร็วๆ นี้...ไม่ได้เขียนจดหมายหาเพื่อนฝูง ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเขียน... ขณะเดียวกันฉันก็คงเศร้าใจที่จะไม่มีโอกาสบอกคนใกล้ชิดว่าฉันรักพวกเขามากเพียงใด

ฉันไม่ยอมผลัดวันประกันพรุ่งอีกแล้ว ตรงกันข้าม ฉันกลับเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ...ทุกๆ วัน ทุกๆ ชั่วโมง ทุกๆ นาที คือเวลาที่มีความหมายทั้งสิ้น

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แม่สอนลูกไม่ได้


แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเรียนเก่งไม่ได้
ลูกต้องอยากรู้อยากเข้าใจในบทเรียนด้วยตัวของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้
เพราะแม่เองก็ไม่เคยได้เกรดสี่สักวิชา
แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน
แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น
และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร

แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทแมง
ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ

แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ
อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง
แม่อยากสอนให้ลูกเขย่งขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข
แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย
ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า
ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน
อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ
อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย
ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าของชายตาบอด

ชายสองคนกำลังป่วยหนักด้วยกันทั้งคู่ และถูกจัดให้อยู่ในห้องคนไข้เดียวกัน
ชายคนหนึ่งได้รับอนุญาตให้ลุกนั่งบนเตียง
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกบ่าย
เพื่อช่วยให้ของเสียไหลออกจากปอดได้สะดวกขึ้น
เตียงของผู้ป่วยคนนี้ตั้งอยู่ ข้างหน้าต่างบานเดียวของห้องนั้น
ส่วนชายที่อยู่อีกมุมหนึ่งต้องนอนจมอยู่บนเตียงตลอดเวลา
เขาทั้งสองมักจะมีเรื่องราวพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสมอ
ทุกๆ บ่ายเมื่อชายข้างหน้าต่างลุกขึ้น
เขาก็จะเล่าให้เพื่อนร่วมห้องฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เขามองเห็นผ่านหน้าต่างบานนั้น
ขณะที่ผู้ฟังก็รู้สึกมีความสุขกับห้วงเวลาหนึ่งชั่วโมงดังกล่าว
เพราะไม่เพียงทำให้โลกของเขากว้างขึ้น
หากยังช่วยให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา
กับกิจกรรมและสีสันของโลกข้างนอกนั้นอีกด้วย

......... ครั้งหนึ่ง
เขาได้ฟังการพรรณนาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ที่มีเป็ดและห่านเริงเล่นน้ำกันอยู่ในทะเลสาบ
ขณะเด็กๆสนุกสนานไปกับการละเล่นบนเรือ
หนุ่มสาวเดินเกี่ยวก้อยพลอดรักอยู่
ท่ามกลางมวลดอกไม้หลากสีและสายรุ้ง
โดยมีต้นไม้ชราสูงใหญ่เพิ่มความสงบงามให้กับสวน
อีกทั้งยังพลอยเห็นภาพทิวทัศน์ของเมือง
ที่ตัดกับเส้นขอบฟ้าโพ้นไกล
เนื่องจากผู้อยู่ใกล้หน้าต่างได้บรรยาย
ทุกสิ่งอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน
ชายอีกมุมหนึ่งจึงจินตนาการตามไปได้อย่างรื่นรมย์
ในบ่ายที่อากาศสบายๆวันหนึ่ง
ชายคนนั้นได้เล่าว่ามีขบวนพาเหรดกำลังเดินผ่านไป
แม้ชายอีกคนจะไม่ได้ยินเสียงดนตรีจากวงดุริยางค์ก็ตาม
เขาก็สามารถสัมผัสมันได้ด้วยใจจาก
ถ้อยบรรยายของเพื่อนร่วมห้องข้างหน้าต่างเป็นอย่างดี
.................
เวลาเคลื่อนคล้อยจากวันเป็นหลายสัปดาห์...
เช้าวันหนึ่ง
พยาบาลประจำเวรได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเธอ
เพื่อดูแลทำความสะอาดร่างกายให้ชายทั้งสอง
เธอได้พบว่าคนไข้ใกล้หน้าต่างได้สิ้นลมไปแล้ว
เขาจากไปอย่างสงบในขณะกำลังหลับ...
นี่นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแก่เธออย่างมาก
จากนั้นเธอก็เรียกผู้ช่วยให้นำศพออกไปจากห้อง
เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร
ชายที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องจึงขออนุญาต
ย้ายไปพักเตียงใกล้หน้าต่าง
พยาบาลยินดีจัดการให้ตามความประสงค์ของเขา
และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
เธอก็ขอตัวออกไปจากห้อง ปล่อยเขาไว้เพียงลำพัง
แล้วเขาก็ค่อยๆ
ยันตัวเองด้วยข้อศอกข้างเดียวเพื่อจะมองดูโลกข้างนอก
ด้วยสายตาของตนเองเป็นครั้งแรก
แน่ละ...เขาควรจะมีความสุขที่มีโอกาสสัมผัสมันด้วยตนเอง
เขาชะเง้อคออย่างช้าๆ เพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
แต่แล้ว!
ภาพที่เขาพบกลับเป็นเพียงกำแพงโล่งๆ
ชายผู้นี้จึงสอบถามพยาบาลในเวลาต่อมา
อะไรกันเล่าที่ทำให้เพื่อนผู้จากไปของเขา
เที่ยวได้พรรณนาเป็นคุ้งเป็นแควถึงสิ่งต่างๆ
ที่อยู่นอกหน้าต่างบานนี้ให้เขาฟัง
พยาบาลคนเดิมแจ้งให้เขาทราบว่า...
แท้แล้วชายคนนั้นตาบอด
เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แม้แต่กำแพง
"บางทีเขาอาจอยากให้กำลังใจคุณก็ได้!"