หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ประสบการณ์จากการเรียนรู้ว่า...

ฉันได้เรียนรู้ว่า... บางครั้งสัตว์ยังทำให้หัวใจเรา อบอุ่นได้ดีกว่าคนเสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยากล่อมประสาทที่ดีที่สุด คือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้นอนอยู่บนหญ้าเขียว ไม่ว่าจะอยู่ในทุ่งแห่งใด ก็ให้ความรู้สึกที่ดีได้ทั้งนั้น
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆ ในยามที่เราเศร้าโศกนั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า.. คุณหาเงินได้มากขึ้นได้ แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนให้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่สุดในโลก
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดยิ่งไปกว่าความเกลียดชัง นั่นคือความเมินเฉย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้นสำคัญกว่า ความเพียบพร้อมบริบูรณ์เสียอีก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้นมักจะเลิศหรู กว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่น ให้แก้ปัญหาของฉันได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณ
หรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นก็ได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้
ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนคนหนึ่ง จะเป็นตัวเองของระดับความสำเร็จของเขาด้วย
ฉันได้เรียนรู้ว่า.... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้วผู้รับจะเป็นผู้แพ้ และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนเราไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักการลงมือทำ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... คล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผยคือ อย่าหมดความกระตือรือร้นที่จะพบพาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ
ฉันได้เรียนรู้ว่า....การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งดีๆ นั้น มักจะเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไหร่ก็ไม่สาย
ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งที่จะทำให้เสียเพื่อนได้ดีที่สุดคือ การให้เพื่อนยืมเงิน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... ชีวิตจะเติมเต็มไม่ได้ หากปราศจากเพื่อน
ฉันได้เรียนรู้ว่า... การที่จะรู้ค่าอะไรสักอย่างนั้น คุณจะต้องขาดมันไปสักพักก่อน

ตุ๊กตาพ่อ - คุณบอกรักพ่อหรือยัง

เมื่อฉันยังเล็กๆ พ่อเป็นเหมือนแสงไฟในตู้เย็น แต่ละบ้านมีพ่อ
แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ สักคนว่า พ่อแต่ละคนทำอะไรหลังจากปิดประตูออกไปจากบ้านแล้ว

พ่อของฉันออกจากบ้านทุกเช้าและกลับมาตอนเย็นทุกวัน
พ่อคนเดียวที่สามารถเปิดขวดแยมได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ทำไม่สำเร็จ
พ่อคนเดียวที่สามารถลงไปห้องใต้ดินคนเดียวได้โดยไม่ต้องให้ใครลงไปเป็นเพื่อน

มีบางครั้งที่พ่อโดนมีดโกนหนวดบาด แต่ก็ไม่ต้องมีใครคอยปลอบ
เวลาฝนตกพ่อเป็นคนที่ต้องออกไปเอารถและขับมาจอดไว้ใกล้ๆ ประตูบ้านคอยรับเรา
เวลาใครไม่สบาย ก็พ่ออีกนั่นแหละที่ไปซื้อยามาให้ พ่อคอยวางกับดักหนู
ตัดกิ่งกุหลาบไม่ให้มาทิ่มแทงเรา

เมื่อฉันได้รับจักรยานคันใหม่ พ่อก็คอยถีบไปข้างๆ ฉันหลายต่อหลายกิโลเมตร...
จนกว่าฉันจะสามารถขี่คนเดียวได้ ฉันกลัวพ่อของคนอื่น แต่ไม่เคยกลัวพ่อของฉัน
วันหนึ่งฉันชงชาให้พ่อ แต่มันหวานเกินไป พ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ จิบชา และบอกว่า "อร่อยจัง"
เวลาที่ฉันเล่นตุ๊กตาแม่ ฉันมักเล่นอะไรต่ออะไรได้เยอะแยะ แต่สำหรับตุ๊กตาพ่อ
ฉันกลับไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร ฉันได้แต่เพียงพูดว่า "เอาละ พ่อไปทำงานนะ" แล้วฉันก็โยนตุ๊กตาพ่อไว้ใต้เตียง

เช้าวันหนึ่ง ตอนฉันอายุเก้าขวบ พ่อไม่ตื่นไปทำงาน
เราพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อสิ้นใจ... วันรุ่งขึ้น

ฉันเข้าไปในห้องนอน หาตุ๊กตาพ่อ ที่อยู่ใต้เตียง ปัดฝุ่น และวางไว้บนเตียงใหม่...
แต่มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าตุ๊กตาพ่อตัวนี้มีชีวิต เพื่อที่ฉันจะได้บอกพ่อว่า ฉันรักพ่อมากแค่ไหน

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

ความรักกับกระถางต้นไม้ที่ล้มคว่ำ

กระถางคว่ำ ดินหกเรี่ย กลุ่มต้นไม้ล้มลุกใบเขียวเข้ม
ลำต้นอวบ ก็พากันหลุดร่วง ถอดถอนรากออกจากกระถาง
ไปกระจัดกระจายอยู่บนหลังคากระเบื้องสีนวลปูน
ฉันพยายามปีนออกไปยืนที่ขอบหน้าต่างด้านนอก เพื่อเก็บทุกอย่างให้เข้าที่
แต่ก็ได้คืนมาเพียงกระถางสีอิฐแห้งกับเศษดินอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มันเป็นพันธุ์ไม้ดอกที่ฉันหอบหิ้วมาจากจังหวัดหนึ่งที่อยู่แสนไกล
ให้น้ำให้ปุ๋ยประคบประหงมอยู่ร่วมสองเดือน
แต่ไม่เคยออกดอกงาม เพื่อนๆ มักบอกว่า โฉลกฉันไม่ตรงกับต้นไม้
แค่พลูด่างที่ปลูกเลี้ยงได้ง่ายดาย
ก็ยังเลี้ยงได้ไม่งามเหมือนใครเขา แต่ฉันก็ไม่เคยหมดความพยายาม
แม้ว่าสถานที่และความเป็นอยู่นั้น ไม่เหมาะกับการปลูกต้นไม้เอาเสียเลย

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ฉันต้องสูญเสียต้นไม้ที่ใส่กระถางแขวนห้อยไว้กับหน้าต่างนั้นไป
แต่ก็ยังดี ที่ฉันยังเหลือต้นไม้อีกสองกระถาง แม้มันจะเป็นไม้พันธุ์พื้นๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป
แต่ความสมบูรณ์ของมัน ก็ทำให้ฉันภาคภูมิใจกับความเอาใจใส่ของตัวเองได้พอสมควร

ทุกเช้าเย็นที่รดน้ำต้นไม้ข้างหน้าต่างก็ไม่ได้สังเกตถึงน้ำที่ไหลราดไปบนหลังคาว่า
ได้พัดพาดินและกลุ่มต้นไม้ที่หกคว่ำในวันนั้นให้ไปกองรวมกันอยู่บนรางน้ำฝนจนเกลี้ยงหลังคาตั้งแต่เมื่อไหร่

จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง
ฉันเห็นดอกไม้สีเหลืองบานอยู่อย่างสว่างไสวท่ามกลางแสงแดดอ่อน
ฉันรู้สึกถึงกลีบดอกอิสระ ก้านช่อทะนง แข็งแรง มันอยู่อย่างกล้าหาญเหลือเกิน เอื้อมไม่ถึง สัมผัสไม่ได้
แต่อิริยาบทของดอกไม้ก็ประทับใจไม่น้อยกว่าที่เคยประทับใจ

ฉันรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษออกไป …บางที
ความรักที่เรามีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีมากจนเกินไป
แหนหวงเกินไป ทะนุถนอมห่วงใยเกินควร อุปการะเกินความจำเป็น
แทนที่จะเร่งรัดให้ความหวังมาถึงก่อนกำหนดอย่างใจ…
ตรงกันข้ามมันอาจกลับกลายเป็นตัวการที่ทำให้ชักช้าร่ำไรไปเสียอีก

ความรัก ความห่วงใย แม้จริงใจจริงแท้
มันก็อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีไปทุกเวลา เราอาจต้องสร้างขอบเขตของมันไว้บ้าง
คงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ต้องการเติบโตภายใต้เงื้อมเงาแห่งการอุปการะของใครไปทุกอย่าง

กับชีวิตอิสระ แม้แดดจะแรงไปบ้าง
น้ำจะน้อยไปนิด ปุ๋ยจะขาดแคลนไปหน่อย แต่อย่างน้อย ก็ได้ชื่นชมตัวเอง
ท่ามกลางความหมายหมื่นพันประการของความรักส่วนหนึ่งคงหมายถึงการอยู่ไกลๆ
เพื่อให้อีกฝ่ายมีโอกาสเติบโตด้วยตนเอง

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

บอกรักแม่ซะก่อนที่จะสายเกินไป

When you came into the world, she held you in her arms.
You thanked her by wailing like a banshee.

เมื่อคุณกำเนิดมาในโลกนี้ เธออุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณเธอโดยการร้องไห้

When you were 1 year old, she fed you and bathed you.
You thanked her by crying all night long.

เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ เธอป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณเธอโดยการงอแงทั้งคืนวัน

When you were 2 years old, she taught you to walk.
You thanked her by running away when she called.

เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ เธอสอนคุณเดิน คุณขอบคุณเธอด้วยการวิ่งหนีเมื่อเธอเรียกหา

When you were 3 years old, she made all your meals with love.
You thanked her by tossing your plate on the floor.

เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ เธอทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณเธอด้วยการโยนจานลงพื้น

When you were 4 years old, she gave you some crayons.
You thanked her by coloring the dining room table.

เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ เธอให้ดินสอสีคุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการระบายสีบนโต๊ะอาหาร

When you were 5 years old, she dressed you for the holidays.
You thanked her by plopping into the nearest pile of mud

เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ เธอแต่งชุดเก่งให้คุณเพื่อไปเที่ยว คุณขอบคุณเธอด้วยการทำชุดเก่งนั้นเปื้อนโคลนเลอะเทอะ

When you were 6 years old, she walked you to school.
You thanked her by screaming, "I'M NOT GOING!"

เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ เธอเดินไปส่งคุณไปโรงเรียน คุณขอบคุณเธอด้วยการกรีดร้องว่า "ไม่ไป!!!"

When you were 7 years old, she bought you a ball.
You thanked her by throwing it through the next-door-neighbor's window.

เมื่อคุณอายุได้ 7 ขวบ เธอซื้อบอลให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไปทำหน้าต่างของเพื่อนบ้านแตก

When you were 8 years old, she handed you an ice cream.
You thanked her by dripping it all over your lap.

เมื่อคุณอายุได้ 8 ขวบ เธอซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว

When you were 9 years old, she paid for piano lessons.
You thanked her by never even bothering to practice.

เมื่อคุณอายุได้ 9 ขวบ เธอสอนเปียโนให้คุณ คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม

When you were 10 years old, she drove you all day, from soccer
to gymnastics to one birthday party after another.
You thanked her by jumping out of the car and never looking back.

เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ เธอขับรถไปส่งคุณทั้งวัน ตั้งแต่สนามบอล, โรงยิม, ยันงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนแต่ละคน
คุณขอบคุณเธอด้วยการกระโดดออกนอกรถ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

When you were 11 years old, she took you and your friends to the movies.
You thanked her by asking to sit in a different row.

เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ เธอพาคุณและเพื่อนคุณไปดูหนัง คุณขอบคุณเธอด้วยการขอนั่งที่นั่งคนละแถว

When you were 12 years old, she warned you not to watch certain TV shows.
You thanked her by waiting until she left the house.

เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ เธอเตือนคุณอย่าดูทีวี คุณขอบคุณเธอด้วยการรอเธอออกไปก่อน แล้วดูต่อ

When you were 13, she suggested a haircut that was becoming.
You thanked her by telling her she had no taste.

เมื่อคุณอายุ 13 เธอแนะให้คุณตัดผมให้มันดูดี คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่าเธอไม่มีรสนิยมเอาเสียเลย

When you were 14, she paid for a month away at summer camp.
You thanked her by forgetting to write a single letter.

เมื่อคุณอายุ 14 เธอจ่ายค่าซัมเมอร์แคมป์หนึ่งเดือนให้คุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการไม่ได้เขียนจดหมายมาหาเลยสักฉบับนึง

When you were 15, she came home from work, looking for a hug.
You thanked her by having your bedroom door locked.

เมื่อคุณอายุ 15 เธอกลับบ้านหลังเลิกงาน อยากได้กอดสักครั้ง คุณขอบคุณเธอด้วยการล็อกห้องนอนขังตัวเองในห้อง

When you were 16, she taught you how to drive her car.
You thanked her by taking it every chance you could.

เมื่อคุณอายุ 16 เธอสอนคุณขับรถ คุณขอบคุณเธอด้วยการเอารถไปขับทุกเวลาที่คุณจะเอาไปได้

When you were 17, she was expecting an important call.
You thanked her by being on the phone all night.

เมื่อคุณอายุ 17 เธอกำลังรอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณเธอด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น

When you were 18, she cried at your high school graduation.
You thanked her by staying out partying until dawn.

เมื่อคุณอายุ 18 เธอร้องไห้ในวันที่คุณเรียนจบมัธยม คุณขอบคุณเธอด้วยการฉลองยันเช้า

When you were 19, she paid for your college tuition, drove you to campus carried your bags.
You thanked her by saying good-bye outside the dorm so you
wouldn't be embarrassed in front of your friends.

เมื่อคุณอายุ 19 เธอจ่ายค่ากวดวิชา ขับรถไปรับไปส่ง คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกลาข้างนอกเพื่อที่จะไม่ได้อายเพื่อน

When you were 20, she asked whether you were seeing anyone.
You thanked her by saying, "It's none of your business."

เมื่อคุณอายุ 20 เธอถามคุณว่ามีแฟนหรือยัง คุณขอบคุณเธอด้วยการพูดว่า ไม่ใช่เรื่องของเธอสักหน่อย

When you were 21, she suggested certain careers for your future.
You thanked her by saying, "I don't want to be like you."

เมื่อคุณอายุ 21 เธอแนะนำอาชีพให้คุณสำหรับอนาคต คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า คุณไม่อยากเป็นอย่างเธอ

When you were 22, she hugged you at your college graduation.
You thanked her by asking whether she could pay for a trip to Europe.

เมื่อคุณอายุ 22 เธอกอดคุณวันรับปริญญา คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า อยากได้รางวัลไปเที่ยวยุโรปสักครั้ง

When you were 23, she gave you furniture for your first apartment.
You thanked her by telling your friends it was ugly.

เมื่อคุณอายุ 23 เธอให้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในอพาร์ตเมนท์แห่งแรกของคุณ
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกเพื่อนๆ ว่า มันช่างน่าเกลียดเสียนี่กระไร

When you were 24, she met your fiance and asked about your plans for the future.
You thanked her by glaring and growling, "Muuhh-ther, please!"

เมื่อคุณอายุ 24 เธอพบคู่หมั้นคู่หมายของคุณและถามคุณเกี่ยวกับแผนการในอนาคตน
คุณขอบคุณเธอด้วยการจ้องมองเขม็งพร้อมพูดว่า "แม่ โปรดเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้"

When you were 25, she helped to pay for your wedding, and she cried
and told you how deeply she loved you. You thanked her by moving halfway across the country.

เมื่อคุณอายุ 25 เธอช่วยคุณจ่ายค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและสินสอด
ร้องไห้และบอกคุณว่าเธอรักคุณแค่ไหน คุณขอบคุณเธอด้วยการย้ายไปอีกฟากหนึ่งของประเทศ

When you were 30, she called with some advice on the baby.
You thanked her by telling her, "Things are different now."

เมื่อคุณอายุ 30 เธอโทรมาหาพร้อมกับแนะนำเรื่องการเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

When you were 40, she called to remind you of an relative's birthday.
You thanked her by saying you were "really busy right now."

เมื่อคุณอายุ 40 เธอโทรมาเตือนความจำคุณเกี่ยวกับวันคล้ายวันเกิดญาติ
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่างเลย

When you were 50, she fell ill and needed you to take care of her.
You thanked her by reading about the burden parents become to their children.

เมื่อคุณอายุ 50 เธอเริ่มชราและไม่ค่อยสบาย ต้องการให้ดูแล
คุณขอบคุณเธอด้วยการบอกว่ามันเป็นภาระแค่ไหนที่จะต้องเลี้ยงดูเธอ

And then, one day, she quietly died. And everything you never did
came crashing down like thunder. “Rock me baby, rock me all night long.”

และแล้ว วันหนึ่ง เธอจากไปอย่างเงียบสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยกระทำ
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ "เรียกแม่ไปเถอะลูก เรียกตลอดทั้งคืนนะ"
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่คนที่เราเรียกว่าแม่ แม้จะไม่กล้าพูดออกมาก็ตามถีง

Please paid little bit attention to the one you called "mom" .

ไม่มีอะไรแทนที่เธอได้ แม้ว่าบางคราวเธออาจจะไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรืออาจไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณ แต่เธอก็คือแม่ของคุณและเชื่อได้ว่าเธอจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังทุกปัญหา ทุกความกังวล

Nothing can replace her although sometimes she is not the one who mostly understand in you.
Or she may not agree with your thought but she still your "mom" and you can
believe that she can do everything for you.

ถามตัวคุณเองดูเถิด คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้าความกังวลใจของเธอจากการทำงาน หรือจากในครัวไหม

Listen to your problems, every anxious . Do you have more time to listen to her worry from work?

คุณเคยคิดถึงความเหนื่อยยากของเธอไหม รักเธอให้มากแม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างกัน เพราะเมื่อเธอจากไป

Do you used to concern about her tired? Please love her so much although
she and you have the conflict because when she pass away.

จะเหลือเพียงความทรงจำและความเสียใจเท่านั้น อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รักเธอให้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง

It's remain the memory and sad. Do not ignore the one who closely to your heart?
Love her more than you love yourself

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

อย่ารีรอที่จะเอ่ยคำว่ารัก... พรุ่งนี้อาจสายเกินไป

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้ซึ่งเก็บงำความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเพื่อนของเธอไว้ภายในใจ
จนกระทั่ง..ถึงวันที่เพื่อนคนนั้นแต่งงาน
เธอจึงตัดสินใจที่จะบอกความรู้สึกที่มีต่อเขา
และเพื่อนผู้ชายผู้นั้น...ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา

และเรื่องราวของชายผู้หนึ่ง
ผู้ซึ่งไม่เอ่ยเลยว่าเขารักภรรยาของเขามากแค่ไหน
จนถึงวันที่นางอันเป็นที่รักได้ตายจากไป
และแม้กระทั่งวันนี้..เขายังคงเฝ้านำดอกไม้ไปวางไว้ที่หลุมศพของเธอทุกๆ วัน
พร้อมกับการ์ดที่เปี่ยมไปรอยจุมพิตและคำว่า "ฉันรักเธอ"

..เธอจะสามารถรับรู้มันได้อย่างไร??...
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่ต้องการจะได้อ้อมกอดอุ่นๆ จากพ่อของเธอ
แต่ทว่าเธอเขินอายเกินกว่าที่จะเอ่ยมันออกไป
ตราบจนวันสุดท้ายที่พ่อ ไม่สามารถมีโอกาสโอบกอดเธอได้อีกต่อไป

เรื่องราวต่างๆ มากมายทำนองนี้ เกิดขึ้นในทุกวันๆ
คุณรู้..ว่าเหตุการณ์ในเมื่อวานเป็นเช่นไร
แต่คุณจะทราบและแน่ใจได้อย่างไรว่า เรื่องราวในอนาคตจะเป็นเช่นไร??

และนึกถึง..สิ่งที่คุณไม่เคยเอื้อนเอ่ย
คุณจะรอ..จนถึงวันสุดท้ายที่จบลง..
โดยที่ไม่มีโอกาสได้พูดมันออกไปรึเปล่า????

..อย่ารีรอ...
เพียงแค่เอ่ยออกไปจากใจว่า
"ฉันรักคุณ"

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

กล่องทองคำ

ครั้งหนึ่ง ในคืนก่อนวันปีใหม่… คุณพ่อคนหนึ่งทำโทษลูกสาวด้วยความอารมณ์เสีย
เขาโกรธที่เด็กน้อยเอากระดาษห่อของขวัญสีทอง ซึ่งมีราคาแพงมาก มาใช้ห่อของขวัญเล่นอย่างสิ้นเปลือง
เขาเข้าใจว่าลูกสาวแค่พยายามจะตกแต่งบ้านสำหรับวันปีใหม่เท่านั้น

เป็นที่รู้กันว่าในช่วงนั้นสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ใคร ๆ ก็มักจะอารมณ์เสียกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ได้เสมอ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยก็ยังถือกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองมาให้คุณพ่อ
“กล่องนี้ของพ่อนะคะ” เด็กน้อยเอ่ยกับพ่ออย่างร่าเริง

คุณพ่อรู้สึกละอายกับการกระทำของตนเองเมื่อคืนนี้ที่ออกจะรุนแรงเกินไปบ้าง
เขากล่าวขอบคุณลูกสาวเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ แกะกล่องของขวัญอย่างระมัดระวัง
ปรากฏว่าเป็นกล่องเปล่า …ไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย

คุณพ่อของเด็กน้อยรู้สึกโกรธขึ้นมาอีก เขาตะโกนถามลูกสาวว่า
“นี่ลูกไม่เคยรู้เหรอว่าเวลาจะให้กล่องของขวัญกับใคร …มันควรจะมีอะไรอยู่ในนั้นบ้างน่ะ”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองคุณพ่อช้า ๆ เธอสะอึกสะอื้นตอบคุณพ่อของเธอ
“แต่เมื่อคืนหนู… หนูใส่ของขวัญไว้ให้คุณพ่อแล้วนะคะ หนูหอมแก้มคุณพ่อใส่ไว้จนเต็มกล่องเลย”
คุณพ่อรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันที เขายกตัวลูกสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก แล้วขอร้องให้เด็กน้อยให้อภัยที่เขาอารมณ์เสียไปบ้าง

…ที่น่าเศร้าก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน เด็กน้อยก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ต่อมาอีกหลายปี ยังมีคนเห็นว่าคุณพ่อคนนี้ยังเก็บกล่องของขวัญสีทองนั้นไว้ที่หัวเตียงอยู่เสมอ
เมื่อใดที่เขารู้สึกท้อแท้หรือเศร้าใจ เขาจะหยิบกล่องสีทองขึ้นมาเปิด แล้วจินตนาการว่า
เด็กน้อยได้กลับมาหอมแก้มเขาอีกครั้ง 

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คุณพ่อจึงยังคงจดจำความรักของลูกสาวที่มีให้เขาอย่างมากมายอยู่เสมอมา…เหมือนกับว่า
สิ่งที่มีค่าที่สุดของลูกสาวที่เขาสามารถยึดถือเอาไว้ได้ ไม่ใช่กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทอง หรือกล่องที่ทำจากทองคำแท้ใด ๆ ทั้งนั้น แต่เป็นความรักอันแสนจริงใจที่ลูกสาวของเขาได้ฝากเอาไว้จนเต็มกล่องนั่นต่างหาก

ความสุขที่ได้รัก ก็พอแล้ว

ความจริงก็คือ ... ในขณะที่เราคิดถึงคนๆ นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้งก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน
บางครั้งการได้ฝันไปคนเดียว มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า ...
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว

ฉะนั้นไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ เลือกที่จะยอมจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง

การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้าไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า ...
เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4 ...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า ... ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย

มันอาจต้องมีน้ำตาบ้าง ในการยอมรับความจริงที่ว่า เราไม่ใช่ที่ 1 ...
แต่โปรดจำไว้เถอะว่า หากหัวใจของคุณ ยังไม่ร้องไห้ออกมาดังๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า ...
ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว โปรดห้ามใจเถอะ ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้
ก็จงชอบต่อไปเถอะ...

การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม ...
การตัดใจต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิ ว่าความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป ...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน ...
แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย
ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป แต่ก็ยังได้พบ ...
ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป ...
ยิ้มให้กับโชคชะตา ที่ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้เรารักกัน ...
แต่ก็ยังทำให้เรา ... ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง ...
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง ...
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ และร้องไห้ได้มากมาย ...
คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า เปลี่ยนวันที่หมองหม่น ให้กลายเป็นวันที่สดใส ...
เท่านี้มันก็ควรเพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?
แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอยู่กับใครซักคน ที่เค้ารักมากที่สุด ...
นั่นแหละคือความสุข ของการได้รัก ... อย่างจริงใจ

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่าการจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3Rs
ก. เคารพตนเอง (Respect for self) หากเราไม่เคารพตัวเองแล้วใครจะเคารพเราจงพึงสังวรณ์ไว้
ข. เคารพผู้อื่น (Respect for others) เมื่อเราเคารพตัวเองแล้วเราต้องเคารพคนอื่นด้วย
ค. รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions) หากเราไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของเราแล้วใครจะมาเคารพเรารับผิดแทนเรา
4. จงจำไว้ว่าการที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยมาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ
7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อที่ว่า เมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับ คุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรักให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบันอย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
14. จงแบ่งปันความรู้เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไปอย่างน้อยก็ปีละครั้งเพื่อทำการลบความคิดแบบเก่า ๆ ออกบ้าง
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่
18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องของเกย์คนหนึ่ง

ชายหนุ่มคนหนึ่ง บุคลิกดี การศึกษาก็สูง แถมมีอาชีพการงานที่กำลังเจริญรุ่งเรือง มาหาผู้เขียนสารภาพว่าเป็นเกย์
อยากจะแก้ไข ผู้เขียนก็ซักๆ ไป ไม่พบว่าเขามีปัญหาอะไรอย่างอื่นเลย

พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ยอมรับความเป็นเกย์ของตัวอย่างดี ที่ทำงานก็ยอมรับความเป็นเกย์ของเขาตลอดจนความสามารถทางศิลป์ของเขาด้วย ไม่มีใครสนใจในความเป็นเกย์ ตราบใดที่ยังทำงานได้ดี ทุกคนก็ไม่มีใครรังเกียจ แต่เจ้าตัวรังเกียจตัวเอง และต้องการให้แพทย์รักษาให้หายจากความเป็นเกย์ 

ผู้เขียนอธิบายให้ฟังว่า เขาไม่มีความผิดปกติเลย การที่เขาสนใจรักเพศเดียวกันไม่ได้ทำให้เขาต่างไปจากชายคนอื่นที่รักเพศตรงข้ามเลย เรื่องรสนิยมนี้เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ เพียงแต่สังคมดัดจริตคิดว่าถ้าคนรักต่างเพศเป็นปกติ ถ้ารักเพศเดียวกันก็ถือว่าผิดปกติโดยปริยาย เท่านั้นเอง

เขาก็ค้านว่า "หมอว่าผมไม่ผิดปกติได้อย่างไร ก็ในเมื่อผมรักผู้หญิงไม่เป็น"

ผู้เขียนตอบเขาไปว่า "ในโลกนี้ยังมีผู้ชายโสดทั้งหนุ่มและแก่อีกหลายร้อยล้านคน ซึ่งรักผู้หญิงไม่เป็นและแถมยังรักผู้ชายด้วยกันก็ไม่เป็นด้วย เขายังโชคดีที่ยังรู้จักรักถึงแม้จะเป็นเพศเดียวกันก็ตาม ก็ยังดีกว่าคนที่รักใครไม่เป็นเลย นอกจากรักตัวเองเท่านั้น"

.
.
.
ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ ขอให้เรารักให้เป็น และรู้จักที่จะรัก เท่านั้นเอง